เครื่องหมายวรรคตอนเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการเขียนภาษาอังกฤษ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้ประโยคที่ใช้สื่อสารมีความชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจสิ่งที่อ่านได้อย่างถูกต้องอีกด้วย การอ่านข้อความที่ปราศจากเครื่องหมายวรรคตอนด้านล่างนี้ จะทำให้คุณเห็นว่าเครื่องหมายวรรคตอนมีความสำคัญมากเพียงไร perhaps you dont always need to use commas periods colons etc to make sentences clear when i am in a hurry tired cold lazy or angry i sometimes leave out punctuation marks grammar is stupid i can write without it and dont need it my uncle Harry once said he was not very clever and i never understood a word he wrote to me i think ill learn some punctuation not too much enough to write to Uncle Harry he needs some help และลองอ่านข้อความเดียวกันนี้ที่มีเครื่องหมายวรรคตอนกำกับไว้ คุณจะเห็นว่า มันจะแตกต่างจากการอ่านประโยคด้านบนมากทีเดียว! Perhaps you don't always need to use commas, periods, colons etc. to make sentences clear. When I am in a hurry, tired, cold, lazy, or angry I sometimes leave out punctuation marks. "Grammar is stupid! I can write without it and don't need it," my uncle Harry once said. He was not very clever, and I never understood a word he wrote to me. I think I'll learn some punctuation - not too much, enough to write to Uncle Harry. He needs some help! การเรียนรู้การใช้เครื่องหมายวรรคตอนในบทเรียนนี้จะช่วยให้คุณสามารถเขียนภาษาอังกฤษได้ชัดเจน แม่นยำและสละสลวยมากยิ่งขึ้น เครื่องหมายวรรคตอน (Punctuation) เป็นเครื่องมือของภาษาเขียนที่จะช่วยแบ่งประโยคให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เครื่องหมายวรรคตอนมีต่อไปนี้ 1. Full Stops (British English) หรือ Periods (American English) ( . ) -ใช้เมื่อจบประโยคในประโยคทุกประโยค ยกเว้น ประโยคคำถาม ประโยคอุทาน เช่น
-ใช้หลังอักษรย่อต่างๆหรือคำย่อ เช่น
2. Comma ( , ) หรือ เครื่องหมายจุลภาค/เครื่องหมายลูกน้ำ – ใช้แยกบันทึกรายการต่างๆ หรือคำกลุ่มเดียวกันเช่น
สังเกตได้ว่าจะมี (,) วางไว้หน้าคำว่า and – ใช้เพื่อแยกข้อความในประโยคคำพูด เช่น
– ใช้แยกประโยคที่ตามหลัง Yes, No และ Well ที่ขึ้นต้นประโยค เช่น
– ใช้แยกประโยคที่ตามหลัง ในที่ที่ต้องการให้หยุดพักการอ่าน เช่น
– ใช้คั่นเพื่อแยกคำนามซ้อน เช่น
– ใช้แยกคำที่เป็นชื่อเรียกของคน เช่น
– ใช้แยกคำคุณศัพท์ที่บอกสี เช่น
– ใช้แยกคำคุณศัพท์ที่ตามหลังคำนาม เช่น
– คั่นระหว่างปีที่ตามหลังเดือน, ถนนกับเมือง, เมืองกับประเทศ เช่น
– ใช้แยกคำหรือวลี เช่น however, therefore, of cause, for instance, etc. 3. Question Mark ( ? ) หรือ เครื่องหมายปรัศนี ใช้กับประโยคคำถามเท่านั้น ใช้ในประโยค Direct question เท่านั้น ไม่ใช้ในประโยค Indirect question เช่น
4. Colon ( : ) หรือ เครื่องหมายมหัพภาคคู่/เครื่องหมายทวิภาค – Colon ( : ) มีความหมายคล้ายกับคำว่า กล่าวคือ – ใช้ colon ก่อนการประโยคอธิบาย เช่น
-ใช้แจ้งรายการหรือรายละเอียด มักใช้ตามหลังคำ the following หรือ as follows เช่น
5. Semi-colon ( ; ) หรือ เครื่องหมายอัฒภาค – ใช้คั่นประโยคที่มีเครื่องหมาย comma คั่นอยู่แล้ว เช่น
– ใช้ทำหน้าเพื่อเชื่อมประโยคสองประโยคที่มีเนื้อหาเกี่ยวพันกันวางไว้หน้า adverbs ได้แก่ therefore (ดังนั้น) besides (นอกจากนี้) เป็นต้น เช่น
-ใช้เชื่อมประโยคสองประโยคที่ไม่มีคำเชื่อม และทั้งสองประโยคมีความหมายเกี่ยวเนื่องกัน เช่น
6. Exclamation Mark ( ! ) หรือ เครื่องหมายอัศเจรีย์ ใช้หลังคำอุทานหรือประโยคอุทาน เช่น
7. Apostrophe ( ‘ ) หรือ เครื่องหมายวรรคตอน – ใช้แสดงความเป็นเจ้าของของคำนามทั้งนามเอกพจน์และนามพหูพจน์ เช่น
– ใช้แสดงความเป็นเจ้าของของคำนามพหูพจน์ที่เติม s หรือชื่อเฉพาะที่มี s เช่น
– ใช้สำหรับละตัวอักษร เช่น
8. Quotation Marks ( ” ” ) หรือ เครื่องหมายอัญประกาศ – ใช้เขียนคร่อมข้อความที่เป็นประโยคคำพูด เช่น
ข้อสังเกต 1. เครื่องหมาย full stop, Exclamation Mark, Question Mark และ Comma จะต้องอยู่ใน Quotation Marks เสมอ 2. Quotation Marks อาจจะมีเครื่องหมายขีดเดียว (‘ ‘) หรือ สองขีด (“ “) ก็ได้ |