งานวิจัยในชั้นเรียน การศึกษาการปรับพฤติกรรมความรับผิดชอบในการทำงาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 โดยการใช้การเสริมแรงทางบวก โดย นางสาว นันทกานต์ อาดปักษา ช่วงชั้นที่ 2 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2554 โรงเรียนเทพวิทยา อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ชื่อเรื่อง: การศึกษาการปรับพฤติกรรมความรับผิดชอบในการทำงานของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4/3 โดยการใช้การเสริมแรงทางบวก ชื่อผู้วิจัย: นางสาว นันทกานต์ อาดปักษา ความเป็นมาของการทำงานวิจัย การเรียนการสอนในชั้นเรียน นอกจากจะเป็นสถานที่ให้ความรู้แล้ว ยังเป็นสถานที่ฝึกพฤติกรรมให้อยู่ในระเบียบวินัยตามความประสงค์ของสังคม การขาดความรับผิดชอบในการทำงานเป็นพฤติกรรมที่เป็นปัญหา และเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้อันเป็นผลทำให้การสอนไม่สามารถบรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ นักจิตวิทยาได้เสนอวิธีการปรับพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของนักเรียนใหม่โดย เน้นการให้รางวัลแทนการลงโทษ ซึ่งใช้ทฤษฎีหลักการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้กับพฤติกรรมของมนุษย์ สกินเนอร์นักจิตวิทยาที่สนใจในการปรับพฤติกรรมมีความเชื่อว่า อินทรีย์เมื่อกระทำพฤติกรรมหนึ่งแล้วได้รับการเสริมแรง แนวโน้มที่จะกระทำพฤติกรรมนั้นบ่อยครั้งขึ้น แต่ถ้าพฤติกรรมนั้นไม่ได้รับการเสริมแรง พฤติกรรมนั้นจะมีความถี่ลดลงจนหายไป นอกจากนี้ยังพบว่า อัตราการตอบสนองในพฤติกรรมที่พึงประสงค์จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนมากในระยะที่ได้รับการเสริมแรง ทฤษฎีนี้สามารถนำไปประยุกต์ปรับพฤติกรรมที่เป็นปัญหาในชั้นเรียนได้ คือเมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่ดี แล้วได้รับแรงเสริมจากครู เด็กมีแนวโน้มในการแสดงพฤติกรรมนั้นเพิ่มขึ้น เด็กจะเห็นความสำคัญของการได้รับรางวัลและคำชมเชย การสัญญาว่าจะให้รางวัลจึงเป็นแรงจูงใจให้เด็กกระทำความดีได้มากกว่าการดุ หรือการขู่ว่าจะลงโทษ เนื่องจากครูเป็นผู้ที่มีหน้าที่ โดยตรงในการปรับพฤติกรรมที่เป็นปัญหาให้เป็นไปในทางที่พึงประสงค์ เพื่อให้เด็กไทยเจริญทุกด้าน ตามความมุ่งหมายของการศึกษา พฤติกรรมการขาดความรับผิดชอบในการทำงานของนักเรียน เป็นอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษา และเป็นคุณลักษณะไม่พึงประสงค์ในสังคม ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาการปรับพฤติกรรมความรับผิดชอบในการทำงานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนเทพวิทยา โดยการใช้การเสริมแรงทางบวก วัตถุประสงค์ และเป้าหมายของการวิจัย เพื่อศึกษาการปรับพฤติกรรมความรับผิดชอบในการทำงานของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4/3โดยการใช้การเสริมแรงทางบวก วิธีดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยตามหัวข้อดังต่อไปนี้
1. ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 ปีการศึกษา 2554 โรงเรียนเทพวิทยา ระดับชั้นประถมศึกษา จำนวน 34 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คัดเลือกนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 ปีการศึกษา 2554 โรงเรียนเทพวิทยา ระดับชั้นประถมศึกษา จำนวน 34 คน ที่มีพฤติกรรมการขาดความรับผิดชอบในการทำงานจำนวน 3 คน คือ 1. เด็กชาย ไตรภพ เรืองฤทธิ์ 2. เด็กชาย ไกรศร สุขเนตร 3. เด็กชาย เสนีย์ แกรอด 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - แบบบันทึกการสังเกตการทำงานในแต่ละวัน 3. การดำเนินการทดลอง การปรับพฤติกรรมครั้งนี้เป็นการทดลอง แบบใช้การสังเกต และบันทึกพฤติกรรมของนักเรียนใช้เวลาทั้งสิ้น 3 สัปดาห์ คือตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 13 ธันวาคม 2554 โดยแบ่งเป็น 3 ระยะดังนี้ ระยะที่ 1 : เป็นระยะเส้นฐานพฤติกรรมการขาดความรับผิดชอบในการทำงานระยะนี้ ผู้ดำเนิน การปรับพฤติกรรมทำการสังเกต และบันทึกพฤติกรรมใช้เวลา 1 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน ถึง วันที่ 25 พฤศจิกายน 2554 ระยะที่ 2 : เป็นระยะที่ใช้การเสริมแรงทางบวก คือการให้ ในการปรับพฤติกรรมการขาดความรับผิดชอบในการทำงานใช้เวลา 1 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 2 ธันวาคม โดยผู้ปรับพฤติกรรมเป็นผู้ให้ และชี้แจงเงื่อนไขการให้ ให้นักเรียนทราบโดยจะให้ ในแต่ละวันที่นักเรียนรับผิดชอบในการทำงานเสร็จตามเวลาที่กำหนดโดยมีแบบบันทึกพฤติกรรมติดบนกระดานในห้องเรียน ถ้านักเรียนคนใดได้ มากที่สุดเมื่อสิ้นสุดการทดลองจะได้รับรางวัล เช่น ลูกบอล, Dragon Ball หรือสติกเกอร์ 1 แผ่น ตามความพอใจ ระยะที่ 3 : ระยะตรวจสอบความคงทนของพฤติกรรมที่ได้ปรับแล้ว ระยะนี้ใช้เวลา 1 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2554 จะงดให้ แก่กลุ่มทดลอง แต่จะใช้แรงเสริมทางสังคมได้แก่คำชมเชย การแตะต้องสัมผัส การพยักหน้ายอมรับ เป็นต้น สรุปผล ระยะที่ 1: เป็นระยะเส้นฐานพฤติกรรม ซึ่งยังไม่มีการเสริมด้วยการให้ และผู้ที่ถูกสังเกตยังไม่รู้ตัว ใช้เวลา 1 สัปดาห์นักเรียนจึงมีพฤติกรรมการขาดความรับผิดชอบในการทำงาน โดยเฉพาะ - เด็กชาย ไกรศร สุขเนตร ไม่จดการบ้านในแต่ละวิชา จดงานวิทยาศาสตร์, ภาษาไทย, จีน และสังคมไม่เสร็จ และไม่ทำการบ้านมาส่งในแต่ละวิชา ต้องเรียกมาตักเตือนหลายครั้ง - เด็กชาย เสนีย์ แกรอด ชอบร้องเพลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทำงานไม่เสร็จในแต่ละวิชา ต้องตักเตือนหลายครั้ง - เด็กชาย ไตรภพ เรืองฤทธิ์ ชอบนั่งเหม่อลอย ไม่ทำงานต้องคอยกระตุ้นให้ทำงานอยู่ตลอดเวลา ระยะที่ 2: เป็นระยะที่จะเริ่มใช้ ในการปรับพฤติกรรมเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยแจ้งเงื่อนไขให้ผู้รับการปรับพฤติกรรมได้รับทราบว่าจะมีการให้ และจะให้ ในแต่ละวันที่นักเรียนรับผิดชอบในการทำงานเสร็จตามเวลาที่กำหนดโดยมีแบบบันทึกพฤติกรรมติดบนกระดานในห้องเรียนถ้านักเรียนคนใดได้มากที่สุดเมื่อถึงเวลาที่กำหนดจะได้รับรางวัลตามกติการที่กำหนดไว้ จากการสังเกตนักเรียนมีความพึงพอใจกับการได้รับแรงเสริมเป็น ทั้ง 3 คน มีความกระตือรือร้นและรับผิดชอบในการทำงานเสร็จตามกำหนดเวลาของแต่ละวัน แต่บางวันนักเรียน บางคนขาดความรับผิดชอบกในการทำงาน แต่พอเห็นเพื่อนได้รับ ก็จะมีความรับผิดชอบในการทำงานดีขึ้น ระยะที่ 3: เป็นสัปดาห์ที่ 3 ของการปรับพฤติกรรม และระยะนี้จะงดการให้ แต่จะให้แรงเสริมทางสังคมแทนโดยการกล่าวคำชมเชย การสัมผัส และการพยักหน้า นักเรียนมีความรับผิดชอบในการทำงานมากขึ้น และสามารถทำงานได้เสร็จตามกำหนดเวลา ผลการวิจัย การให้แรงเสริมทางบวกคือ การให้ดาว สามารถลดพฤติกรรมการขาดความรับผิดชอบในการทำงานของนักเรียน ทั้ง 3 คนได้เป็นอย่างดี เพราะนักเรียนมีความพึงพอใจที่ได้รับดาวเป็นแรงเสริม มีความกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น เพื่อจะได้รางวัล หรือคำชมเชย จึงสามารถนำวิธีการนี้ไปใช้กับการปรับพฤติกรรมของนักเรียนคนอื่นๆ ได้ต่อไป แบบบันทึกพฤติกรรมความรับผิดชอบในการทำงาน วันที่ 24 ตุลาคม 2549 ถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549
งานวิจัยในชั้นเรียน เรื่องการแก้ปัญหานักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ผู้วิจัย ครูฉายพรรณ สนิทนาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2546 ชื่องานวิจัย การแก้ปัญหานักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ชื่อผู้วิจัย ครูฉายพรรณ สนิทนาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย จุดประสงค์การวิจัย การได้ค้นคว้าหาคำศัพท์ตามที่นักเรียนสนใจ และการได้ฝึกเขียนบ่อยๆ จะช่วยทำให้นักเรียนสามารถเขียนสะกดคำ ( คำศัพท์ ) ในมาตราตัวสะกดต่างๆ ได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น ระยะเวลาในการดำเนินการ มกราคม - กุมภาพันธ์ 2547 ขั้นตอนการดำเนินการ 1. ทดสอบก่อนเรียนโดยให้นักเรียนค้นคว้าหาคำศัพท์จากหนังสือพิมพ์ วารสารต่างๆ ทุกมาตราตัวสะกด 2. ตรวจผลงานนักเรียน บันทึกคะแนน โดยแบ่งคะแนนเป็น - การเขียนโดยใช้ตัวสะกดตรงตามมาตราตัวสะกด - การเขียนสะกดคำโดยใช้ตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด 3. บันทึกคะแนน 4. เขียนสะกดคำจากใบงาน 5. ตรวจผลงาน โดยใช้เกณฑ์เดียวกับการตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน 6. บันทึกคะแนน 7. เปรียบเทียบคะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนด 8. สรุปผลการวิจัย เรื่อง การแก้ปัญหานักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ความสำคัญและที่มาจากการสอนทักษะการเขียนสะกดคำ พบว่า เมื่อครูให้นักเรียนอ่านบทเรียน หรือ หนังสือนอกเวลา แล้วกำหนดคำให้นักเรียนเขียนตามคำบอก จากคำที่ครูกำหนดขึ้น นักเรียนไม่สามารถเขียนคำได้ถูกต้อง ตามมาตราตัวสะกด ต่างๆ ครูผู้สอนจึงจึงเกิดความคิดที่ว่า การ ให้นักเรียนค้นหาคำศัพท์ที่สะกดด้วยมาตราตัวสะกดต่างๆจากหนังสือพิมพ์ หรือวารสารต่างๆ และการฝึกให้นักเรียนได้เขียนสะกดคำบ่อยๆ จะช่วยให้นักเรียนเขียนสะกดคำได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น จุดม่งหมายการได้ค้นคว้าหาคำศัพท์ตามที่นักเรียนสนใจ และการได้ฝึกเขียนบ่อยๆ จากใบงาน จะช่วยทำให้นักเรียนสามารถเขียนสะกดคำ ( คำศัพท์ ) ในมาตราตัวสะกดต่างๆ ได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น ตัวแปรที่ศึกษา ในการวิจัยในครั้งนี้ ตัวแปรที่ศึกษาประกอบด้วย 1. ตัวแปรอิสระ คือ นักเรียนฝึกเขียนสะกดคำจากเอกสารต่างๆ และใบงาน 2. ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการเขียนสะกดคำ กรอบแนวคิดในการวิจัย ใบงานการเขียนสะกดคำต่างๆ หมายถึง ใบงานที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้นมา โดยการนำคำศัพท์ที่เขียนสะกดคำด้วยมาตราตัวสะกดต่างๆ และเป็นคำที่นักเรียนมักจะใช้ตัวสะกดผิด ในบทเรียนต่างๆ ความสามารถในการเขียนสะกดคำ หมายถึง คะแนนที่ได้จากการเขียนสะกดคำ ก่อนเรียนและหลังเรียนที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้น ประโยชน์ที่ได้รับ1. ผู้เรียนเขียนสะกดคำได้ถูกต้องมากขึ้น 2. ผู้เรียนเข้าใจและนำมาตราตัวสะกดต่างๆไปใช้ได้ถูกต้อง ขอบเขตของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 จำนวน 1 คน 2. ใบงาน การเขียนสะกดคำศัพท์ในมาตราตัวสะกดต่างๆ ( ช่วงชั้นที่ 2 ) ระยะเวลาในการดำเนินการ มกราคม - กุมภาพันธ์ 2547 วิธีดำเนินการวิจัยขั้นตอนการดำเนินงาน 1. คัดเลือกนักเรียน 2. มอบหมายงาน 3. ดำเนินการ 4. รวบรวมข้อมูล 5. สรุปผล สรุปผลการดำเนินงานวิจัย 1. การทดสอบก่อนเรียน นักเรียนคัดเลือกคำศัพท์ที่สะกดด้วยมาตราตัวสะกดต่างๆจากหนังสือพิมพ์ แล้วนำคำศัพท์มาติดลงในใบงานที่ครูกำหนดให้ 9 มาตราตำสะกด ผลการเขียนสะกดคำนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 จำนวน 7 มาตราตัวสะกด มาตราแม่ ก กา และแม่ กม ไม่ผ่านเกณฑ์ รวมเฉลี่ยทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 78.66 2. การทดสอบหลังเรียน ใบงานที่ 1 มาตราตัวสะกดแม่ ก กา นักเรียนเขียนคำจากภาพที่กำหนดให้ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 83.33 3. ใบงานที่ 2 มาตราตัวสะกด แม่ กง เติมคำที่มีตัวสะกด 8 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 100 4. ใบงานที่ 3 มาตราตัวสะกดแม่ กน เติมตัวสะกด เขียนคำ และแต่งประโยค จำนวน 26 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 69.25 5. ใบงานที่ 4 มาตราตัวสะกด แม่ กม เติมคำที่มีตัวสะกด จำนวน 10 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 6. ใบงานที่ 5 มาตราตัวสะกด แม่ เกย หาคำที่มี ย สะกด และแต่งประโยค เติมคำในประโยค จำนวน 15 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 7. ใบงานที่ 6 มาตราตัวสะกด แม่ เกอว ระบายสีคำที่มี ว สะกด จำนวน 8 ข้อผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 62 8. ใบงานที่ 7 มาตราตัวสะกด แม่ กก ระบายสีคำที่มีตัวสะกด จำนวน 21 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเเกณฑ์ร้อยละ 23.80 9. ใบงานที่ 8 มาตราตัวสะกด แม่ กด เติมคำที่มีตัวสะกด จำนวน 12 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 25 10. ใบงานที่ 9 มาตราตัวสะกด แม่ กบ เติมคำที่มีตัวสะกด จำนวน 10 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 11. ผลจากการเขียนสะกดคำจากใบงานทั้ง 9 มาตราตัวสะกด นักเรียนยังเขียนสะกดคำไม่ผ่านร้อยละ 60 จำนวน 2 มาตราตัวสะกด คือ แม่ กก แม่กด รวมเฉลี่ยทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 64.87 จากผลการดำเนินงาน 1. ในภาพรวมจากการวิจัยเรื่องการแก้ปัญหานักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง พบว่า นักเรียนยังจำมาตราตัวสะกดแต่ละมาตราตัวสะกดไม่ได้ จึงเขียนไม่ถูกต้อง 2. นักเรียนไม่ค่อยสนใจในการทำงาน สังเกตจากชิ้นงานและลายมือ 3. ครูผู้ทำงานวิจัย มีเวลาพบผู้เรียนห้องละ 1 คาบ ต่อสัปดาห์ (นักเรียนทำงานหลังจากเรียนในชั่วโมงแล้ว ) ทำให้การดำเนินงานวิจัยครั้งนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร 4. จากการสังเกตคิดว่านักเรียนหาคำศัพท์จากวารสารจะได้คะแนนมากกว่าในใบงาน เพราะนักเรียนอาศัยความจำ ไม่ได้มาจากความเข้าใจ ตารางสรุปใบงาน ตารางเปรียบเทียบคะแนนก่อนเขียนสะกดคำ และหลังการเขียนสะกดคำ เด็กชายวศิน เจริญพานิช ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2
|