ในช่วงที่ผ่านมาหลายคนคงได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิดมาไม่มากก็น้อย นี่คงเป็นตัวอย่าง หรือบทเรียนราคาแพงที่ทำให้ทุกคนหันมาสนใจ และเตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งในด้านเศษฐกิจ สังคม การเมือง ปัญหาระหว่างประเทศ ที่อาจจะส่งผลกระทบกับทุกคนในยุคหลังโควิด ดังนั้นเราควรลงทุนกับอะไรให้เงินงอกเงย และมีความเสี่ยงน้อยที่สุด จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรเลือกลงทุนกับประกันออมทรัพย์ Show
1.ประกันออมทรัพย์ช่วยทำให้ชีวิตเรามั่นคงทำไมเราถึงต้องลงทุนกับประกันออมทรัพย์ ลงทุนอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ? คำตอบคือใช่แล้วการลงทุนอย่างอื่นอาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันการลงทุนทางเดียว เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เนื่องจากคุณอาจต้องสูญเสียเงินทั้งชีวิตในคราวเดียว หากตัดสินใจผิดพลาด ดังนั้น การลงทุนหลายทาง จึงเป็นวิธีบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีที่สุด และการซื้อประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ก็ถือเป็นทางเลือกของการสร้างหลักประกันให้ชีวิตมั่นคงอีกทาง นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างวินัยให้ตัวเองรู้จักออมเงินอีกด้วย 2.ประกันออมทรัพย์ช่วยทำให้คุณ ได้รับผลตอบแทนและใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ทุกวันนี้ข้าวของทุกอย่างล้วนทยอยกันปรับตัวขึ้นสูง แล้วเราจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราจึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเรื่องสิทธิ์ต่าง ๆ ใน การลดหย่อนภาษี เพราะนอกจากจะช่วยลดรายจ่ายแล้วผลตอบแทนไม่ถูกนับเป็นรายได้ไม่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ถือเป็นการเปลี่ยนภาษีให้เป็นเงินออมไว้ใช้ในอนาคตอีกด้วย 3.ประกันออมทรัพย์เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนคุ้มค่าอย่างที่รู้กันหลายคนคงไม่ได้มีเงินเก็บเยอะโดยเฉพาะวัยรุ่นที่เพิ่งสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่มีเวลาไปนั่งดูหุ้น หรือเทรดคริปโตที่ขึ้นลงรายวินาที ดังนั้นการทำประกันออมทรัพย์นอกจากจะไม่ต้องมานั่งเสียเวลาเฝ้าดูแล้ว ยังให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ทรัพย์สินมากขึ้นนอกจากปล่อยเงินทิ้งไว้เฉย ๆ 4.ประกันออมทรัพย์เป็นหลักประกันให้คนข้างหลังประกันออมทรัพย์มาพร้อมความคุ้มครองในกรณี ผู้เอาประกันภัย เสียชีวิต แน่นอนว่าคนทำประกันส่วนใหญ่คงไม่มีใครอยากใช้เงินประกันในส่วนนี้อย่างแน่นอน แต่เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถควบคุมมันได้ ดังนั้นหลักประกัน ที่ดีคือ “มรดก” ที่จะทิ้งไว้ให้คนข้างหลัง 5.ประกันออมทรัพย์สามารถเป็นเงินฉุกเฉินในสถานการณ์คับขันเราอาจไม่สามารถพึ่งพิงใครได้ในยามลำบาก แต่กรมธรรม์สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ในกรณีฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นการนำเงินไปชำระค่าบ้าน ค่างวด ค่ารถ ค่าเทอม หรือค่ารักษาพยาบาล ด้วยการขอ กู้เงินกรมธรรม์ หรือหากเราไม่อยากรับภาระดอกเบี้ย และสามารถยอมเสียผลประโยชน์บางส่วนได้ เราก็สามารถเลือก เวนคืนกรรมธรรม์ เพื่อนำเงินมาใช้ยามฉุกเฉิน แต่ขอย้ำว่าวิธีนี้ควรใช้เฉพาะยามจำเป็นจริง ๆ เท่านั้นนะ อ่านจนมาถึงตรงนี้หลายคนคงเริ่มสนใจอยากหาข้อมูลเกี่ยวกับประกันออมทรัพย์กันไม่มากก็น้อยแล้ว หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสามารถกรอกข้อมูลเพื่อรับการติดต่อกลับได้เลยนะ และแน่นอนว่าทุกครั้งที่ตัดสินใจซื้อประกันควรศึกษาผลิตภัณท์ และเงื่อนไขต่าง ๆ ก่อนการตัดสินใจซื้อทุกครั้งนะ หรือ สนใจซื้อประกันออนไลน์ ง่ายๆ คือการชดเชยรายได้ที่ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากการเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือชราภาพ โดยบริษัทประกันชีวิต (บริษัทฯ) จะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตการทำประกันชีวิตมีประโยชน์หลายประการ เช่น
1. ให้ความคุ้มครอง ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องการเงินหรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นของครอบครัว (เช่น หนี้สิน) อันเนื่องมาจากการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย 1. ความรู้เบื้องต้นผู้เกี่ยวข้องกับสัญญาประกันชีวิต ประกอบด้วย 3 ฝ่าย ได้แก่1. ผู้รับประกันภัยคือบริษัทประกันชีวิต ซึ่งหมายถึงบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิต เพื่อรับประกันต่อความสูญเสียหรือความเสียหายต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยสัญญาว่าจะจ่ายชดเชยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับผลประโยชน์เมื่อมีการเสียชีวิต และอาจมีความคุ้มครองอื่น ๆ เช่น การประกันอุบัติเหตุและสูญเสียอวัยวะ การประกันกรณีทุพพลภาพ หรือการประกันสุขภาพ (ดูรายชื่อบริษัท) 2. ผู้เอาประกันภัยคือบุคคลที่ตกลงทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทฯ โดยอาศัยสาเหตุของการมีชีวิตหรือการตายเป็นเงื่อนไขในการจ่ายเงินประกันชีวิต 3. ผู้รับประโยชน์คือบุคคลที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตว่าจะเป็นผู้รับเงินประกันชีวิตตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ประเภทของการประกันชีวิตการประกันชีวิต แยกออกได้เป็น 3 ประเภทคือ1. ประเภทสามัญ (Ordinary Life Insurance)คือการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูงตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทฯ 2. ประเภทอุตสาหกรรม (Industrial Life Insurance)คือการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำ ตั้งแต่ 10,000 - 30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือน และไม่มีการตรวจสุขภาพ ดังนั้น จึงมีระยะเวลารอคอยคือระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อพิสูจน์สุขภาพของผู้เอาประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลารอคอย บริษัทฯ จะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมด 3. ประเภทกลุ่ม (Group Life Insurance)คือการประกันชีวิตบุคคลหลายคนภายใต้กรมธรรม์ฉบับเดียว ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันภัยอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทฯ การประกันชีวิตประเภทนี้ ค่าเบี้ยประกันภัยจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภทอุตสาหกรรม เมื่อพิจารณาจากลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์ แบบการประกันชีวิตพื้นฐานมีอยู่ 4 แบบคือ 01 แบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance)คือการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ โดยบริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ วัตถุประสงค์เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือบุคคลที่อยู่ในความอุปการะเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ หรือใช้สำหรับชำระหนี้ก้อนสุดท้าย 02 แบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance)คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาเอาประกันภัย วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ และไม่มีเงินคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่น ๆ 03 แบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาเอาประกันภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ซึ่งส่วนของการออมทรัพย์คือส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับเงินคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด ความแตกต่างระหว่างประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์กับการฝากเงินกับสถาบันการเงินข้อเปรียบเทียบเงินฝากประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์วัตถุประสงค์การออมทรัพย์คุ้มครองชีวิต (และอื่น ๆ) และออมทรัพย์ผลตอบแทนเมื่อสัญญาสิ้นสุดเงินฝากและดอกเบี้ย - กรณีมีชีวิต (เงินจ่ายคืน/เงินปันผล) - กรณีเสียชีวิต (เงินผลประโยชน์มรณกรรมหรือจำนวนเงินเอาประกันภัย) ลดหย่อนภาษีลดหย่อนภาษีไม่ได้- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท ภาษีจากผลตอบแทน15% (กรณีเงินฝากออมทรัพย์ ดอกเบี้ย 20,000 บาทแรกไม่ต้องเสียภาษี)ไม่ต้องเสียภาษีการฝาก/การจ่ายเบี้ยประกันภัยไม่ต้องฝากสม่ำเสมอจ่ายเบี้ยประกันภัยแบบชำระครั้งเดียวหรือแบบรายงวดการถอนถอนได้ถอนไม่ได้ แต่ต้องยกเลิกกรมธรรม์ (การเวนคืนกรมธรรม์) แต่จะได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวนตามเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายชำระไปแล้วสภาพคล่องสูง สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายต่ำ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เมื่อกรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืน แต่จะได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวนตามเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายชำระไปแล้วความคุ้มครองได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากตามที่กฎหมายกำหนดไม่ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันประกันคุ้มครองเงินฝาก04 แบบบำนาญ (Annuities Insurance)คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือนหรือทุกปี นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไป สำหรับกำหนดเวลาการเริ่มจ่ายเงินบำนาญและระยะเวลาการจ่ายเงินบำนาญขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ ซึ่งผู้เอาประกันภัยควรพิจารณาเลือกแบบบำนาญให้ตรงกับแผนการใช้เงินในอนาคตของตน ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์แตกต่างกับการฝากเงินกับสถาบันเงินในเรื่องการถอนเงิน เนื่องจากการออมด้วยการซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ไม่สามารถถอนเงินได้เหมือนการฝากเงินได้ แต่ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์สามารถเวนคืนกรมธรรม์ได้ ซึ่งมูลค่าเวนคืนตามกรมธรรม์ที่ได้จะถูกหักค่าธรรมเนียมในการเวนคืน2. การพิจารณารูปแบบประกันชีวิตก่อนจะทำประกันชีวิต ผู้บริโภคต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ของการทำประกันชีวิต ระยะเวลาคุ้มครอง จำนวนเงินเอาประกันภัย และความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัยก่อน เช่น ความต้องการ แบบประกันภัยที่เหมาะสม
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ช่วงชีวิตก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้เอาประกันภัยควรนำมาพิจารณาด้วย เช่น ช่วงเริ่มต้นทำงาน : ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ช่วงสร้างครอบครัว เริ่มมีบุตร มีการผ่อนรถ/บ้าน ค่าเล่าเรียนบุตร : ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ก่อนเกษียณ : ประกันชีวิตแบบบำนาญ 3. คำแนะนำในการเลือกและทำสัญญาประกันชีวิต มีดังนี้1. ติดต่อบริษัทฯ โดยตรงหรือผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต2. ศึกษาแบบประกันชีวิตต่าง ๆ เพื่อเลือกแบบประกันชีวิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ โดยพิจารณาจากความเสี่ยงของตนเอง3. เลือกวงเงินเอาประกันภัยที่ต้องการและเหมาะสม โดยควรคำนึงถึงรายได้ประจำที่ได้รับ และความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัย 4. กรอกรายละเอียดในแบบคำขอเอาประกันชีวิต โดยแถลงความจริงทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติการรักษาพยาบาลและคำแถลงเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะการปิดบังในสาระสำคัญเหล่านี้จะเป็นเหตุให้ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ 5. ตรวจสอบความถูกต้องก่อนลงชื่อในแบบคำขอ และเมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว ควรตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง หากพบข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เช่น ชื่อผู้รับประโยชน์หรือชื่อผู้เอาประกันภัยผิดพลาด ให้ทักท้วงบริษัทฯ เพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง 6. จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตตามกำหนด และเก็บใบเสร็จรับเงินไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง และถ้าจ่ายเบี้ยประกันชีวิตผ่านตัวแทน ต้องเรียกใบเสร็จรับเงินชั่วคราวเสมอ 7. แจ้งให้ผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ หรือบุคคลในครอบครัวทราบถึงการทำประกันชีวิต และสถานที่เก็บกรมธรรม์ 8. เก็บรักษากรมธรรม์ให้ดี ถ้าหายต้องไปแจ้งความและขอทำใหม่ ซึ่งจะถูกเก็บค่าธรรมเนียมด้วย
4. การชำระเบี้ยประกันชีวิตประเภทการชำระเบี้ยประกันชีวิต ได้แก่1. ชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียว (single premium)2. ชำระเบี้ยประกันภัยรายงวด (level premium) ซึ่งระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยอาจสั้นกว่าระยะเวลาความคุ้มครอง เช่น ระยะเวลาความคุ้มครอง 10 ปี ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 5 ปี และสามารถกำหนดงวดการจ่ายเป็นรายปี ราย 6 เดือน ราย 3 เดือนหรือรายเดือนก็ได้
|