โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus : DM, Diabetes) เป็นโรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการนำน้ำตาลไปใช้ประโยชน์อันเกี่ยวเนื่องกับความบกพร่องของฮอร์โมนอินซูลิน* ทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้เป็นเวลานานจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ เสื่อม ก่อให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา ผู้ที่เป็นเบาหวานมักจะมีประวัติคนในครอบครัว (พ่อแม่หรือญาติพี่น้องสายตรง) เป็นโรคนี้ด้วย และมักจะมีภาวะน้ำหนักตัวเกินร่วมด้วย Show เบาหวานเป็นโรคที่พบได้สูงในคนทุกอายุและทั้งสองเพศ และพบได้สูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ในบ้านเราพบคนเป็นโรคเบาหวานประมาณ 4-6% ของประชากรทั่วไป, 7.1% ของคนไทยช่วงอายุ 20-79 ปี และ 9.6% ของคนไทยที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556 มีผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทยประมาณกว่า 3.5 ล้านคน) และทางสหพันธ์เบาหวานนานาชาติมีการคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 415 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2558 เป็น 642 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2583 คนจำนวนมากกว่าครึ่งไม่ทราบว่าตนเป็นโรคเบาหวาน สถิติการพบผู้ป่วยโรคนี้จึงยังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้องมีการรณรงค์กันอย่างต่อเนื่องถึงภัยร้ายของโรคนี้ เพราะโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนลุกลามใหญ่โตจนต้องสูญเสียอวัยวะที่สำคัญของร่างกายได้ ด้วยเหตุนี้ทางสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation : IDF) และองค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้กำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลก เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคนี้ หมายเหตุ : อินซูลิน (Insulin) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากเบตาเซลล์ (Beta cells) ของตับอ่อน (Pancreas) โดยฮอร์โมนอินซูลินนี้จะมีหน้าที่ช่วยนำน้ำตาลหรือกลูโคสในเลือด (ซึ่งได้จากอาหารที่เรารับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต และของหวาน) เข้าสู่ทั่วร่างกาย เพื่อเผาผลาญให้เป็นพลังงานสำหรับการทำหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ สาเหตุของโรคเบาหวานโรคเบาหวานมีสาเหตุมาจากการบกพร่องของฮอร์โมนอินซูลิน ผู้ที่เป็นเบาหวานจะพบว่าตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยหรือผลิตไม่ได้เลย หรือผลิตได้ปกติ แต่ประสิทธิภาพของอินซูลินลดลง เช่นที่พบในคนอ้วน ซึ่งเรียกว่า “ภาวะดื้อต่ออินซูลิน” (Insulin resistance) เมื่อขาดอินซูลินหรืออินซูลินทำหน้าที่ไม่ได้ น้ำตาลในเลือดจึงเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ได้น้อยกว่าปกติ จึงทำให้เกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือด และน้ำตาลก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงเรียกโรคนี้ว่า “เบาหวาน” ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมาก (มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก) มักจะมีอาการปัสสาวะบ่อยและมาก เพราะน้ำตาลที่ออกมาทางไตจะดึงเอาน้ำออกมาด้วย จึงทำให้มีปัสสาวะออกมามากกว่าปกติ เมื่อผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะมากก็จะทำให้รู้สึกกระหายน้ำจนต้องคอยดื่มน้ำบ่อย ๆ และเนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานจะไม่สามารถนำน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงานได้ ร่างกายจึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันแทน จึงทำให้ร่างกายผอม กล้ามเนื้อฝ่อลีบ ไม่มีไขมัน อ่อนเปลี้ยเพลียแรง นอกจากนี้ การมีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ๆ ยังทำให้อวัยวะตาง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติและนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนได้มากมาย สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานนั้น สามารถอ่านได้ที่หัวข้อด้านล่าง เกณฑ์การตรวจคัดกรองโรคเบาหวานในผู้ที่ไม่มีอาการแสดง
ชนิดของเบาหวานโรคเบาหวานสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด ซึ่งจะมีสาเหตุ ความรุนแรง และการรักษาที่แตกต่างกันไป ได้แก่
อาการของโรคเบาหวาน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานภาวะแทรกซ้อนมักเกิดกับผู้ป่วยเบาหวานที่ปล่อยปละละเลย ขาดการรักษา หรือดูแลรักษาไม่ถูกต้อง โดยภาวะแทรกซ้อนนี้จะมีทั้งแบบเฉียบพลัน (เช่น หมดสติ ติดเชื้อรุนแรง) และแบบเรื้อรัง (มักเกิดในกล่มผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้เป็นเวลานาน ซึ่งบางคนอาจใช้เวล 5-10 ปีขึ้นไป ทำให้หลอดเลือดแดงทั้งเล็กและใหญ่แข็งและตีบตัน ส่งผลให้อวัยวะหลายส่วน เช่น ระบบประสาท สมอง หัวใจ ตา ไต เท้า ขาดเลือดไปเลี้ยงจนเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะเหล่านี้เสื่อมสมรรถภาพ พิการหรือสูญเสียหน้าที่ไป) ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีจะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ (เพราะเม็ดเลือดขาวทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคได้น้อยลง) นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวานยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะอื่น ๆ เป็นเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้อีกหลายอย่าง ซึ่งในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญหรือพบได้บ่อย ได้แก่
การวินิจฉัยโรคเบาหวานแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเบาหวานได้จากประวัติอาการ ประวัติการเจ็บป่วยต่าง ๆ ประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว การตรวจร่างกาย และที่สำคัญมากที่สุดคือ การตรวจเลือดเพื่อดูปริมาณน้ำตาลในเลือด นอกจากนั้นอาจมีการตรวจอื่น ๆ ประกอบไปด้วยตามความเหมาะสม เช่น การตรวจปัสสาวะเพื่อดูน้ำตาลในปัสสาวะ (ซึ่งจะไม่พบในคนปกติ), การตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไต (เพราะเบาหวานมักส่งผลต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง), การตรวจสุขภาพตาโดยจักษุแพทย์ (เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานต่อจอตา) สำหรับคนทั่วไปที่ใช่หญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการของโรคเบาหวาน (เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย) หรือไม่มีอาการ แต่ตรวจพบน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติหรือตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ หรือเป็นผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน (เช่น อ้วน มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ดังนี้
นอกจากนี้ แพทย์ยังสามารถวินิจฉัยโรคเบาหวานได้จากการตรวจพบระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม หรือฮีโมโกลบินเอวันซี (Hemoglobin A1C : HbA1C) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 6.5% จากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน (ค่าปกติจะต่ำกว่า 5% แต่ถ้ามีค่าอยู่ที่ 5.7-6.4% จะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน) หมายเหตุ : การทดสอบความทนต่อน้ำตาล (OGTT) เป็นวิธีทดสอบโดยการให้ผู้ป่วยอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แล้วทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อน 1 ครั้ง จากนั้นจะให้ผู้ป่วยดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม และทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มน้ำตาลไปแล้ว 2 ชั่วโมง (ค่าปกติจะต่ำกว่า 140 มก./ดล. แต่ถ้ามีค่า 140-199 มก./ดล. จะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน และถ้ามีค่าตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไปจะถือว่าเป็นเบาหวาน) แต่วิธีนี้จะใช้เฉพาะในรายที่ตรวจพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารสูงผิดปกติ (IFG) และหญิงหลังคลอดที่เคยตรวจพบว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (GDM) สรุปเกณฑ์การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน (สำหรับหญิงที่ไม่ได้ตั้งครภ์)*
หมายเหตุ : สำหรับหญิงตั้งครรภ์นั้น สามารถใช้เกณฑ์ข้อที่ 1 (เฉพาะ FPG) และข้อที่ 2 ในการวินิจฉัยได้เช่นกัน ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดจากการทดสอบความทนต่อน้ำตาล (OGTT) โดยการดื่มกลูโคส 100 กรัม จะใช้เกณฑ์ดังนี้ (ต้องมีค่าน้ำตาลสูงตามเกณฑ์ด้านล่างตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป)
สิ่งที่ตรวจในผู้ป่วยเบาหวาน ในรายที่เป็นระยะแรกเริ่มหรือเป็นไม่มาก แพทย์มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติตามร่างกาย ส่วนในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจพบอาการชาตามปลายมือปลายเท้า แผลเรื้อรัง ต้อกระจก หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ โดยในผู้ป่วยเบาหวานทุกรายนั้นแพทย์จะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ และระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร 8 ชั่วโมง (FPG) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 126 มก./ดล. การรักษาโรคเบาหวาน
การป้องกันโรคเบาหวานโรคเบาหวานแต่ละชนิดสามารถป้องกันได้แตกต่างกัน ซึ่งโรคเบาหวานประเภทที่ 1 อาจหาทางป้องกันได้ยากหรือแทบไม่สามารถป้องกันมิให้เกิดโรคได้ (เพราะสาเหตุการเกิดมาจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้) ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตให้เหมาะสม (หลักสำคัญในการป้องกันเบาหวานทุกชนิด คือ คอยระวังระดับน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ) ซึ่งสามารถทำได้ตามคำแนะนำต่อไปนี้
เกณฑ์การตรวจคัดกรองโรคเบาหวานในผู้ที่ไม่มีอาการแสดง
เอกสารอ้างอิง
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมดไทย เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด โรคเบาหวาน มีลักษณะอย่างไรเบาหวาน คือ โรคที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ โดยเกิดจากความผิดปกติของการใช้น้ำตาล ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ ทำให้มีระดับน้ำตาลสูงขึ้น
อาการใดที่แสดงให้ทราบว่าคุณเป็นเบาหวานอาการที่พบบ่อยในผู้เป็นเบาหวานมีเป็นอาการจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงโดยตรง และอาการเนื่องจากโรคแทรกซ้อน ได้แก่ ปัสสาวะบ่อยหิวน้ำบ่อย เมื่อระดับน้ำตาลสูงมากกว่า 180 มก./ดล.ร่างกายจะพยายามขับน้ำตาลออกนอกร่างกายโดยการปัสสาวะออกมา ซึ่งทำให้สูญเสียน้ำไปด้วย จึงปัสสาวะบ่อย คอแห้ง หิวน้ำ
โรคเบาหวานมีอะไรบ้างโรคเบาหวานมีกี่ชนิด ?. โรคเบาหวานชนิดที่ 1. เป็นภาวะที่ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย จำเป็นต้องฉีดอินซูลินสม่ำเสมอ พบได้ประมาณ 5-10% ของผู้ที่เป็นเบาหวาน มักพบในคนอายุน้อย น้ำหนักน้อย. โรคเบาหวานชนิดที่ 2. ... . โรคเบาหวานที่มีสาเหตุเฉพาะ ... . โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์. ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานมีอะไรบ้างภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ อาการแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลัน ได้แก่ ภาวะโคมาจากน้ำตาลในเลือดสูง และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ส่วนภาวะแทรกซ้อนชนิดเรื้อรัง เช่น ภาวะแทรกซ้อนที่ตา ไต ระบบประสาท ปัญหาที่เท้าจากเบาหวาน รวมทั้งโรคที่มักพบร่วมกับเบาหวาน เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง
|