อัตราค่าจ้างขั้นต่ำถูกกำหนดโดยใคร

แรงงานเป็นปัจจัยการผลิตที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการผลิตสินค้า บริการ และเป็นทุนมนุษย์ที่สามารถพัฒนาศักยภาพให้สูงขึ้นได้

 อุปสงค์สำหรับแรงงานแตกต่างไปจากอุปสงค์สำหรับสินค้าโดยทั่วไป กล่าวคือ ถ้าเป็นอุปสงค์สำหรับสินค้าจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากความต้องการบริโภคสินค้า หรือบริการชนิดนั้นโดยตรง แต่ในกรณีของอุปสงค์สำหรับแรงงานไม่ได้เกิดจากการที่ผู้ผลิตต้องการบริโภคแรงงานโดยตรง

การที่ผู้ผลิตมีอุปสงค์สำหรับแรงงาน สืบเนื่องมาจากเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปสงค์สำหรับสินค้า บริการที่ผู้ผลิตผลิตขึ้นมาได้ เช่น หากสินค้าหรือบริการเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น ผู้ผลิตก็จะขยายปริมาณการผลิตโดยที่จะต้องจ้างแรงงานเพิ่มมากขึ้น

ในทางกลับกันหากสินค้าหรือบริการขายไม่ออกหรือไม่เป็นที่ต้องการของตลาด ผู้ผลิตก็จะลดปริมาณการผลิตลงและจะต้องลดปริมาณการจ้างแรงงานลง นั่นคือ อุปสงค์สำหรับแรงงานมีลักษณะเป็นอุปสงค์สืบเนื่อง ในขณะเดียวกันอุปสงค์สำหรับแรงงานก็ยังมีลักษณะเป็นอุปสงค์ร่วม เพราะในการผลิตผู้ผลิตจะต้องใช้ปัจจัยการผลิตร่วมกันหลายชนิด เช่น เครื่องจักร ที่ดิน และอื่น ๆ

การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ เมื่อแรงงานเป็นต้นทุนพื้นฐานการในการผลิตสินค้าและบริการ การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้น ทำให้มีต้นทุนในการผลิตสินค้าและบริการที่สูงขึ้นตาม นายจ้างอาจผลักภาระนี้ให้กับผู้บริโภค โดยการกำหนดราคาสินค้าและบริการตามท้องตลาดให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มค่าครองชีพและอาจทำให้เกิดการเรียกร้องขอขึ้นค่าจ้าง เกิดเป็นกระแสเงินเฟ้อ การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจึงถือเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด

หากกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในระดับที่สูงเกินกว่าราคาดุลยภาพแล้วจะทำให้อุปทานของแรงงานมากว่าอุปสงค์ นายจ้างจะเลือกจ้างเฉพาะแรงงานที่มีความสามารถสูงเท่านั้น ก่อให้เกิดปัญหาการว่างงานในกลุ่ม เนื่องจากขาดประการณ์ ทั้งที่กลุ่มนี้เต็มใจที่จะทำงานแม้จะได้รับค่าจ้างต่ำกว่ากฎหมายก็ตาม

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดจึงเป็นมาตรการแทรกแซงของรัฐ เพื่อมิให้แรงงานได้รับค่าจ้างต่ำเกินไป เป็นการคุ้มครองแรงงานที่อ่อนแอไม่สามารถต่อรองได้ ในการบริหารกำกับหรือการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำจึงควรมีการผสมผสานระหว่างค่าจ้างขั้นต่ำที่ควรจะเป็นค่าจ้างสำหรับแรงงานไร้ฝีมือแรกเข้าทำงานกับค่าจ้างที่เรียกว่าค่าจ้างพื้นฐาน โดยปกติค่าจ้างพื้นฐานจะสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำระดับหนึ่ง มากน้อยขึ้นกับประสบการณ์ ทักษะที่เพิ่มขึ้นภายหลังจากการทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว

แม้ว่าการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำข้างต้นเป็นกระบวนการแทรกแซงเศรษฐกิจของรัฐ แต่ก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะการปล่อยให้ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นไปตามกลไกตลาดอาจเกิดการล่าช้าในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

สำหรับการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยนั้นมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2542

กฎหมายฉบับดังกล่าวกำหนดผู้ที่มีอำนาจในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ คือ คณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งมาตรา 78 กำหนดให้มีจำนวน 15 คน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล 4 คน ผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละ 5 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ และข้าราชการกระทรวงแรงงาน ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นเลขานุการ

ในส่วนของผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้ออก “ระเบียบกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการให้ได้มา ซึ่งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541” โดยใช้วิธีการเลือกตั้ง ดำเนินการโดยคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งซึ่งปลัดกระทรวงแรงงานเป็นผู้แต่งตั้งโดยมีผู้แทนฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างรวมอยู่ด้วย คณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งจะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการรับสมัครเลือกตั้ง

มาตรา 79 (3) และ (4) ของพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ได้กำหนดให้คณะกรรมการค่าจ้าง มีอำนาจในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ โดยนายจ้างจะต้องปฏิบัติตามประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างดังกล่าว

ทั้งนี้ การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำควรที่จะให้ความสำคัญกับการเก็บรวบรวมข้อมูลลงรายละเอียดมากกว่ารายจังหวัด โดยอาจแยกย่อยเป็นรายอำเภอ เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์คำนวณค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ โดยอาจมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเข้ามาร่วมด้วยในคณะกรรมการค่าจ้าง เพื่อประสิทธิภาพในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยในปัจจุบันมักถูกนำไปผูกพันกับเรื่องทางการเมืองมากเกินไป จนละเลยปัญหาในเรื่องการนำเอาค่าแรงขั้นต่ำไปปฏิบัติได้จริงโดยเป็นไปตามกลไกทางตลาดและความเหมาะสมในการจ้างแรงงาน นอกจากนี้สิ่งที่ต้องขบคิดต่อไปในอนาคต คือในยุคที่การดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบเศรษฐกิจดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และเกี่ยวโยงกับการปรับกระบวนการผลิต ขั้นตอนการทำงาน ตลอดจนความสัมพันธ์ในการทำงาน และการเคลื่อนย้ายทุน

ในอนาคตจำนวนคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานเพิ่มมากขึ้นโดยไม่คำนึงถึงพรมแดนหรือสัญชาติอีกต่อไป และที่ท้าทายมากกว่านั้น กระบวนการผลิตและการบริการปัจจุบันและในอนาคตนั้น จำเป็นต้องปรับกระบวนการการทำงานไม่มากก็น้อย สถานที่ทำงานอาจจะเป็นที่ใดก็ได้ เวลาการทำงานยืดหยุ่นมากขึ้น การทำงานวันละ 8 ชั่วโมงอาจไม่ใช่ปัจจัยวัดผลลัพธ์หรือความสำเร็จของงาน การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำในอนาคต จะเป็นในรูปแบบใดนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าคิดเป็นอย่างยิ่ง.

ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ สิ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องเตรียมตัวคือวางแผนคุมค่าใช้จ่ายของธุรกิจ โดยเริ่มจากการตรวจสอบว่ามีพนักงานกี่คนที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดว่าสามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนใดได้บ้าง และสื่อสารกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีการปรับโครงสร้างบริษัทแล้ว

จากประกาศคณะกรรมการค่าจ้างเรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 10) ซึ่งได้ประกาศให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อคน 2 กลุ่มโดยตรงคือ กลุ่มลูกจ้างแรงงานที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจจะมีต้นทุนรวมที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบมากกว่ากิจการขนาดใหญ่จากค่าใช้จ่ายของธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น

 

เลือกอ่านได้เลย!

  • ค่าจ้างขั้นต่ำคืออะไร
  • ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไร
  • ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
  • วิธีคุมค่าใช้จ่าย ค่าจ้าง และเงินเดือน
    • 1. ตรวจสอบดูว่ามีพนักงานจำนวนเท่าไรที่ได้รับค่าจ้างต่ำ
    • 2. ประเมินค่าใช้จ่ายต่างๆ ของธุรกิจที่สามารถลดได้
    • 3. สื่อสารกับพนักงานสม่ำเสมอเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน

ค่าจ้างขั้นต่ำคืออะไร

ค่าจ้างขั้นต่ำ คือเงินค่าตอบแทนขั้นต่ำที่สุดซึ่งนายจ้างต้องจ่ายให้กับลูกจ้างตามที่กฎหมายกำหนด ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเป็นเงินแก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โดยไม่คำนึงถึงวุฒิการศึกษา เพศ ประเภทของงาน สัญญาติ หรือจะอยู่ในช่วงทดลองงานก็ต้องได้ไม่ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด 

 

โดยในหนึ่งวันคิดเป็น 8 ชั่วโมง แม้ว่าลูกจ้างจะทำงานน้อยกว่านั้นก็ต้องจ่าย 8 ชั่วโมง ไม่สามารถลดทอนค่าจ้างลงได้

 

อีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจจะต้องทำความเข้าใจคือ ชื่อเรียกต่างๆ ของเงินที่จ่ายให้ลูกจ้างนั้นถือว่าเป็นค่าจ้างหรือไม่ เช่น สวัสดิการต่างๆ (ค่าเช่าบ้าน, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง) หรือค่าคอมมิชชั่น ที่ไม่ใช่เป็นการตอบแทนเพื่อการทำงาน จะไม่ถือว่าเป็นค่าจ้าง 

 

ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอย่างไร

ในปี 2563 นี้มีการปรับขึ้นค่าแรงแตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่คือ

  • ปรับขึ้น 6 บาท จำนวน 9 จังหวัด คือ ชลบุรี ภูเก็ต กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และปราจีนบุรี
  • ปรับขึ้น 5 บาทให้กับทุกจังหวัดทั่วประเทศนอกเหนือจากที่ได้กล่าวมาด้านบน

 

ส่งผลให้ลูกจ้างของแต่ละจังหวัดจะได้รับค่าแรงขั้นต่ำไม่เท่ากัน ซึ่งแตกต่างถึง 10 ระดับ โดยค่าแรงขั้นต่ำฐานสูงสุดอยู่ที่วันละ 336 บาท และฐานต่ำสุดอยู่ที่วันละ 313 บาท

 

ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

จากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ นอกจากนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นแล้ว อย่าลืมว่ายังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับค่าจ้างตามมาอีกคือ 

  • เงินสมทบกองทุนประกันสังคม 
  • เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 
  • ค่าล่วงเวลา และรายจ่ายอื่นๆ ที่คิดจากเงินเดือนเป็นฐาน เช่น ค่าคอมมิชชั่น และโบนัส เป็นต้น

 

นอกจากนี้ นายจ้างยังต้องเตรียมพร้อมวางแผนในการจัดการส่วนที่เกี่ยวข้องกับเงินเดือนให้ดี เช่น

 

  • วิธีการปรับค่าจ้าง เมื่อมีการปรับค่าจ้างให้กับกลุ่มพนักงานที่ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำแล้ว กลุ่มพนักงานที่มีฐานเงินเดือนสูงกว่าจะทำอย่างไร จะปรับขึ้นด้วยหรือไม่ หากไม่มีการปรับเลยก็อาจจะทำให้เกิดการลาออกได้ จึงควรระวังเรื่องความเป็นธรรมประกอบด้วย
  • อัตราแรกจ้างตามวุฒิการศึกษา บริษัทที่มีการกำหนดอัตราแรกจ้างตามวุฒิการศึกษาสำหรับพนักงานที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่นั้น ควรระวังเรื่องของอัตราแรกจ้างในส่วนของวุฒิ ปวช. และ ปวส. และอาจจะต้องตรวจสอบวุฒิปริญญาตรีด้วย 
  • โครงสร้างเงินเดือน อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเงินเดือนเพราะค่าจ้างมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งธุรกิจที่มีโครงสร้างของพนักงานที่มีอายุงานน้อยในสัดส่วนที่สูงกว่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่า 

 

วิธีคุมค่าใช้จ่าย ค่าจ้าง และเงินเดือน

เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะธุรกิจซื้อมาขายไปที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อย่าเพิ่งรีบแก้ปัญหาด้วยการไปเพิ่มราคาขายสินค้าแต่เพียงอย่างเดียว เพราะหากสินค้าของเรามีราคาสูงกว่าคู่แข่ง ก็ยิ่งทำให้คาดเดายอดขายได้ยากในสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว แต่เจ้าของธุรกิจสามารถปรับวิธีการบริหารค่าใช้จ่ายของธุรกิจได้ในเบื้องต้น เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้สูงเกินจนรับมือไม่อยู่ เช่น

 

1. ตรวจสอบดูว่ามีพนักงานจำนวนเท่าไรที่ได้รับค่าจ้างต่ำ

เพราะต้องคำนึงถึงเงินส่วนอื่นๆ นอกจากค่าจ้างด้วยคือ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ค่าล่วงเวลาและค่าคอมมิชชั่นอื่นๆ 

 

ดังนั้นหากธุรกิจมีสวัสดิการ หรือค่าคอมมิชชั่นที่ไม่ถือว่าเป็นค่าจ้าง ผู้ว่าจ้างบางรายอาจยกเลิกสวัสดิการส่วนนี้ แล้วนำไปปรับเป็นฐานเงินเดือนให้ลูกจ้างแทนแล้วปรับเงินเดือนขึ้นตามโครงสร้างเหมือนเดิมก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถทำได้

 

2. ประเมินค่าใช้จ่ายต่างๆ ของธุรกิจที่สามารถลดได้

อะไรที่ไม่จำเป็นหรือเป็นการจ่ายที่ไม่คุ้มค่าก็ควรจะลดลงก่อน ซึ่งการจะบริหารค่าใช้จ่ายของธุรกิจในส่วนนี้ได้ เจ้าของธุรกิจก็จำเป็นที่ต้องมีข้อมูลธุรกิจเพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ผลการดำเนินงานและประเมินค่าใช้จ่ายได้ตามจริง

 

3. สื่อสารกับพนักงานสม่ำเสมอเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน

ไม่ว่าจะเป็นนโยบายให้พนักงานเข้าหรือออก เพื่อร่วมฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกัน รวมถึงรักษากำลังใจของคนที่อยู่ เพราะคนคือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนองค์กรให้เดินต่อไปข้างหน้า

 

ปัญหาค่าจ้างและเงินเดือนที่ทำให้ต้นทุนของกิจการเพิ่มสูงขึ้น เป็นหนึ่งในปัญหาที่ท้าทายเจ้าของธุรกิจมาทุกยุคทุกสมัย การมีสติและวางแผนแก้ปัญหาอย่างรอบคอบก็จะทำให้สามารถดำเนินกิจการต่อได้ โดยสิ่งที่จะช่วยประเมินได้ว่าธุรกิจมีกำไรดีหรือไม่ มีเงินสดหมุนเวียนเพียงพอไหม ก็คือข้อมูลทางธุรกิจที่ต้องหมั่นนำมาวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ และการทำข้อมูลธุรกิจอย่างง่ายที่สุดก็คือการทำบัญชีนั่นเอง