ก้าวสู่ศตวรรษที่ 21: เส้นชัยที่การศึกษาไทยยังไปไม่ถึง?เฉลิมลาภ ทองอาจโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยมคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบทนำศตวรรษที่ 21 ที่มนุษยชาติกำลังรอคอยและเตรียมตัวเพื่อก้าวไปถึงนั้น ถือได้ว่าเป็นศตวรรษแห่งการหลอมรวมวัฒนธรรม ประชาคมโลกจะสร้างความร่วมมือในทุกระดับภูมิภาคเพื่อขยายฐานอำนาจและเพิ่มพลังการต่อรองระหว่างกัน การขับเคลื่อนทุกหน่วยสังคมจะมุ่งสู่ความเป็นหนึ่งเดียว วัฒนธรรมที่แตกต่างจะใกล้ชิด ความขัดแย้งจะได้รับการทบทวนแก้ไข ค่านิยมเก่าจะถูกล้มล้างแล้วครอบงำด้วยค่านิยมใหม่ และการศึกษาแบบดั้งเดิมย่อมถูกเปรียบเทียบและวิพากษ์โดยนวัตกรรมทางการศึกษา ก็เมื่อโลกกำลังจะก้าวสู่ความเป็นหนึ่งเดียว และวัฒนธรรมเดียวเช่นนี้ รูปแบบและวิธีการจัดการศึกษาแบบ “ไทยเดิม” ก็ยากที่จะดำเนินต่อไปได้เมื่ออนาคตมาปรากฏท้าทายการศึกษาเมื่อครั้งอดีตแตกต่างจากปัจจุบันฉันใด การศึกษาในอนาคตก็ย่อมต่างจากปัจจุบัน ฉันนั้น คำถามที่สำคัญต่อมาคือ แล้วการศึกษาในอนาคตนั้นคืออย่างไรแม้ในขณะนี้จะยังไม่มีภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับการศึกษาในอนาคต แต่ก็พอที่จะอาศัยสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันทำนายได้ว่า การศึกษาในอนาคตจะเป็นการศึกษาที่ไร้ขีดจำกัดในด้านของเป้าหมายในการเรียน เนื้อหา วิธีการเรียนรวมทั้งวิธีการประเมิน สำหรับในสังคมเมือง สถาบันการศึกษาในระบบอาจจะมีบทบาทน้อยลง ในขณะที่สถาบันการศึกษาตามอัธยาศัยและ แหล่งเรียนรู้ออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้โอกาสในการเรียนรู้มีมากเกินคณานับ และแน่นอนว่า จากเดิมที่ครูเป็นผู้บอกความรู้ สำหรับในศตวรรษใหม่ ครูก็อาจจะถูกบังคับให้เปลี่ยนมาเป็นผู้กำกับและช่วยเหลือให้ผู้เรียนเป็นผู้แสวงหาและสร้างความรู้ขึ้นเองเหตุผลประการหนึ่ง ที่ทำให้การศึกษาในศตวรรษที่ 20 ต้องขยับขยายและปรับตัวอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็อาจจะเป็นเพราะเยาวชนปัจจุบัน มีโลกทัศน์และชีวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาก นักการศึกษาและผู้เกี่ยวข้องคงจะต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่า เยาวชนที่เป็นผู้เรียนในปัจจุบันมิใช่ผู้เรียนที่เราเคยรู้จักหรือที่ “เราเคยเป็น” อีกต่อไปแล้ว การกล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่า ผู้เรียนปัจจุบันมีระดับสติปัญญาลดลงหรือสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่ออดีต แต่ต้องการจะแสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนปัจจุบันมีความคิด ความเชื่อและค่านิยม ที่หล่อหลอมขึ้นจากกระแสโลกาภิวัตน์และสังคมทุน ในช่วงรอยต่อแห่งการก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งโน้มน้าวให้ผู้เรียนของเรายอมรับ “ความเป็นวัฒนธรรมเดียว” กับผู้เรียนในสังคมอื่นๆ ทั่วโลก จึงไม่น่าแปลกใจว่า เหตุใดผู้เรียนไทยกับผู้เรียนในประเทศอื่นๆ จึงมีความคิดและพฤติกรรมคล้ายกัน กล่าวคือ นิยมการรับและเสพข้อมูลดิจิตอล สนใจสร้างกลุ่มที่มีความคิดแปลกแยก เพื่อแสดงอัตลักษณ์และดึงดูความสนใจจากสังคม มุ่งแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงในชุมชนสังคมออนไลน์ รักในความรวดเร็วของข้อมูล นิยมและหลงใหลในสื่อเสมือนจริงมากกว่าธรรมชาติ ที่สำคัญคือ มีค่านิยมในความเป็น “ส่วนตัว” มากกว่าความเป็นกลุ่มชุมชนและสังคมประเวศ วะสี (2543: 76-77) เขียนไว้ในบทความที่ชื่อว่า “แนวคิดเกี่ยวกับระบบพัฒนาการเรียนรู้” ซึ่งสามารถอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวสรุปได้ว่า โลกสมัยใหม่ต่างจากโลกสมัยเก่า โลกสมัยเก่าประกอบด้วยสังคมเล็กๆ ที่แยกกันอยู่ ใครทำอะไรก็ได้รับผลการกระทำของตนโดยตรง การกระทำที่อื่นไม่มีผลกระทบจึงถือเป็นโลกเล็ก (micro-world) แต่โลกปัจจุบัน เชื่อมโยงกันด้วยการติดต่อสื่อสาร การค้า การเงิน ถือว่าเป็นโลกที่ใหญ่ (macro-world) มีความซับซ้อนหลายมิติและเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากแนวคิดดังกล่าวนี้ ผู้เรียนของเราจึงคิดและปฏิบัติในสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่า “ขัดแย้ง” กับสิ่งที่ครูแบบดั้งเดิมยึดมั่น ไม่น่าแปลกใจว่า ผู้เรียนที่เชื่อในวัฒนธรรมดิจิตอลอันรวดเร็ว จึงปฏิเสธและกล่าวหาวรรณคดีไทยว่าดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า ผู้เรียนที่ชื่นชอบในสื่อเสมือนจริง จึงปฏิเสธหน้ากระดาษหนังสือประวัติศาสตร์ที่ขาดชีวิตชีวาและดูไร้รสนิยม และผู้เรียนที่ชื่นชมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ความเป็นปัจจุบันและสิ่งที่เป็นประโยชน์เฉพาะ ปัจจุบัน จึงไม่เห็นความสำคัญของการเรียนประวัติพุทธสาวก ประวัติศาสตร์ เนื้อเยื่อพืช โครงสร้างอะตอม ไวยากรณ์ไทย อสมการ ฯลฯ เพราะสาระเหล่านี้ พวกเขาแทบจะมิได้ใช้ในชีวิตประจำวัน พฤติกรรมของผู้เรียนเช่นที่กล่าวมานี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคิดนอกกรอบ ว่าที่เป็นเช่นนี้ หาได้เป็นความผิดของพวกเขาแต่อย่างใดไม่ แต่เพราะการสร้างสังคมทุนนิยมที่นำโดยผู้ใหญ่ ได้ปลูกฝังค่านิยมในการเรียนให้ได้ปริญญาบัตร ต้องเอาชนะและแก่งแย่งแข่งขันกับผู้อื่นต่างหาก ที่ทำให้เกิดภาวะการศึกษาที่ “ไร้ความหมาย” ซึ่งหล่อหลอมให้ผู้เรียนของเราเป็นเช่นนี้เมื่อผู้เรียนไม่ใช่แบบเดิมที่เคยรู้จักคำถามหรือ “โจทย์การพัฒนา” ที่นักการศึกษาควรถามตนเองเป็นอันดับแรกคือ “เรารู้จักผู้เรียนของเรามากน้อยเพียงใด” การรู้จักผู้เรียนคือการศึกษาประวัติ การสังเกตพฤติกรรมและความคิดของผู้เรียนเพียงแค่นั้นก็หาไม่ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือ เราจำเป็นต้องเข้าใจภูมิหลังด้านโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรม ที่ขัดเกลาและหล่อหลอมอัตลักษณ์ของผู้เรียนไทยในปัจจุบันขึ้นมาด้วย McCoog (2008: online) ได้กล่าวถึงลักษณะของผู้เรียนในโลกปัจจุบันสรุปได้ว่าเป็นกลุ่ม generation y ซึ่งหมายถึงผู้เรียนที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1980-1990 และผู้เรียนที่เกิดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นต้นมาจัดว่าเป็นกลุ่ม generation z ผู้เรียนทั้งสองกลุ่มได้รับอิทธิพลจากโครงข่ายอินเทอร์เน็ตหรืออาจจะเรียกได้ว่ามี “วัฒนธรรมดิจิตอล” พวกเขามีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ที่เชื่อมโยงกับโลกภายนอกห้องเรียนในลักษณะที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และตระหนักว่าตนเองเติบโตขึ้นในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี รวมทั้งสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นพัฒนาทักษะต่างๆ ในการเอื้อประโยชน์และอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตของตนเองได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้เรียนจึงมีแนวโน้มด้านค่านิยมที่จะปฏิเสธชั้นเรียน ที่มีลักษณะการจัดการเรียนการสอนด้วยการบรรยายแบบดั้งเดิม (traditional lecture-based classroom) จากแนวคิดดังกล่าว ครูจึงต้องปรับเปลี่ยนการจัดการเรียนการสอนของตนเองคือ หันมาสอนด้วยโดยใช้ “วิธีที่ผู้เรียนเรียนรู้” (teach in the way they learn) และสนับสนุนให้ผู้เรียนใช้ทักษะในศตวรรษที่ 21 ที่ผู้เรียนมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะด้านเทคโนโลยีและการใช้ e-communication เพื่อนำไปสู่การสร้างความคิดใหม่ ประเมินและวิเคราะห์ปรากฏการณ์ต่างๆ รวมถึงประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตประจำวัน เช่นนี้ ชั้นเรียนแบบเดิมก็จะพลันเปลี่ยนมามีคุณค่าและมีความหมายต่อชีวิตของพวกเขามากยิ่งขึ้นเมื่อเป้าหมายเปลี่ยนแปลงไปนักการศึกษาไม่อาจลืมว่า นอกจากจะต้องปรับเปลี่ยนการศึกษาให้สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียนที่เปลี่ยนไปแล้ว สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงความคาดหวังและความต้องการของ สังคม ที่การศึกษารับผิดชอบอยู่ด้วย ในประเด็นนี้ นักการศึกษาคนสำคัญในปัจจุบันคนหนึ่ง คือ Stephen R. Covey (2008: 23-31) ได้กล่าวถึงความคาดหวังหรือ “ศักยภาพ” ในตัวผู้เรียนของผู้ปกครองและผู้นำทางเศรษฐกิจไว้ในหนังสือ “The leader in me” โดยเฉพาะกลุ่มแรกคือ ผู้ปกครองนั้น Covey เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของระบบเศรษฐกิจและวิถีชีวิตแบบใหม่ เป็นสาเหตุให้ผู้ปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย หันมาพิจารณาการศึกษาของบุตรหลาน มากยิ่งขึ้น ด้วยการเรียกร้องให้จัดการศึกษาเพื่อเน้นศักยภาพ 4 ด้านที่สำคัญ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตในสังคมใหม่ ประกอบด้วย1. เทคโนโลยี (technology) ผู้ปกครองต้องการให้บุตรหลานมีทักษะและความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย2. ทักษะโลก (global skills) ผู้ปกครองเห็นว่า บุตรหลานควรได้รับการเตรียมความพร้อมในการเผชิญสังคมและโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงและซับซ้อนขึ้น อาทิ วิธีการสื่อสารและการปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งอาจมีภูมิหลังและประสบการณ์แตกต่างกัน3. ทักษะการวิเคราะห์และทักษะชีวิต (analytical and life skills) ผู้ปกครองต้องการให้ผู้เรียนมีศักยภาพมากกว่าการมีเพียงความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ กล่าวคือ ผู้เรียนควรจะมีทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์และการทำงานเป็นทีม4. ค่านิยมเอเชีย (asia values) ผู้ปกครองเอเชียกังวลต่อความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็ว จึงประสงค์จะให้บุตรหลานได้รับการปลูกฝังค่านิยมเพื่อมิให้ลืมรากฐานของบ้านเกิด ซึ่งกำลังอ่อนแอเนื่องมาจากความซับซ้อนของโลก ค่านิยมนี้ฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมและประเพณี เอเชียที่สืบทอดมาอย่างยาวนาว เช่น ความซื่อสัตย์ ความเคารพนับถือกันและกัน และความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของสมาชิกในครอบครัวนอกจากนี้ Covey (2008: 26) ยังได้กล่าวถึงผลการสำรวจเกี่ยวกับทัศนคติต่อการศึกษาของชาวอเมริกา ของ the partnership for 21st century skills ซึ่งได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 โดยให้ผู้ตอบแบบสอบถามกรอกคะแนนความสำคัญของความสามารถที่ผู้เรียนพึงมี ตั้งแต่ 0-10 คะแนน ผลการสำรวจแสดงในตารางที่ 1 ต่อไปนี้ตารางที่ 1 ทัศนคติที่ผู้ใหญ่มีต่อการศึกษา (adult attitudes on education)
ผลการสำรวจข้างต้นย่อมแสดงให้เห็นว่า ทักษะด้านภาษา (การอ่าน การเขียนและการพูด) ทักษะด้านการคิดและทักษะด้านสังคม เป็นทักษะที่ผู้ปกครองในสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญมากกว่าความรู้ด้านวิชาการ ข้อมูลเกี่ยวกับความคาดหวังของสังคมที่มีต่อผู้เรียนดังกล่าว มิใช่เป็นแต่เพียงเป็นความต้องการของสังคมตะวันตกเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเป้าหมายของการศึกษาในสังคมไทย อีกด้วย ดังจะเห็นได้จากก่อนการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรก มีการก่อตั้งคณะศึกษาโครงการ “การศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัตน์” ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิหลายสาขา ที่ได้รวบรวมข้อมูลทั้งจากกรณีศึกษา ข้อมูลจากสื่อมวลชนและเครือข่ายปฏิรูปการศึกษาแล้วสรุปว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ดี ควรสร้างและปลูกฝังความสามารถ 4 ประการให้กับผู้เรียนไทย ได้แก่ 1) ความสามารถใน การคิด การใช้เหตุผลและการแก้ปัญหา 2) ความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน 3) การรู้จักทำงานเป็นหมู่คณะ รู้จักช่วยเหลือกัน และ 4) มีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง ครอบครัวและชุมชน (อมรวิชช์ นาครทรรพ, 2541: 47-48)การให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสามารถในการคิด และการแก้ปัญหาของผู้เรียนไทย ยังเห็นได้จากแนวคิดของ สิปปนนท์ เกตุทัต นักการศึกษาคนสำคัญของไทย ซึ่งเป็นประธานของคณะศึกษาข้างต้น ที่ได้กล่าวถึงเป้าหมายการปฏิรูปการเรียนรู้ไว้ว่า มุ่งให้คนไทยคิดเป็น คิดชอบ แก้ปัญหาเป็น แก้ปัญหาชอบ ทำเป็น ทำชอบ และทำให้กระบวนการศึกษาเป็นการพัฒนาคนอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงชีวิต นับแต่การวางรากฐานพัฒนาการของชีวิต การพัฒนาความรู้และทักษะพื้นฐาน การเสริมสร้างสมรรถนะของคนไทยให้สามารถก้าวทันโลก และการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เกิดขึ้นนอกสถานศึกษา (สิปปนนท์ เกตุทัต, 2539 อ้างถึงใน เสรี พงศ์พิศ, 2549: 112) ด้วยเหตุนี้หากประมวลความมุ่งหมายในการจัดการศึกษา สำหรับการก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ก็อาจสรุปได้ว่า น่าจะมุ่งเน้นไปที่ “4 เก่ง” คือ เก่งสื่อสาร เก่งคิด เก่งคน และเก่งชีวิต ดังนั้น พันธกิจการจัดการศึกษาเพื่อก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 จึงน่าจะมีลักษณะดังแสดงในตารางที่ 2 ดังนี้ตารางที่ 2 พันธกิจการจัดการศึกษาที่เหมาะสมกับสภาพสังคมในศตวรรษที่ 21
บทสรุปการก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 นั้น ผู้เรียนของเราในปัจจุบันได้ปฏิบัติไปแล้วเป็นส่วนมาก ที่ยังรั้งท้ายอยู่ก็คือระบบการศึกษา ที่จะขยับขับเคลื่อนไปทางใดก็ยังคงลำบาก จึงเป็นเหตุให้การศึกษาก้าวไม่ทันผู้เรียน หากจะก้าวนำผู้เรียนให้ได้ การศึกษาก็คงจะต้องต้องใช้พลังทั้งหมด ความเห็นร่วมทั้งหมด และสังคมทั้งหมดมากำหนดเป้าหมายของศตวรรษที่ 21 เสียใหม่ ด้วยการรู้เท่ากันว่าผู้เรียนยุคใหม่เรียนรู้ด้วยวิธีการใด สนใจในสิ่งไหนและมีวิธีมองโลกและชีวิตอย่างไร และนำพื้นฐานนี้มาปรับการศึกษาให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหม่แห่งอนาคต ที่มิได้มุ่งเน้นแต่วิชาการที่ไร้ความหมาย แต่เป็นทักษะการใช้ชีวิตอย่างมีปัญญา คือ เก่งสื่อสาร เก่งคิด เก่งคน และเก่งชีวิต หากคิดนอกกรอบได้เช่นนี้ ก็ยังคงหวังได้ว่า ณ ดินแดนแรกที่อรุณรุ่งของศตวรรษใหม่ปรากฏขึ้น จะยังคงมีการศึกษาไทยและ คนไทยที่ก้าวไปถึง และหยัดยืนรอรับแสงอันสดใสนั้นได้อย่างแน่แท้__________________________________________________ Show รายการอ้างอิง ประเวศ วะสี. 2543. แนวคิดเกี่ยวกับระบบพัฒนาการเรียนรู้. ใน ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (บรรณาธิการ). ปฏิรูปการศึกษา: แนวคิดและหลักการตามพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542. หน้า 75-83.กรุงเทพฯ: วิญญูชน. เสรี พงศ์พิศ. 2549. อนาคตเริ่มตั้งแต่วันวาน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. อมรวิชช์ นาครทรรพ. 2541. ความจริงของแผ่นดิน. กรุงเทพฯ: เจ. ฟิล์ม โปรเซส. Covey, S. R. 2008. The leader in me. London: Simon& Schuster. McCoog, I. J. 2008. 21st Century teaching and learning [Online]. Available from: http://www.eric.ed.gov/PDFS/ED502607.pdf [2012, July 28] การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างไรแนวคิดการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่21 ได้แก่การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน เป็นส่าคัญ คือแนวการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่ และสิ่งประดิษฐ์ใหม่โดยการใช้กระบวนการทางปัญญา(กระบวนการคิด) กระบวนการทางสังคม (กระบวนการกลุ่ม)และให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมในการเรียนสามารถน่าความรู้ไป ประยุกต์ ...
องค์ประกอบการเรียนรู้ในศตวรรษที่๒๑ มีอะไรบ้างเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21ขึ้น ทักษะสำคัญที่เด็กและเยาวชนควรมีได้ว่า ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม หรือ 3R และ 4C ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้ 3 R ได้แก่ Reading (การอ่าน), การเขียน(Writing) และ คณิตศาสตร์ (Arithmetic) และ 4 C (Critical Thinking - การคิดวิเคราะห์, Communication- การสื่อสาร Collaboration-การร่วมมือ
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นในด้านใดมาตรฐานการเรียนรู้ในศตวรรษที่21 มุ่งเน้นในสิ่งต่อไปนี้ 6 THE 21ST CENTURY TEACHER Page 5 1) เน้นทักษะ ความรู้และความเชี่ยวชาญ 2) เน้นการสร้างความรู้ในเชิงสหวิทยาการระหว่างวิชาหลัก 3) เน้นสร้างความรู้ที่ลึกซึ้ง 4) เน้นการยกระดับความสามารถของผู้เรียน ด้วยการใช้ ข้อมูลจริง การใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และการนำาไปประยุกต์ใช้ ...
|