การต้งั คาถาม Show การต้งั คาถาม 5W1H 5W1H เป็นเครื่องมือสำหรบั กำรวิเครำะหร์ ปู แบบหนงึ่ ดว้ ยกำรตงั้ คำถำม การต้งั คาถาม 5W1H ปัญหาหรอื ความต้องการคอื อะไร เป็นกำรบอกลักษณะของปัญหำ ปัญหาหรือความต้องการเกิดขึ้นกับใคร เป็นกำรระบุตัวบุคคลที่ ปัญหาหรือความต้องการเกิดข้ึนท่ีไหน เป็นกำรบอกสถำนท่ี การต้งั คาถาม 5W1H ปญั หาหรือความต้องการเกิดข้ึนเม่ือใด เป็นกำรบอกช่วงเวลำหรือ ทาไมจึงเกิดปัญหาหรือความต้องการ เป็นกำรบอกสำเหตุของ ปัญหาหรือความต้องการมีลักษณะอย่างไร เป็นกำรบอกควำม ตวั อย่างสถานการณ์และการวเิ คราะหโ์ ดยใช้ 5W1H กำรกลับเข้ำท่ีพักในเวลำกลำงคืน ซ่ึงบริเวณโดยรอบมืดมำก ตัวอยา่ งสถานการณแ์ ละการวเิ คราะห์โดยใช้ 5W1H เมอ่ื นำตัวอย่ำงสถำนกำรณ์ดังกลำ่ ว มำวิเครำะหด์ ว้ ยกำรต้ังคำถำม 5W1H อำจได้แนวคำตอบดังตำรำง คาถาม 5W1H ตัวอย่างคาตอบ Who ผูพ้ ักอำศัย และผ้ทู จี่ ำเปน็ ตอ้ งกลบั เขำ้ ที่พกั ตอนกลำงคืน Where บริเวณประตูรั้วบ้ำนทพี่ ักอำศัย When เมอ่ื เดนิ ทำงกลับเข้ำท่ีพักในเวลำกลำงคนื Why เวลำกลำงคนื บรเิ วณบำ้ นไมม่ แี สงสว่ำง บริเวณประตูร้ัวจะมืดมำก และสวติ ชไ์ ฟรวั้ อยู่ในบ้ำน What บรเิ วณประตรู ัว้ บ้ำนมดื มำก และไม่สำมำรถเปดิ สวติ ช์ไฟซึ่งอยใู่ นบ้ำนได้ เมื่อผู้พักอำศยั เดนิ ทำง How ต้องกำรแสงสวำ่ งที่บริเวณประตูร้วั บำ้ นเม่ือผ้พู ักอำศยั เดินทำงกลบั ถึงทพ่ี ักในเวลำกลำงคนื การตงั้ คาถาม 5W1H จำกวิเครำะหด์ ว้ ยกำรตั้งคำถำม 5W1H จึงกำหนดเป็นกรอบของปัญหำหรอื ควำมตอ้ งกำร คือ “ตอ้ งกำรแสงสว่ำงท่ีบริเวณประตูรว้ั บ้ำนเมื่อผู้พกั อำศัยเดนิ ทำงกลบั ถึงท่พี ักใน เพ่อื นำไปส่กู ำรแกป้ ญั หำหรอื สนองควำมต้องกำรตอ่ ไป กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเปน็ กระบวนการทางาน กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม 1 ข้นั ระบุปัญหา (problem identification) การระบุปัญหาเปน็ การทาความเข้าใจสถานการณ์ของปัญหาหรือ เพื่อแกไ้ ขปญั หาดังกลา่ วในการแกป้ ญั หาในชีวติ จริงบางคร้งั คาถามหรอื กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม 2 ขน้ั รวบรวมขอ้ มูลและแนวคดิ ท่ีเกยี่ วข้องกับปัญหา (related information search) ในการค้นหาแนวคดิ ทเี่ กีย่ วขอ้ งผูแ้ กป้ ัญหาอาจมีการดาเนนิ การ ดังนี้ (1) การรวบรวมขอ้ มูล คือ การสบื คน้ วา่ เคยมีใครหาวิธแี ก้ปญั หาดังกล่าวน้แี ลว้ (2) การค้นหาแนวคิด คือ การคน้ หาแนวคิดหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ผู้แกป้ ัญหาควรพิจารณาแนวคิดหรอื ความรู้ทงั้ หมดทส่ี ามารถใช้แกป้ ญั หาและ และหลังจากการรวบรวมแนวคิดเหล่านั้นแลว้ จึงประเมนิ แนวคดิ เหล่าน้ัน โดย กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม 3 ขัน้ ออกแบบวิธกี ารแกป้ ญั หา (solution design) ในข้ันตอนน้จี ะเลอื กแนวคดิ ท่เี หมาะสมในการแกป้ ญั หา แล้วการนา กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม ขนั้ วางแผนและดาเนินการแก้ปัญหา (planning and development) ในข้ันตอนน้ี คือ การพฒั นาวธิ ีการแก้ปัญหาหรอื ชิ้นงานต้นแบบท่ีได้ 4 กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม ข้ันทดสอบ ประเมนิ ผล และปรบั ปรุงแก้ไขวธิ กี ารแกป้ ัญหาหรอื ชิ้นงาน เปน็ ขั้นตอนทดสอบและประเมินการใชว้ ธิ ีการหรือช้ินงานต้นแบบเพ่อื 5 กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ขั้นนาเสนอวธิ ีการแกป้ ัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือช้นิ งาน (presentation) ในขั้นตอนน้ี หลงั จากการพฒั นาปรับปรุง ทดสอบและประเมนิ วธิ ีการ 6 กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม ในระหว่างการแกป้ ัญหาดว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม ขน้ั ตอน ผงั ก้างปลา ผังก้างปลา ผังก้างปลา (fishbone diagram) เปน็ ผังที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหากับสาเหตุของปัญหาทั้งหมด เม่ือไหร่จงึ จะใช้ผงั กา้ งปลา 1. เมอ่ื ต้องการค้นหาสาเหตขุ องปัญหา ซง่ึ ปัญหาหน่ึงอาจมีปัจจัยหรือสาเหตุท่เี กย่ี วข้องหลายปจั จยั วิธกี ารสร้างผงั กา้ งปลา 1. กาหนดหรอื เขยี นปัญหาท่ีหัวปลาทางด้านขวาของแผนภาพ ควรกาหนดให้ชัดเจน มีความเป็นไปได้ ซึ่ง วธิ กี ารสร้างผังก้างปลา 2. เขียนสาเหตหุ รือปจั จัยหลกั ๆ ซ่ึงอาจมีหลายสาเหตไุ ว้ที่ปลายก้างปลาแต่ละก้าง โดยสาเหตุหรือปัจจัยนัน้ สามารถที่ - 4M 1E (Man Machine Material Method Environment) วธิ กี ารสร้างผังก้างปลา 3. เขียนสาเหตุย่อยต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบในแต่ละสาเหตุหรือปัจจัยหลักไว้ที่ก้างปลาย่อย หากมี วธิ กี ารสร้างผังก้างปลา 4. เม่ือส้นิ สดุ คาถามแล้ว จึงขยบั ไปที่กา้ งตอ่ ๆ ไป จนกวา่ จะไดผ้ ังกา้ งปลาท่สี มบรู ณ์ วิธกี ารสรา้ งผงั กา้ งปลา 5. เม่ือทาผังก้างปลาเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะนาผังก้างปลาไปใช้ประโยชน์ต่อไป ควรตรวจทานดูว่าการเขียนเหตุผลบนผังมี จากตัวอย่างผังกา้ งปลาปญั หาค่าไฟฟ้าของโรงเรียนสูงขึน้ สามารถสรุปสาเหตุของก้างปลายอ่ ยทีเ่ กี่ยวกับผู้ใช้ได้วา่ “การ การเลือกสาเหตปุ ญั หาจากผังกา้ งปลาเพื่อแกป้ ญั หา ในการดาเนินการเลือกสาเหตจุ ากกา้ งปลาออกมาทาการแกไ้ ขน้ัน อาจเลือกไดต้ ามหลกั การ สามารถส่งผลกระทบกับหัวปลาได้ร้อยละ 80 หรือเลือกสาเหตุมาแก้น้อย ๆ แต่สามารถแก้ไข 2. ใชต้ ารางจัตรุ ัสแสดงการกาหนดความสาคัญของแต่ละสาเหตุ (แต่ละก้างปลา) ตารางจตั รุ สั แสดงการกาหนดความสาคญั ของแต่ละสาเหตุ ตวั อย่างการใชต้ ารางจตั ุรสั แสดงการกาหนดความสาคัญของแตล่ ะสาเหตุ (แตล่ ะกา้ งปลา) ตารางจตั รุ ัสแสดงการกาหนดความสาคญั ของแตล่ ะสาเหตุ จากตารางการเปรียบเทียบระหว่างผลกระทบปัญหาที่หัวปลากับ ตารางจตั รุ สั แสดงการกาหนดความสาคัญของแตล่ ะสาเหตุ ส่วนสาเหตุของปัญหาที่ตกอยู่ในกลุ่ม B คือ ดาเนินการแก้ไขได้ง่ายแต่ผลกระทบ 5W1H อยู่ในขั้นตอนใดของการออกแบบเชิงวิศวกรรม *ขั้นที่ 1 ระบุปัญหา (Problem Identification) เป็นขั้นตอนที่ผู้แก้ปัญหาทำความเข้าใจในสิ่งที่เป็นปัญหาในชีวิตประจำวันที่พบเจอ ซึ่งสามารถใช้ทักษะการตั้งคำถามด้วยหลัก 5W 1H เมื่อเกิดสถานการณ์ปัญหาหรือความต้องการ ซึ่งคำถามจากหลัก 5W1H ประกอบด้วย Who เป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือความต้องการ
กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมในขั้นตอนใดที่ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ด้วย 5W1Hขั้นที่ 1 ระบุปัญหา (Problem Identification) เป็นขั้นตอนที่ผู้แก้ปัญหาทำความเข้าใจในสิ่งที่เป็นปัญหาในชีวิตประจำวันที่พบเจอ ซึ่งสามารถใช้ทักษะการตั้งคำถามด้วยหลัก 5W 1H เมื่อเกิดสถานการณ์ปัญหาหรือความต้องการ ซึ่งคำถามจากหลัก 5W1H ประกอบด้วยWho เป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือความต้องการ
ขั้นตอนสําคัญของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม มีอะไรบ้าง3. ขั้นตอนสาคัญของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม มีอะไรบ้าง 1.การกาหนดปัญหา สร้างแนวคิด ด้วยเทคนิคการระดมสมอง 2.การดาเนินการวิจัย เพื่อสารวจแนวคิดการแก้ปัญหาที่เป็นไปได้การเลือกแนวคิดที่เหมาะสม 3.การทดสอบด้วยการสร้างแบบจาลองและต้นแบบ 4.ดาเนินการแก้ปัญหาด้วยชิ้นงาน 5.ประเมินว่าสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ 6.การนาเสนอผล
กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม คืออะไร มีอะไรบ้าง3. ขั้นตอนสาคัญของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม มีอะไรบ้าง 1.การกาหนดปัญหา สร้างแนวคิด ด้วยเทคนิคการระดมสมอง 2.การดาเนินการวิจัย เพื่อสารวจแนวคิดการแก้ปัญหาที่เป็นไปได้การเลือกแนวคิดที่เหมาะสม 3.การทดสอบด้วยการสร้างแบบจาลองและต้นแบบ 4.ดาเนินการแก้ปัญหาด้วยชิ้นงาน 5.ประเมินว่าสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ 6.การนาเสนอผล
|