SEO (Search Engine Optimization) คือ การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และคอนเทนต์ของคุณให้มีคุณภาพและความเหมาะสมมากพอที่จะสามารถทะยานขึ้นหน้าแรกไปจนถึงการเป็น “คำตอบแรก” ของ Search Engine ได้ ท่ามกลางผลลัพธ์การค้นหามากมายมหาศาล Show
อ้างอิงจากข้อมูลของ Internet Live Stats ในแต่ละวันจะมีผู้คนเข้ามาค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการใน Google มากกว่า 7.2 พันล้านครั้ง หรือคือ 8.5 หมื่นครั้งต่อวินาที ไม่ว่าจะเป็นการหาข้อมูลเพื่อซื้อสินค้า หาร้านอาหาร อ่านรีวิวท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งจ้างบริษัท/คนทำงาน ซึ่งแน่นอนว่าในบรรดาการค้นหาหลักพันล้านนี้ เว็บไซต์ที่แสดงเป็นอันดับต้นๆ ของ Google มักจะได้ผู้เข้าชมจำนวนมหาศาลเข้าไปเสมอ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ นั่นทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ถ้าคุณมีเว็บไซต์ คุณได้ประโยชน์จาก Google หรือ Search Engine อื่นๆ ในด้านนี้หรือเปล่า ภาพการค้นหาคีย์เวิร์ดจากการใช้ SEO บนหน้าแรก Google
หากเว็บไซต์ของคุณไม่ติดอันดับต้นๆ ใน Google เลย คงเหมือนคุณตั้งร้านในซอยลึกๆ ที่ไม่มีใครเดินผ่านไปมา มีโอกาสน้อยมากที่คนทั่วไปจะมาบังเอิญเจอ คุณอาจต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อโฆษณาเพื่อโปรโมตให้คนรู้จัก กลับกันการได้อยู่บนอันดับต้นๆ ใน Google ก็เหมือนกับคุณตั้งร้านอยู่ในที่ที่มีคนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา ทุกวันจะมีคนหลักแสนเห็นแบรนด์และสินค้าของคุณโดยที่คุณแทบไม่ต้องซื้อโฆษณาเลย (ซึ่งปกติการตั้งร้านบนทำเลดีๆ แบบนี้คุณอาจต้องเสียค่าเช่าแพงมาก ในขณะที่ตำแหน่งบน Google นั้นคุณไม่ต้องเสียค่าเช่าสักบาท) ตัวอย่างเช่นเว็บ Content Shifu ในเครือของเรา ซึ่งเป็นเว็บที่แชร์ข้อมูลด้าน Digital Marketing แบบฟรีๆ และ สอน SEO ให้ผู้สนใจ ซึ่ง Content Shifu นั้นได้ทำ SEO แบบถูกวิธีมาอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์คือ มีคนเข้าชมเว็บไซต์แบบ Organic (คลิกเข้าชมเว็บไซต์โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาให้กูเกิ้ล) มากกว่า 1 แสน ครั้งต่อเดือน ทำให้สามารถสื่อสารการตลาดไปยังผู้คนเป็นจำนวนมาก โดยไม่ต้องใช้งบโฆษณามากมายแต่อย่างใด แล้วเราจะทำยังไงให้อันดับขึ้นล่ะ ? เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจ
ถ้ารู้แล้วว่า SEO คืออะไร แล้วเราจะ “ปรับปรุง” อย่างไรก่อนจะเริ่มทำ SEO บนเว็บไซต์ คุณควรจะวางแผนการใช้ Keyword ก่อนว่าคุณต้องการให้เว็บไซต์แสดงที่ผลการค้นหา Keyword อะไรบ้าง? เริ่มจากการที่คิดว่าถ้าผู้ใช้จะเข้ามาที่เว็บของคุณ เขาจะค้นหา Google ด้วย Keyword ไหน? เมื่อได้ชุดของ Keyword แล้ว คุณสามารถตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Google Keyword Planner ได้ว่า Keyword แต่ละคำมีปริมาณการค้นหาประมาณเท่าไหร่ และมีสภาพการแข่งขันกับเว็บอื่นๆ สูงหรือไม่ (สภาพการแข่งขันดังกล่าวเป็นการแข่งขันซื้อโฆษณา Google Ads แต่เราก็สามารถนำมาประเมินสภาพการแข่งขันตลาดคร่าวๆ ได้) สรุปหลักการค้นหา Keyword สำหรับ SEO คือ แนวทางการทำ SEOในเมื่อ SEO คือการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และคอนเทนต์ แสดงว่า Google และ Search Engine อื่นๆ ย่อมมีหลักเกณฑ์การตรวจสอบและให้คะแนนอยู่ โดยฝั่ง Search Engine จะส่งเหล่า Bot เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์คุณเป็นอยู่เรื่อยๆ แล้วดูความเกี่ยวข้องของเนื้อหากับ Keyword ใดบ้าง อีกทั้งโครงสร้างและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เป็นอย่างไร วิธีการให้คะแนนอย่างละเอียดนั้นไม่มีการไม่เปิดเผยออกมา แต่มีผู้เชี่ยวชาญภายนอกจำนวนมากได้ทดลองและคาดการณ์กันว่า Search Engine อันดับ 1 ของโลกอย่าง Google มีการใช้เกณฑ์อะไรบ้าง เราจึงใช้เกณฑ์เหล่านี้เป็นแนวทางในการทำ SEO โดยเว็บไซต์ Backlinko ได้สรุปปัจจัย 200 อย่างที่คาดว่ามีผลต่ออันดับใน Google ไว้ในบทความ Google’s 200 Ranking Factors: The Complete List จากหลักเกณฑ์จำนวนมากในการทำ SEO ผมสรุปเป็นด้านหลักๆ เป็น 3 ด้าน คือ ด้านเนื้อหา, ด้านโครงสร้างและประสิทธิภาพเว็บไซต์ และด้านความน่าเชื่อถือ ทั้ง 3 ด้านนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด SEO คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ด้านต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บทความหรือเว็บไซต์ติดหน้าแรกๆ ของผลการค้นหาContent – ด้านเนื้อหาเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO เพราะการที่เว็บไซต์จะเกี่ยวข้องกับ Keyword ใด Google จะดูจากความสำคัญของ Keyword ในเนื้อหาที่อยู่บนเว็บ ทั้งปริมาณ Keyword, ตำแหน่งที่ Keyword นั้นปรากฏอยู่ ว่าจะอยู่ใน Title, URL, ส่วนบนล่างของเว็บไซต์ หรือรูปแบบของ Keyword ว่าเป็นหัวข้อ, ตัวหนา, ตัวเอียงหรือ Link เป็นต้น การทำ Content Marketing โดยการเขียนบทความให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าให้กับผู้ชมเว็บไซต์ ก็มีส่วนช่วยในการทำ SEO ได้ทางหนึ่ง เพราะบทความจะช่วยเพิ่มปริมาณ Keyword บนเว็บไซต์คุณโดยอัตโนมัติ ตัวอย่าง *ข้อควรระวัง : หากบทความมี Keyword ถี่มากเกินไปจนผิดธรรมชาติ (Keyword spamming) นอกจากจะสร้างความรำคาญให้ผู้ใช้และสร้างภาพลบให้กับแบรนด์แล้ว Google อาจมองว่าเว็บไซต์จงใจหลอก Google และลดความน่าเชื่อของเว็บไซต์หรือแม้กระทั่งนำเว็บไซต์ออกจากการจัดอันดับไปเลยด้วย การเขียนบทความจึงควรเขียนให้เป็นธรรมชาติที่สุด เรียนรู้เทคนิคการทำ SEO จากนักเขียน เพิ่มเติม Structure – ด้านโครงสร้างและประสิทธิภาพเว็บไซต์เป็นส่วนที่เกี่ยวกับเทคนิคการทำเว็บไซต์ทั้งในด้านโครงสร้าง ความสะดวกในการใช้งาน ความปลอดภัย และประสิทธิภาพด้านความเร็ว ซึ่งส่วนนี้มักจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลให้ เช่น
ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ แล้วพิจารณาว่าจะปรับแก้เว็บไซต์เดิมให้ดีขึ้นหรือบางครั้งอาจจำเป็นต้องสร้างเว็บไซต์ใหม่ โดยเฉพาะเรื่อง Responsive Design เพราะหากเว็บไซต์เดิมไม่รองรับการแสดงผลบน Mobile Device แล้วการปรับแก้ของเดิมอาจยากกว่าการสร้างใหม่ Credibility – ด้านความน่าเชื่อถือเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพูดถึงหรืออ้างอิงมาที่เว็บไซต์จากแหล่งภายนอก ทั้ง Social Network และเว็บไซต์อื่นๆ (ซึ่งส่วนนี้จะมีผลต่อการทำ SEO มากที่สุดอย่างหนึ่ง) รวมถึงอายุของเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์ที่อยู่มานานจะมีความน่าเชื่อถือกว่าเว็บไซต์ที่เพิ่งเปิดใหม่ การเขียนบทความที่มีคุณภาพเพื่อให้เว็บไซต์อื่นใช้ในการอ้างอิง หรือให้แพร่หลายใน Social Network เป็นวิธีที่น่าสนใจและเป็นวิธีที่มีคุณภาพวิธีหนึ่ง ทั้งยังช่วยสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์อีกด้วย *ข้อควรระวัง : หาก Link ที่มาเว็บไซต์คุณส่วนใหญ่มาจากเว็บที่ไม่มีคุณภาพ (เช่น เว็บที่รับจ้างใส่ Link) เว็บไซต์คุณอาจถูกลดความน่าเชื่อถือลงได้ หรือ Link ที่เกิดจากการซื้อโฆษณาก็จะไม่ได้คะแนนในส่วนนี้เช่นกัน หรือการโพสต์ Link ในส่วน Comment ของ Webboard ต่างๆ ส่วนใหญ่เจ้าของเว็บไซต์จะทำให้ Link นั้นไม่ได้คะแนนการอ้างอิงอยู่แล้ว เพื่อกันการ Spam Link จนสร้างความรำคาญกับผู้ใช้งานบนเว็บของเขาเอง จะตรวจสอบความก้าวหน้าของการทำ SEO อย่างไร? และต้องรอนานแค่ไหน?วิธีตรวจสอบง่ายๆ ให้คุณเปิด Google Chrome ขึ้นมา แล้วเข้าโหมด Incognito (เนื่องจากโหมดปกติ Google จะพยายามดึงเว็บที่เราเข้าบ่อยๆ เช่น เว็บเราเอง ขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งทำให้เราเห็นผลการค้นหาไม่ตรงกับผู้ใช้ส่วนใหญ่) ลองใส่ Keyword ที่คิดว่าผู้ใช้จะค้นหาแล้วดูว่าเว็บไซต์เราอยู่อันดับที่เท่าไหร่ (ถ้าเปิดไป 2-3 หน้าแล้วยังไม่เจอก็พอแล้วนะครับ ต้องเริ่มทำ SEO คำนี้ได้แล้ว) เคล็ดลับง่ายๆ ในการเช็คอันดับ SEO คือ เปิด Google Chrome Incognito mode
Q: ถ้าลองทำ SEO บนเว็บไซต์แล้ว กว่าจะเห็นผลต้องรอนานแค่ไหน? Q: ปรับเดือนนี้ เดือนหน้าถึงจะเห็นผล!? กว่าจะทำเสร็จไม่เป็นปีเลยหรอ? คุณสามารถอ่านเกี่ยวกับ “เวลา” ที่ใช้ในการทำ SEO และรายละเอียดเชิงลึกอื่นๆ ได้ ในบทความ ใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะเห็นผลจากการทำ SEO? ครับ นอกจากนี้เรายังมีบทความเกี่ยวกับ SEO ให้คุณได้เข้าไปทำความเข้าใจอีกมากมาย ศึกษา SEO เพิ่มเติมได้ที่นี่ สรุปSEO คือ การทำให้เว็บไซต์ของคุณนั้นถูกค้นเจอโดย Google และถูกคลิกโดยคนจริงๆ ซึ่งถ้าหากคุณทำ SEO ได้ดีแล้ว เว็บไซต์ที่คุณทุ่มเททำขึ้นมาจะสามารถ ‘Attract’ ผู้เข้าชมในทุกๆ วันอย่างแน่นอน แต่ผมขอบอกไว้เลยว่าการดึงคนเข้ามายังเว็บไซต์ยังเป็นเพียงก้าวแรกของความสำเร็จเท่านั้น เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เป้าหมายต่อไปคือ จะเปลี่ยนผู้เข้าชมเหล่านี้ให้เป็นลูกค้าของคุณได้อย่างไร? ซึ่งวิธีการต่างๆ เหล่านี้นั้นจะอยู่ในส่วนของ ‘Convert’ และ ‘Close’ ใน Inbound Marketing ครับ อ่านบทความนี้จบแล้ว คุณเข้าใจเกี่ยวกับ SEO เพิ่มมากขึ้นรึเปล่า? หรือยังมีข้อสงสัยตรงส่วนไหน? พิมพ์มาพูดคุยกันได้ในคอมเมนต์เลยครับ 219 SHARE AuthorTanagornTechnology Director ของ Magnetolabs ผู้หมกมุ่นด้านการทำธุรกิจ, ชอบงาน Design และรักการ Coding เป็นชีวิตจิตใจ Technology Director ของ Magnetolabs ผู้หมกมุ่นด้านการทำธุรกิจ, ชอบงาน Design และรักการ Coding เป็นชีวิตจิตใจ Related BlogRead more Marketing ทำไมธุรกิจแบบ B2B ถึงควรใช้ Inbound MarketingPoomphat Strategy ทำไมธุรกิจแบบ B2B ถึงควรทำ Online Marketing?Sitthinunt 13 Comments
|