สยามรัฐออนไลน์ 24 กุมภาพันธ์ 2563 09:13 น. วัฒนธรรม เชิงสารคดี/บูรพา โชติช่วง: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ของทุกปี ตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ.2352 – 2367) นับเป็นช่วงเวลาที่ราชอาณาจักรไทยเริ่มเข้าสู่ความสงบและมีความปึกแผ่นมากกว่าสมัยที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าพระองค์จะยังทรงประกอบพระราชกรณียกิจในการบริหารราชการแผ่นดินและทำนุบำรุงพระนครสืบต่อพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบรมชนกนาถ เช่นที่เคยเป็นมา แต่ในขณะเดียวกันยังทรงให้ความสำคัญต่อการฟื้นฟูศิลปกรรมในแขนงต่างๆ อย่างดียิ่ง ที่สำคัญคือ การรังสรรค์งานสถาปัตยกรรมในพระนครให้มีความสง่างามยิ่งกว่ายุคสมัยที่ผ่านมา มีการขยายอาณาเขตของพระบรมมหาราชวังทางทิศตะวันตกกับทิศใต้ใหม่ นอกจากนั้นยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างและตกแต่งอาคารต่างๆ ให้มีรูปแบบสมัยใหม่โดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งทอง 3 หลัง สร้างตึกแบบยุโรปและเก๋งจีนอีกเป็นจำนวนมากในบริเวณสวนขวาภายในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นที่ทรงพระสำราญและต้อนรับแขกเมือง โดยมีลักษณะของการผสมผสานศิลปวัฒนธรรมระหว่างไทยกับต่างชาติเข้าด้วยกัน ทั้งนี้เพราะภายในสวนขวาจะประกอบด้วย อ่างน้ำ ภูเขา แพเก๋ง ตุ๊กตาเท่าคนจริง พร้อมด้วยรูปสัตว์ต่างๆ ในรัชสมัยของพระองค์ โปรดเกล้าฯ ให้มีการตัดถนนเพิ่มขึ้น ถนนที่สำคัญ ได้แก่ ถนนหน้าพระธาตุ และถนนพระจันทร์ เป็นต้น แต่ถึงกระนั้นถนนที่ตัดขึ้นใหม่นี้ล้วนเป็นไปเพื่อเชื่อมการสัญจรระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นสำคัญ โดยมีเทคนิคการก่อสร้างแบบเรียบง่าย (ตำนานงานโยธา 2325–2556) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระปรีชาสามารถในด้านศิลปกรรม ทั้งด้านประติมากรรม ทรงส่งเสริมงานช่างด้านหล่อพระพุทธรูปแล้ว ยังได้ทรงพระราชอุตสาหะปั้นหุ่นพระพักตร์ของพระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลกด้วยพระองค์เอง พระประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร และพระองค์ยังทรงเป็นช่างปั้นและการแกะสลักที่เชี่ยวชาญ ทรงแกะสลักบานประตูพระวิหารพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร คู่หน้าด้วยพระองค์เองร่วมกับกรมหมื่นจิตรภักดี ฯลฯ ด้านกวีนิพนธ์ ในรัชสมัยของพระองค์ได้รับการยกย่องว่า เป็นยุคทองของวรรณคดีในสมัยนั้น ด้านกาพย์กลอนเจริญสูงสุด จนมีคำกล่าวว่า “ในรัชกาลที่ 2 นั้น ใครเป็นกวีก็เป็นคนโปรด” กวีที่มีชื่อเสียงนอกจากพระองค์แล้วยังมีกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส, สุนทรภู่, พระยาตรัง และนายนรินทรธิเบศร์ (อิน) เป็นต้น พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทกลอนมากมาย ทรงเป็นยอดกวีด้านการแต่งบทละครทั้งละครในและละครนอก มีหลายเรื่องที่มีอยู่เดิมและทรงนำมาแต่งใหม่เพื่อให้ใช้ในการแสดงได้ เช่น รามเกียรติ์ อุณรุท และอิเหนา โดยเรื่องอิเหนานี้ เรื่องเดิมมีความยาวมาก ได้ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเรื่องยาวที่สุดของพระองค์ ฯลฯ ด้านดนตรี ทรงพระปรีชาสามารถในด้านนี้ไม่น้อยไปกว่าด้านละครและฟ้อนรำ เครื่องดนตรีที่ทรงถนัดและโปรดปรานคือ ซอสามสาย ซึ่งซอคู่พระหัตถ์ที่สำคัญได้พระราชทานนามว่า “ซอสายฟ้าฟาด” และเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีคือ “เพลงบุหลันลอยเลื่อน” หรือ “บุหลัน (เลื่อน) ลอยฟ้า” แต่ต่อมามักจะเรียกว่า “เพลงทรงพระสุบิน” เพราะเพลงมีนี้มีกำเนิดมาจากพระสุบิน (ฝัน) ของพระองค์เอง เพลงนี้จึงเป็นที่แพร่หลายและรู้จักกันกว้างขวางมาจนทุกวันนี้ (วิกิพีเดีย) ด้วยทรงพระปรีชาสามารถในศิลปกรรมหลายด้าน สถาปัตยกรรม ประติมากรรม กวีนิพนธ์ และดนตรี ที่ปรากฏขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ยุคทอง” ทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความสงบสุขของบ้านเมืองตลอดระยะเวลา 15 ปีแห่งการครองราชย์แล้ว ยังบ่งบอกถึงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ที่นับว่ามีแต่เพิ่มพูนขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อล่วงสู่รัชกาลต่อมา วันที่ 24 กุมภาพันธ์ของทุกปี ยังได้กำหนดให้เป็น “วันศิลปินแห่งชาติ” ผู้ทรงเป็นพระปฐมบรมศิลปินแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้ง และพระราชทานนามใหม่ว่า วัดอรุณราชธาราม ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาประดิษฐานไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดอรุณราชวราราม กิจกรรมครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ทราบถึงพระราชประวัติและพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยในด้านวรรณคดี ที่มีความโดดเด่นมากที่สุดในยุครัตนโกสินทร์แล้วยังได้ทราบถึงพระปรีชาสามารถด้านอื่นๆ ของพระองค์ รวมถึงมรดกความเป็นไทยต่างๆ ที่ควรคู่ให้คนรุ่นหลังได้อนุรักษ์สืบต่อไปถ้าจะเปรียบเทียบในรัชกาลที่ ๑ เป็นยุคฟื้นฟู หากแต่ยังมีศึกสงครามอยู่ บ้านเมืองยังไม่สงบสุขนัก ไม่เหมือนสมัยรัชกาลที่ ๒ ซึ่งบ้านเมืองสงบราบคาบ จึงทำให้รสวรรณคดีแตกต่างกันไป เช่น ในรัชกาลที่ ๑ วรรณคดีมักจะโน้มน้าวปลุกใจให้คนรักชาติ ให้คนรักต่อสู้ ไม่นิ่มนวลรื่นรมย์เหมือนวรรณคดีในรัชกาลที่ ๒ ในรัชกาลนี้ วรรณคดีจึงเฟื่องฟูที่สุด เพราะพระองค์สนพระทัย และทรงจัดเจนอยู่มาก มีวรรณคดีที่เป็นอมตะหลายเรื่อง ที่ปรากฏมาจนทุกวันนี้ เช่น อิเหนาในรัชกาลที่ ๒ มีบทไพเราะ แสดงละครได้เป็นอย่างดี มีความรู้ในด้านประวัติศาสตร์ในสมัยนั้น เพราะมักจะมีคำซึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปนอยู่ด้วย รู้จักขนบประเพณีไทยในสมัยรัชกาลที่ ๒ นับว่าเป็นยอดแห่งกลอนบทละคร แสดงได้ตามบทบาท ไม่สั้น ไม่ยาว ได้รับความรู้ทางศิลป สถาบปัยกรรมไวมาก เพราะพระองค์ทรงมีความชำนาญในทางนี้อยู่แล้ว บทในการชมต่างๆ ไพเราะ มองเห็นภาพพจน์ เช่น บทชมนกและดอกไม้ ซึ่งจำได้อย่างขึ้นใจโดยทั่วไปว่า “…นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา มีกลอนที่จำได้ติดปากโดยทั่วไป ก็ได้แก่การชมปลาและดอกบัว เช่น การที่จะรู้ว่าพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ตามแบบฉบับก็ด้วยกลอนบทหนึ่งว่า ราชพิธีต่างๆ เราก็จะได้รู้ในอิเหนามาก เช่น ราชพิธีสมโภชลูกหลวงประสูติใหม่ พิธีพระเมรุ พิธีรับแขกเมือง พิธีแห่สนานใหญ่ พิธีโสกันต์ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น ที่ผู้อ่านจะได้ประโยชน์อย่างยิ่ง บทเสภาขุนช้างขุนแผน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงโปรดให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งขึ้นใหม่ โดยอาศยสำนวนที่เคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ต่อมาปี ๒๔๖๐ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพร่วมกับกรมหมื่นพจน์สุปรีชา ได้ชำระใหม่เรียกว่า “เสภาหลวง” ใช้สำหรับขับเสภา ลักษณะเป็นกลอนเสภาสำหรับเล่นละคร ใช้คำที่ไพเราะมาก เนื้อความเข้าใจง่ายซึ้งตรึงใจยิ่งนัก โบราณท่านสมมุติมนุษย์นี้ ยากแล้วมีใหม่สำเร็จถึงเจ็ดหน บทขำขันก็มี เช่น หมอสมิท พิมพ์เสภาฉบับหลวงจำหน่ายครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๕ บทละครนอกในรัชกาลที่ ๒ ไชยเชษฐ์ สังข์ทอง ไกรทอง มณีพิชัย คาวี มีกลอนสอนใจว่า แม้แต่ภรรยาก็ไม่ควรบอก สังข์ศิลป์ชัย รามเกียรติ์ในรัชกาลที่ ๒ ทรงพระราชนิพนธ์ตั้งแต่ตอนหนุมานถวายแหวน หนุมานเผากรุงลงกา พิเภกถูกขับ พระรามจองถนน องคตสื่อสาร สุครีพหักฉัตร ศึกไมยราพ ศึกกุมภกรรณ ศึกมังกรกัณฑ์และแสงอาทิตย์ ศึกอินทรชิต พิเภกครองกรุงลงกา สีดาลุยไฟ สีดาประสูติรพระมงกุฎ ฤาษีชุบพระลบ พระรามปล่อยม้าอุปการ พระรามคืนดีกับสีดาและกรุงอโยธยา บทพากย์รัชกาลที่ ๒ ลักษณะเป็นกาพย์ฉบังและกาพย์ยานี ทรงพระราชนิพนธ์ใช้พากย์โขน มี ๔ ตอนด้วยกันคือ ตอนนางลอย พรหมมาศ นาคมาศ เอราวัณ กาพย์เห่เรือในรัชกาลที่ ๒ นิราศสุนทรภู่ สุนทรภู่เป็นกวีคนแรก ที่แต่งหนังสือขาย เพื่อเลี้ยงชีพ แต่มีรายได้ไม่พอเลี้ยงท้อง ชีวิตจึงลุ่มๆ ดอนๆ วรรณคดีเรื่องแรกคือเรื่องโคบุตร สุนทรภู่ ได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่งในตำแหน่งอาลักษณ์ของพระปิ่นเกล้า มีบรรดาศักดิ์เป็นพระสุนทรโวหาร ได้อยู่ในตำแหน่งนี้เพียง ๑๐ ปีก็ถึงแก่กรรม เมื่ออายุได้ ๗๐ ปี ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๙๘ สุนทรภู่ได้แต่งนิราศไว้หลายเรื่อง บางเรื่องก็แต่งถึงความรู้สึกที่ต้องจากนางที่ตนรัก เช่น ชมความงามของนํ้า ชมความงามของสวนไม้ ต้นไม้ สอนคน ชมสัตว์เป็นคำโคลงสี่สุภาพ พระอภัยมณี คำกลอนสละสลวย คมคาย มีคติเตือนใจสั่งสอนคนไว้ด้วย ศรีสุวรรณกับพราหมณ์ทั้ง ๓ ร้อนใจออกติดตามไปได้นางเกษรีธิดาของท้าวทศวงศ์ เมืองรมจักร ฝ่ายพระอภัย สินสมุทรบุตรได้พาพระอภัยหนีนางผีเสื้อไปอยู่กับฤาษีที่เกาะแก้วพิสดาร ได้นางเงือกเป็นชายา ต่อมาพระอภัยมณีได้โดยสารเรือท้าวสิลราชเมืองผลึก ถูกผีเสื้ออาละวาดจนเรือแตก สินสมุทรพาสุวรรณมาลีธิดาท้าวสิลราชซึ่งจมน้ำขึ้นฝั่ง โดยสารเรือโจรสุหรั่งไป สินสมุทรฆ่าโจรตายเนื่องจากโจรคิดทำร้าย และได้ต่อสู้กับศรีสุวรรณซึ่งตามหาพระอภัยมณี พระอภัยมณีเป่าปี่ ทำให้ผีเสื้อตายที่เกาะแก้วพิสดาร หลังจากขึ้นฝั่งได้แล้วก็โดยสารเรืออุศเรนคู่หมั้น นางสุวรรณมาลี ทำให้เกิดรบกับสินสมุทรเรื่องนางสุวรรณมาลี พระอภัยครองเมืองผลึก นางสุวรรณมาลีหนีไปบวช นางวารีทำอุบาย จนได้อภิเษกกับพระอภัย อุศเรนแค้นใจยกทัพมารบเมืองผลึก จนตัวถึงแก่ความตาย นางละเวงน้องสาวอุศเรนขอแก้แค้นทำให้เกิดสงครามใหญ่ พระฤาษีแห่งเกาะแก้วพิสดารมาหย่าทัพเรืองจึงสงบ เรื่องราวต่อไปก็รับลูก สุนทรภู่ได้แต่งจนถึงตอนพระอภัยออกบวช นับเป็นคำกลอนที่เป็นนิทานไพเราะมาก เช่น สอนคน “อันทุกข์โศกโรคภัยในมนุษย์ ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน กาพย์พระไชยสุริยา เป็นคำกลอนไพเราะ มีคติเตือนใจ สอนอ่านได้ดี มีคนท่องจำได้มาก เนื้อเรื่อง พระไชยสุริยาครองกรุงสาวัตถี บรรดาอำมาตย์ทั้งหลายประพฤติมิชอบ ทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นอาเภท พระไชยสุริยาได้ลงเรือหนีไปกับพระมเหสี เรือแตก แต่ก็ขึ้นฝั่งได้ ต่อมาได้สดับธรรมของฤาษี แล้วจึงออกบวชจนตลอดชีวิต บรรยายถึงความชั่วที่ไม่นำพาต่อราชการ กลอนสุภาษิตสุนทรภู่ แต่งเป็นสุภาษิตสอนหญิง เพื่อสอนสตรี และแต่งขาย ตัวอย่างเช่น มีเนื้อหาในกลอนสุภาษิต คือ บทเห่ของสุนทรภู่ เข้าใจว่าแต่งเมื่อลาสิกขาแล้ว เนื้อเรื่อง จับเอาตอนสำคัญในเรื่องกากี จับระบำเกี่ยวกับการรำฟ้อน ของชาวสวรรค์ในวสันตฤดู พระอภัยมณี และโคบุตร นิราศนรินทร์ นรินทร์ ถนัดโคลง ส่วนสุนทรภู่ถนัดกลอน จึงเด่นไปคนละแบบ …..ชีวิตคงไม่ขี้เมา และเจ้าชู้เหมือนสุนทรภู่ ลักษณะ เป็นร่ายสุภาพนำ แล้วเป็นโคลงสี่สุภาพเพื่อแสดงถึงความรักและอาลัย ในการจากไปของนรินทร์ โดยเหตุที่นรินทร์อิน เลียนแบบกำสรวลศรีปราชญ์ และเป็นลักษณะโคลงสี่สุภาพ ไม่ใช่โคลงดั้นเช่นศรีปราชญ์ ทั้งใช้ภาษาง่ายกว่า จึงมีความไพเราะ มากกว่า เช่น ชมปราสาทราชวัง เจดีย์สลับสล้างพระ พรางแสง ทองแฮ อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น พันแสง ฝากรัก โฉมแม่ฝากน่านน้ำ อรรณพ แลฤา โฉมควรจักฝากฟ้า ฤาดิน ดีฤา ฝากอุมาสมรแม่แล้ ลักขมี เล่านา นิราศขึ้นต้นด้วยร่าย ด้วยถ้อยคำไพเราะ แม้นรินทร์ จะแต่งวรรณคดีไว้น้อย แต่ก็แสดงถึงผลงานที่เป็นเพชรนํ้าหนึ่งในวรรณคดีไทยทีเดียว โคลงนิราศเสด็จตามลำน้ำน้อย การแต่งนิราศนี้ก็เพื่อรำพึงถึงนางที่ตนรัก และบันทึกเหตุการณ์ตามเสด็จรัชกาลที่ ๑ ไปตีเมืองทวาย แต่งเมื่อ พ.ศ.๒๓๓๐ ลักษณะ เป็นร่ายดั้น โคลงดั้นบาทกุญชร และ วิวิธมาลี แต่งเลียนแบบศรีปราชญ์ ถ้อยคำศัพท์เป็นคำเก่า ขนาดกำสรวลศรีปราชญ์ ตัวอย่างชมวัดเจดีย์ โฉมแม่จักฝากฟ้า เกรงอินทร์ หยอกนา โฉมเจ้าจักแหวกฟ้า ฝากพรหม เมศฤา พระยาตรัง ก็อดจะกล่าวเปรียบเทียบกำสรวลศรีปราชญ์ไม่ได้ เช่นเดียวกับนรินทร์อิน ว่า กำสรวลสาคเรศสร้อย สารศรี ปราชญ์แฮ กำสรวลศรีปราชญ์พร้อง เพรงกาล นิราศถลาง ลำดวนควรเด็ดก้าน ชมเชย อย่างไรก็ดี พระยาตรัง ก็เป็นนักกวีชั้นแนวหน้าผู้หนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ บางศัพท์แม้จะยากแก่การเข้าใจ แต่ก็มีสำนวนไพเราะ บรรยายได้ละเอียดลออดี |