รูปแบบของธุรกิจ Business model 1. กิจการเจ้าของคนเดียว (proprietorship) 2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด (limited partnership) 3. ห้างหุ้นส่วนสามัญ (ordinary partnership) 4. บริษัทจำกัด (company limited) 5. บริษัทมหาชนจำกัด (public company limited) 6. สหกรณ์ (co-operative) 7. รัฐวิสาหกิจ (state enterprises) 8. ธุรกิจขนาดย่อม (small business) วัตถุประสงค์การเรียนรู้ 1. เข้าใจความหมายของรูปแบบธุรกิจประเภทต่างๆ ได้ 2. อธิบายการจัดตั้งของธุรกิจแต่ละประเภทได้ 3. บอกข้อแตกต่างของบริษัทจำกัดและบริษัทมหาชนจำกัดได้ 4. ระบุความสำคัญของสหกรณ์ประเภทต่างๆ ได้ 5. ระบุหลักการเลือกรูปแบบการประกอบธุรกิจได้ รูปแบบของธุรกิจ การประกอบธุรกิจการค้าอาจดำเนินการได้หลายรูปแบบ ทั้งโดยบุคคลคนเดียวเป็นเจ้าของกิจการโดยลำพัง หรืออาจดำเนินการโดยร่วมลงทุนกับบุคคลอื่นเป็นกลุ่มคณะก็ได้ การที่จะตัดสินใจเลือกดำเนินธุรกิจการค้าในรูปแบบใดนั้น ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบที่สำคัญหลายประการด้วยกัน เช่น ลักษณะของกิจการค้า เงินทุน ความรู้ความสามารถในการดำเนินธุรกิจเป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การประกอบธุรกิจนั้นประสบผลสำเร็จนำมาซึ่งผล ประโยชน์และกำไรที่พอประมาณ 1. กิจการเจ้าของคนเดียว(proprietorship) ลักษณะของกิจการประเภทนี้คือ การตัดสินใจต่าง ๆ เป็นสิทธิของผู้เป็นเจ้าของเพียงคนเดียว คิดคนเดียว ทำคนเดียว ผลดีคือตัดสินใจง่ายและรวดเร็ว แต่ผลจากการคิดคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นผลดี…ได้กำไร หรือเป็นผลเสีย….ขาดทุน ก็รับผลคนเดียวเต็ม ๆ ซึ่งลักษณะธุรกิจประเภทนี้จะดีมากถ้าเจ้าของไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุนหมุนเวียน เพราะธุรกิจประเภทนี้ไม่สามารถระดมทุนจากใครได้ โดยมีลักษณะดังนี้ 1. มีเจ้าของกิจการเพียงคนเดียว ใช้เงินลงทุนน้อย 2.ห้างหุ้นส่วน แบ่งเป็น 2 ประเภท ห้างหุ้นส่วนสามัญ (ordinary partnership) คือ ห้างหุ้นส่วนที่ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดในหนี้สินทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน ดังนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจึงมีสิทธิดำเนินกิจการในนามห้างหุ้นส่วนได้ ซึ่งห้างหุ้นส่วนสามัญจะจดทะเบียนหรือไม่ก็ได้ ห้างหุ้นส่วนสามัญจึงแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนหรือห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล มีสภาพเป็นนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน มีฐานะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนจำกัด (limited partnership) ห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งมีผู้เป็นหุ้นส่วน 2 จำพวก คือ หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด ได้แก่ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคน ซึ่งรับผิดจำกัดเพียงจำนวนเงินที่ตนรับว่าจะลงทุนในห้างหุ้นส่วนเท่านั้น หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ได้แก่ หุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคนซึ่งรับผิดในบรรดาหนี้สินทั้งปวงของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน 3.บริษัทจำกัด (company limited) ตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น แต่ละหุ้นมีมูลค่าเท่าๆกัน โดยผู้ถือหุ้นต่างรับผิดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ ซึ่งลักษณะของบริษัทจำกัด สรุปได้ดังนี้ แบ่งหุ้นออกเป็นหุ้นละเท่าๆกัน ผู้ถือหุ้นรับผิดจำกัดเพียงเงินค่าหุ้นที่ยังส่งไม่ครบ มูลค่าของหุ้นๆหนึ่งนั้น ต้องไม่ต่ำกว่า 5 บาท หุ้นหนึ่งนั้นแบ่งแยกไม่ได้ บริษัทจำกัด (company limited) ตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น แต่ละหุ้นมีมูลค่าเท่าๆกัน โดยผู้ถือหุ้นต่างรับผิดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ ซึ่งลักษณะของบริษัทจำกัด สรุปได้ดังนี้ แบ่งหุ้นออกเป็นหุ้นละเท่าๆกัน ผู้ถือหุ้นรับผิดจำกัดเพียงเงินค่าหุ้นที่ยังส่งไม่ครบ มูลค่าของหุ้นๆหนึ่งนั้น ต้องไม่ต่ำกว่า 5 บาท หุ้นหนึ่งนั้นแบ่งแยกไม่ได้ การจัดตั้งบริษัทจำกัด 1.1 มีบุคคลอย่างน้อย 7 คน มารวมกันจัดตั้ง บุคคลกลุ่มนี้เรียกว่า "คณะผู้ก่อการ" 1.5 หลังจากเรียกเก็บค่าหุ้นครั้งแรกแล้ว จึงไปขอจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดเพื่อให้มีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยนำสำเนาการประชุม หนังสือบริคณห์สนธิระเบียบข้อบังคับไปขอจดทะเบียน หนังสือบริคณห์สนธิคืออะไร คือหนังสือที่แสดงวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัทและร่วมกันลงชื่อไม่น้อยกว่า 7 คน (ผู้เริ่มก่อการ) มีรายละเอียดดังนี้ บริษัทมหาชนจำกัด (public company limited) คือบริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยประสงค์ที่จะเสนอขายหุ้นต่อประชาชน โดยผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัดไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ต้องชำระ และบริษัทดังกล่าวได้ระบุความประสงค์เช่นนั้นไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ การจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด 1. มีกลุ่มผู้ก่อการเป็นบุคคลธรรมดาตั้งแต่ 15 คนขึ้นไป และมีกรรมการตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ประเภทของธุรกิจ การเลือกประกอบธุรกิจแต่ละประเภทนั้นขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ประกอบการที่สามารถจะขับเคลื่อนธุรกิจ ไปได้ โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1. ธุรกิจการผลิต 2. ธุรกิจค้าส่ง 3. ธุรกิจการค้าปลีก 4. ธุรกิจบริการ
|