บทละครพูดคำฉันท์เรื่อง มัทนะพาธา เป็นวรรณคดีที่ทรงคุณค่าทางวรรณศิลป์ได้รับการยกย่องว่าแต่งดีและมีความแปลกใหม่อีกเรื่องหนึ่ง น้อง ๆ หลายคนอาจจะเคยคุ้นหูกันมาบ้างตามสื่อต่าง ๆ เพราะวรรณคดีเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่โด่งดังจึงมักถูกหยิบไปทำเป็นละครทางโทรทัศน์บ่อย ๆ แต่จะมีความเป็นมาอย่างไรนั้น วันนี้เราจะไปศึกษาเรื่องนี้พร้อมกันเลยค่ะ ประวัติความเป็นมาของบทละครพูดคำฉันท์เรื่อง มัทนะพาธา มัทนะพาธาเป็นบทละครพูดคำฉันท์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จเพราะมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชกุศลเพื่อสร้าง ตำนานแห่งดอกกุหลาบ จึงทรงผูกเรื่องขึ้นมาใหม่หมด ทรงให้ความสำคัญเรื่องความถูกต้อง และความสมจริงในรายละเอียดของเรื่อง Show
สารบัญสวัสดีค่ะนักเรียนชั้นป. 6 ทุกคน วันนี้ครูจะพาไปตะลุยตัวอย่างวิธีการแต่งประโยคคำถามด้วย Wh- Questions ที่ใช้กับเวลาในอดีตและคำถามทั่วไปที่ต้องการคำตอบแบบไม่ใช่ Yes หรือ No กันค่ะ ไปดูกันเลย อะไรคือ Wh-Questions
ประเภทของ Wh-Questions ที่ต้องการคำตอบ
When = เมื่อไร เมื่อใช้ขึ้นต้นคำถามที่ต้องการถามเกี่ยวกับเวลา เช่น · When is your birthday? = วันเกิดของคุณคือเมื่อไร? · When was your first love? = คุณมีควมรักครั้งแรกเมื่อไหร่ What = อะไร ใช้ขึ้นต้นคำถามที่ต้องการถามใช้ถามเกี่ยวกับสิ่งของ ชื่อ วันที่ เวลา สิ่งที่รักที่ชอบ ดังนี้ค่า · What is your name? = เธอชื่ออะไร? · What is your favourite colour? = เธอชอบสีอะไร Where = ที่ไหน ใช้ขึ้นต้นคำถามที่ต้องการถามใช้ถามเกี่ยวกับสถานที่ เช่น · Where are you from? Or We do you come from? = คุณมาจากไหน Why = ทำไม ใช้เมื่อขึ้นต้นคำถามที่ต้องการถามใช้ถามเกี่ยวกับเหตุผล เช่น · Why did you come to school late? = ทำไมคุณถึงมาโรงเรียนสาย · Why did you leave him? = ทำไมเธอถึงทิ้งเขาล่ะ Who = ใคร ใช้เมื่อขึ้นต้นคำถามที่ต้องการถามใช้ถามเกี่ยวกับบุคคล (ส่วนมากจะตอบเป็นชื่อคนนะคะ) เช่น · Who are you? (คุณคือใคร?) · Who is that? (นั่นใคร?) · Who do you live with? (คุณอาศัยอยู่กับใคร?) Whose = ของใคร ใช้ขึ้นต้นคำถามที่ต้องการถามใช้ถามเกี่ยวกับการแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น · Whose books are these? = นี่คือสมุดของใครนะ · Whose pen is this? = นี่คือปากกาของใครกัน Whom = ใคร (ใช้เป็นกรรม) ใช้ขึ้นต้นคำถามที่ต้องการถามใช้ถามเกี่ยวกับบุคคล เช่น · Whom are we waiting for? = พวกเรากำลังรอใครอยู่กันนะ? · Whom are you going to travel with? = เธอกำลังจะไปเที่ยวกับใครนะ Which = อันไหน/สิ่งไหน ใช้ขึ้นต้นคำถามที่ต้องการถามเพื่อให้เลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ ทำว่าสิ่งไหน อันไหน ดังประโยคด้านล่างนะคะ · Which is better? แปล อันไหนดีกว่ากัน How = อย่างไร/เท่าไร How เป็นคำเดียวที่ไม่ได้ขึ้นต้นด้วย wh แต่เราสามารถใช้ how ขึ้นต้นคำถามที่ต้องการถามเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น · How do you go to school? แปลว่า เธอไปโรงเรียนยังไง · How do you do? เป็นคำถามทักทายแปลว่า คุณเป็นอย่างไรบ้าง เวลาตอบก็ตอบ How do you do?
ตารางสรุปประเภทของ Wh-QuestionsWh-Questions กริยาประธาน ส่วนที่เหลือในประโยค When (เมื่อไร)Why (ทำไม) Who (ใคร) What (noun) ( อะไร ) Where (ที่ไหน)was wereSubject+ …………… ?didSubjectVerb 1 + …… ?How ( อย่างไร เท่าไร) How many + N. (พหูพจน์) = มากเท่าไร How much + N. (นับไม่ได้) = มากเท่าไร How long ( ยาวนานเท่าไร)
ตัวอย่าง (Examples) ดังในตารางประโยคคำถาม Liza: she it Iyesterday?wereyou we theyประโยคคำตอบ Jenny: We Theywere
กับโครงสร้าง: Where + was, were + ช่วงเวลาในอดีต
ประโยคคำถาม ประโยคคำตอบ Where was she three years ago?She was in the USA.What was your elementary school?My elementary school was NokAcademy school.When was he a student at NokAcademy?He was a student at NokAcademy school twoyears ago.Why was he a student at NokAcademy school ?He was a student at NokAcademy school because his parents worked there.How long were they studying at NokAcademy School?They were studying at NokAcademy school for 5 years.
ประโยคคำถาม Pinky: Where didIyou we they he she itgolast week? ประโยคคำตอบ Danny:
หลัง Wh-Questions (What, Where, When, Why…. ) ทั้งหลายจะตามด้วย กริยาช่วย was /were แล้วตามด้วย ประธาน (Subject)นะจ้ะ Lucy: Where did she go last night ? เมื่อคืนเธอไปไหนมา Anna: She went to the birthday party last night. หล่อนไปงานเลี้ยงวันเกิดมา Jack: When did you go to the New year’s party ? เธอไปงานเลี้ยงปีใหม่ตอนไหน Tina: I went to the New year’s party last night. ฉันไปเมื่อคืนนี้เอง Nim: Who did you meet at the school yesterday? เมื่อวานคุณไปเจอใครมาที่โรงรียน Tida: What did you eat this morning? คุณกินอะไรเมื่อเช้านี้ Wai: How did they dance last night? พวกเขา เต้นรำ อย่างไร เมื่อคืน ที่แล้ว Mirinda: Why did two dogs die last year? ทำไมสุนัข 2 ตัว ตาย เมื่อปี ที่แล้ว
NockAcademy คือโรงเรียนออนไลน์สำหรับเด็ก โดยแอปฯ และเว็บไซต์ นักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย แค่ 10 นาที ก็เข้าใจได้ สามารถดูคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่มีมากกว่า 2,000+ คลิป และยังสามารถทำแบบทดสอบที่มีมากกว่า 4000+ ข้อ ดูคลิป แนะนำ แชร์ สามเหลี่ยมที่เท่ากันทุกประการแบบ ด้าน-ด้าน-ด้าน ในบทความนี้จะกล่าวถึงหลักการของการพิสูจน์ความเท่ากันทุกประการของสามเหลี่ยมแบบ ด้าน-ด้าน-ด้าน ทฤษฎีบทพีทาโกรัส บทความนี้น้องๆจะได้เรียนรู้กี่ยวกับการพิสูจน์ที่ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ระหว่างด้านทั้งสามของสามเหลี่ยมมุมฉาก กำลังสองของด้านตรงข้ามมุมฉากเท่ากับผลรวมของกำลังสองของอีกสองด้านที่เหลือในแง่ของพื้นที่ ข้อสอบO-Net เรื่องจำนวนจริง ข้อสอบO-Net ข้อสอบO-Net ในบทความนี้จะคัดเฉพาะเรื่องจำนวนจริงมาให้น้องๆทุกคนได้ดูว่าที่ผ่านมาแต่ละปีข้อสอบเรื่องจำนวนจริงออกแนวไหนบ้าง โดยบทความนี้พี่ได้นำข้อสอบย้อนหลังของปี 49 ถึงปี 52 มาให้น้องๆได้ดูพร้อมเฉลยอย่างละเอียด เมื่อน้องๆได้ศึกษาโจทย์ทั้งหมดและลองฝึกทำด้วยตัวเองแล้ว น้องๆจะสามารถทำข้อสอบทั้งของในโรงเรียนและข้อสอบO-Net ได้แน่นอนค่ะ ข้อสอบO-Net เรื่องจำนวนจริง ปี 49 1. มีค่าเท่ากับข้อในต่อไปนี้ 60 การใช้ Verb Be สวัสดีค่ะนักเรียนชั้นม.1 ที่รักทุกคน วันนี้เราจะไปเรียนรู้เรื่อง การใช้ Verb Be กันนะคะ พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยจ้า Let’s go! ความหมาย Verb be ในที่นี้จะแปลว่า Verb to be นะคะ แปลว่า เป็น อยู่ คือ ซึ่งหลัง verb to เมทริกซ์ และเมทริกซ์สลับเปลี่ยน เมทริกซ์ เมทริกซ์ (Matrix) คือตารางสี่เหลี่ยมที่บรรจุตัวเลขหรือตัวแปร สามารถนำมาบวก ลบ คูณกันได้ เราสามารถใช้เมทริกซ์ในการการแก้ระบบสมการเชิงเส้นได้ซึ่งจะสะดวกกว่าการแก้แบบกำจัดตัวแปรสำหรับสมการที่มากกว่า 2 ตัวแปร ตัวอย่างการเขียนเมทริกซ์ เรียกว่าเมทริกซ์มิติ 3×3 ซึ่ง 3 ตัวหน้าคือ จำนวนแถว 3 ตัวหลังคือ จำนวนหลัก ซึ่งเราจะเรียกแถวในแนวนอนว่า แถว และเรียกแถวในแนวตั้งว่า หลัก และจากเมทริกซ์ข้างต้นจะได้ว่า เรื่อง มัทนะพาธา เป็นงานเขียนประเภทใดมัทนะพาธา เป็นบทละครพูดคำฉันท์ 5 องก์ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นทั้งหมดด้วยพระองค์เองโดยไม่ได้อิงเนื้อหามาจากที่อื่น ทรงพระราชนิพนธ์ทั้งเริ่มและจบลงในปี พ.ศ. 2466 เล่าเรื่องว่าด้วยตำนานเกี่ยวกับดอกกุหลาบ และความเจ็บปวดจากความรัก
จุดขัดแย้งของเรื่อง มัทนะพาธา คือข้อใดมัทนะพาธาเป็นเรื่องที่สมมุติว่าเป็นกำเนิดของต้นกุหลาบ มีการผูกเรื่องให้เกิดความ ขัดแย้งซึ่งเป็นปมปัญหาของเรื่อง กล่าวคือ สุเทษณ์หลงรักมัทนา แต่มัทนาไม่รับรัก สุเทษณ์จึงกริ้ว มัทนาต้องลงมาเกิดในโลกมนุษย์เป็นการชดใช้โทษ เมื่อพบรักกับชัยเสน ความรักก็ไม่ราบรื่น
ข้อใดคือผู้แต่งวรรณคดีเรื่องมัทนะพาธา“มัทนะพาธา” เป็นพระราชนิพนธ์บทละครพูดคำฉันท์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชนิพนธ์จากจินตนาการของพระองค์เมื่อ พ.ศ. 2466 บทละครพูดคำฉันท์ เรื่องนี้มักรู้จักกันในนาม “ตำนานแห่งดอกกุหลาบ” ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2467 และได้รับการตีพิมพ์อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนได้รับการสร้างสรรค์ในรูปแบบละคร ...
มัทนะพาธา" มีหมายความตรงกับข้อใดมัทนา มาจากศัพท์ มทน แปลว่า ความลุ่มหลังหรือความรัก เมื่อทรงพบศัพท์ “มทนพาธา” จากพจนานุกรมสันสกฤตซึ่งมีความหมายว่า ความเจ็บหรือเดือดร้อนแห่งความรัก ซึ่งตรงกับแก่นเรื่องของบทละครเรื่องนี้ จึงทรงใช้ชื่อว่า “มัทนะพาธา ตำนานแห่งดอกกุหลาบ”
|