ในการประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ องค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่ง คือ การบริหารจัดการเงินทุน เพื่อให้ธุรกิจนั้น ๆ สามารถดำเนินการต่อไปได้ด้วยดีอย่างมีสภาพคล่อง โดยปราศจากความเสี่ยงใด ๆ ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องรู้ข้อมูลพื้นฐานของธุรกิจตัวเองอย่างถ่องแท้เสียก่อน ทั้งในส่วนของงบประมาณในการลงทุน ขนาดของธุรกิจ สภาพคล่องของธุรกิจ กำไรและความเสี่ยง หรือที่เรียกกันว่าแผนธุรกิจนั่นเอง เพื่อจะได้บริหารจัดการเงินทุนได้ตามสภาพความเป็นจริง รวมถึงการมองภาพการเติบโตของธุรกิจในอนาคตด้วยทั้งนี้การประกอบธุรกิจโดยทั่วไปสามารถแบ่งเงินทุนได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ เงินทุนคงที่ (Fixed Capital) หมายถึง เงินทุนในการใช้จ่ายเกี่ยวกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน Show
อาคาร หรือโรงงาน และ เงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) ที่ไว้ใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบ ค่าการผลิต ค่าจ้างแรงงาน รวมถึงการส่งสินค้าไปยังผู้บริโภค โดยในส่วนเงินทุนสองประเภทนี้หากไม่ได้กู้ยืมมาจากสถาบันการเงินที่ใด เป็นเงินทุนของผู้ประกอบการหรือหุ้นส่วนก็จะหมดกังวลในเรื่องดอกเบี้ย แต่ถ้ากู้ยืมเงินดังกล่าวมาจากธนาคารจะต้องมีการวางแผนการใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบและลดความเสี่ยงให้มากที่สุด นั่นหมายถึงว่าจะต้องมีการคำนวณรายรับ-รายจ่ายให้ดีอย่างถี่ถ้วน ต้องมีเงินสำรองไว้จำนวนหนึ่งเสมอ เผื่อไว้ในกรณีที่ธุรกิจมีปัญหา สำหรับการวางแผนเงินทุน โดยเฉพาะในส่วนของเงินทุนหมุนเวียนนั้น กูรูทางด้านธุรกิจให้คำแนะนำตรงกันว่า จะต้องมีเงินสำรองไว้จำนวนหนึ่งเสมอ เผื่อไว้ในกรณีที่ธุรกิจมีปัญหา เพราะบางเรื่องบางกรณีไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ซึ่งอาจจะมีเหตุมาจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ หากไม่มีเงินสำรองไว้อาจจะเกิดปัญหาทำให้ธุรกิจสะดุดหรือสุดท้ายต้องปิดกิจการ ส่วนเงินก้อนนี้ควรจะมีมากน้อยเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจนั้น ๆ ด้วย กรณีเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ๆ ที่ลูกค้ายังไม่รู้จักสินค้าหรือบริการ ยิ่งจำเป็นต้องมี พูดง่าย ๆ คือ สายป่านต้องยาวในระดับหนึ่งเพื่อให้สินค้านั้นเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลามากน้อยแตกต่างกันไป ตัวอย่างหนึ่งของความจำเป็นที่ต้องมีเงินสำรองไว้ อย่างเช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในบ้านเราช่วงนี้ ประกอบกับการส่งออกก็มีปัญหาเนื่องจากประเทศคู่ค้าไม่ว่าจะเป็นจีน สหรัฐหรือยุโรป สั่งซื้อสินค้าน้อยลง ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยจำเป็นต้องพยุงกิจการตัวเองไว้ด้วยการนำเงินเก่าที่สะสมมาไว้ใช้เป็นค่าจ้างแรงงาน เพราะในแต่ละวันขายสินค้าได้ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน ผู้คนระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย อีกทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติลดจำนวนลง ทางออกของผู้ประกอบการในภาวะวิกฤตินี้คือ ต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ อันที่จริงแล้วการบริหารจัดการเงินทุนไม่ใช่เรื่องยากหรือสลับซับซ้อนอะไร จุดเริ่มต้นอยู่ที่การวางแผนและมีเป้าหมายชัดเจน มีวินัยทางการเงินที่ดี พร้อมทำตามแผนอย่างเคร่งครัด ซึ่งถ้าบริหารจัดการเงินทุนดี ย่อมหมายถึงการมีเงินสะสมจากผลกำไรที่ได้ในธุรกิจนั้น ๆ และนั่นจะส่งผลให้ธุรกิจมีโอกาสขยายเติบโตได้อย่างแน่นอน แหล่งเงินทุนภายใน คืออะไร เรื่องใกล้ตัวที่คนทำธุรกิจต้องรู้ !แหล่งเงินทุนภายในคำว่า “แหล่งเงินทุน” เป็นสิ่งที่คนทำธุรกิจมักจจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เชื่อว่าส่วนมากแล้วผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็จะนิยมหาแหล่งเงินทุนก่อนที่จะมาทำธุรกิจกันมาบ้างแล้ว แหล่งเงินทุนนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แหล่งเงินทุนภายใน และแหล่งเงินทุนภายนอก ซึ่งแหล่งเงินทุนทั้ง 2 ประเภทนี้นั้นมีจุดประสงค์ที่เหมือนกัน แต่ก็จะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ส่วนมากแล้วผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็วาดหวังเอาไว้ว่า แหล่งเงินทุนภายใน นี่แหละคือแหล่งเงินทุนในฝัน หากถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ในบทความนี้เรามีคำตอบมาฝากกันค่ะ แต่ก่อนอื่นเราลองไปดูความหมายของแหล่งเงินทุนภายนอกเสียก่อน แหล่งเงินทุนภายนอก เป็นแหล่งเงินทุนที่ได้มาจากบุคคลอื่น ไม่ได้มาจากทางบริษัทหรือผุ้ประกอบการเองโดยตรง ส่วนมากจะเป็นการกู้ยืมจากผู้ให้บริการสินเชื่อ หรือสถาบันการเงิน ธนาคารต่าง ๆ เสียมากกว่า ต่อไปเราจะไปดูความหมายของแหล่งเงินทุนภายในกันค่ะว่าคืออะไร แหล่งเงินทุนภายในแหล่งเงินทุนภายใน ถือว่าเป็นแหล่งเงินทุนที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่นั้นวาดหวังที่อยากจะให้มีอย่างที่สุด แหล่งเงินทุนภายในนี้ทางผู้ประกอบการสามารถที่จะจัดหาเงินทุนมาได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ผ่านบุคคลภายนอก พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นเงินทุนที่มาจากตัวของกิจการเอง ไม่ได้ผ่านการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือธนาคารเลยแม้แต่น้อย ทำไมผู้ประกอบการถึงชอบแหล่งเงินทุนภายในมากกว่าแหล่งเงินทุนภายนอก1.ส่วนมากแล้วแหล่งเงินทุนภายในนั้นจะไม่มีต้นทุนทางการเงิน ในกรณีที่มีต้นทุนทางการเงินนั้นก็จะต่ำมาก 2.การใช้แหล่งเงินทุนภายในนั้นไม่ต้องเสียเวลาเตรียมเอกสารประกอบต่าง ๆ 3.ผู้ประกอบการสามารถควบคุมแหล่งเงินทุนภายในได้ด้วยตัวเอง ไม่มีเงื่อนไขที่ยุ่งยากแบบแหล่งเงินทุนภายนอก 4.หากกิจการไหนมีแหล่งเงินทุนภายในที่เพียงพอกับกความต้องการใช้งาน นั่นหมายความว่ากิจการนั้น ๆ ดีเยี่ยม แหล่เงินทุนภายในถือว่าเป็นสิ่งที่ประเมินประสิทธิภาพของกิจการนั้น ๆ แหล่งเงินทุนภายใน มีอะไรบ้าง1.กำไรสะสมของกิจการ กำไรสะสมของกิจการ ถือได้ว่าเป็นแหล่งเงินทุนภายในที่เอาไว้วัดประสิทธิภาพของกิจการนั้น ๆ เลยก็ว่าได้ ตามหลักธรรมชาติแล้วหากกิจการไหนมีผลกำไรที่ดี แน่นอนเลยว่าส่งผลดีตอ่ตัวของกิจการสุด ๆ ซึ่งผู้ประกอกบการสามารถนำกำไรสะสมของกิจการมาใช้ต่อยอดในกิจการได้อย่างสบาย ๆ 2.ทรัพย์สินของกิจการ ผู้ประกอบการสามารถหาแหล่งเงินทุนภายในได้จากทรัพย์สินของกิจการแบบง่าย ๆ คือ การขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นสำหรับกิจการออกไป เพื่อนำเงินที่ได้มาใช้ลงทุนต่อยอดภายในธุรกิจ 3.เงินส่วนตัวของผู้ประกอบการ เงินของผู้ประกอบการนี่แหละค่ะ ที่ถือว่าเป็นแหล่งเงินทุนภายในอันดับแรก ๆ ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน เพราสามารถช่วยลดขั้นตอนในการไปหาแหล่งเงินทุนภายนอกได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้.. ทางผู้ประกอบการเองก็ควรจำกัดวงเงินส่วนตัวที่จะนำมาใช้ภายในกิจการเสียด้วย ก่อนที่จะบานปลายไปกันใหญ่ โดยสรุปแล้ว แหล่งเงินทุนภายใน เป็นแหล่งเงินทุนที่กิจการส่วนใหญ่อยากกันแบบสุด ๆ เพราะหากกิจการไหนสามารถใช้เงินทุนจากแหล่งเงินทุนภายในได้มาก นั่นหมายความว่ากิจการนั้น ๆ มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องไปทำเรื่องจัดหาแหล่งเงินทุนจกาการกู้ยืมของสถาบันการเงิน หรือธนาคารอื่น ๆ ค่ะ ขอบคุณข้อมูลจาก www.moneywecan.com บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที
|