คำถามมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนการสอนเป็นการกระตุ้นความคิดของผู้เรียน ถ้าผู้สอนมีความสามารถในการถามคำถามที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์วิจารณ์ได้ดี โดยเฉพาะหลักสูตรประถมศึกษาและมัธยมศึกษาฉบับปัจจุบัน มุ่งให้ผู้เรียนได้คิด ได้แก้ปัญหา ได้วิเคราะห์ ได้หาแนวทางเลือกปฏิบัติที่เหมาะสม ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สอนต้องมีทักษะในการถามคำถามที่มีประสิทธิภาพ จึงจะช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดและคิดเป็น ดังที่หลักสูตรมุ่งหมายไว้ ประโยชน์ของคำถาม เมื่อพิจารณาประโยชน์ของคำถามทุก ๆ ด้านพอจะสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
ประเภทของคำถาม คำถามมีหลายประเภทผู้สอนควรคำถามหลายๆ ประเภทในการถามผู้เรียน ซึ่งมีดังนี้ (หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหัดครู 2520 : 2 – 5) 1. คำถามที่ใช้ความคิดพื้นฐาน เป็นคำถามง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดสูงนัก เราใช้คำถามชนิดนี้เพื่อให้นักเรียนระลึกถึงความรู้เดิม หรือเพื่อให้พิจารณาจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เป็นคำถามที่ครูสามารถถามได้ง่าย และเหมาะที่จะใช้เพื่อฝึกให้เกิดความคล่องในการถาม นอกจากนี้ยังเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่จะพัฒนาความสามารถของผู้สอน ไปสู่คำถามที่ใช้ความคิดสูงยิ่งขึ้น คำถามลักษณะนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทดังนี้ 1.1 ความจำ เป็นคำถามที่จะได้คำตอบจากความรู้ที่เรียนผ่านมาแล้ว หรือจากประสบการณ์ของผู้ตอบ ซึ่งคำถามอาจเป็นข้อเท็จจริงโดดๆ หรือข้อเท็จจริงหลายๆ อย่างที่สัมพันธ์กัน ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับศัพท์ นิยาม กฎ ระเบียบ ลำดับขั้น การจัดประเภท เกณฑ์วิธีการและหลักวิชา นอกจากนี้ยังรวมถึงการเล่าเรื่อง หรือยกตัวอย่างประกอบโดยอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมาด้วย ตัวอย่างคำถามความจำ – สิ่งมีชีวิตต้องการก๊าซอะไรหายใจ – ในการปลูกข้าวชาวนาจะเริ่มทำอย่างไรก่อน – จากชื่อสัตว์ที่บอดมานี้ อะไรเป็นสัตว์ป่า อะไรเป็นสัตว์เลี้ยง – อาหารโปรตีนให้คุณค่าอย่างไร ฯลฯ 1.2 การสังเกต คำถามชนิดนี้จะได้คำตอบจากประสบการณ์ตรง โดยผู้ตอบต้องอาศัยประสาทสัมผัส ลักษณะของคำตอบจะเป็นการบอกถึงรูปร่าง ลักษณะส่วนประกอบหรือคุณสมบัติรวมถึงการเปลี่ยนแปลงให้กระบวนการที่สังเกตเห็น ตัวอย่างคำถามการสังเกต – จากภาพนี้นักเรียนเห็นอะไร – นักเรียนได้รายละเอียดจากก้อนหินที่ให้ไปรวบรวมอย่างไรบ้าง – จากการทดลองนี้ พืชเปลี่ยนแปลงปอย่างไร 2. คำถามเพื่อการคิดค้น เป็นคำถามที่ผู้ตอบจะต้องใช้ขั้นตอนของความคิดซับซ้อนขึ้นกว่าความคิดพื้นฐาน แนวทางที่จะคิดอาจแยกออกไปได้หลายลักษณะ แล้วแต่จุดหมายปลายทางที่ต้องการจะตอบ อย่างไรก็ตามจุดประสงค์ของคำถามต้องการคำตอบที่ดีที่สุด หรือถูกต้องที่สุดตามข้อเท็จจริง เราอาจแล่งลักษณะของคำถามประเภทนี้ได้หลายอย่าง เช่น 2.1 ความเข้าใจ เป็นคำถามที่ผู้ตอบใช้ความรู้เดิมมาแก้ปัญหาใหม่ ซึ่งอาจเป็นสถานการณ์ที่เลียนแบบของเก่าหรือสถานการณ์ใหม่ แต่ใช้เรื่องราวเก่าที่เคยรู้มาดัดแปลงเป็นรูปใหม่ รูปแบบของคำถามความเข้าใจ มีลักษณะเป็นการแปลความ ตีความ และขยายความ ตัวอย่างคำถามความเข้าใจ – ทำไมประชาชนในภาคต่าง ๆ จึงมีอาชีพต่างกัน – “ไม่งอมืองอเท้า” หมายความว่าอย่างไร – ถ้าเธอเป็นกระป๋องนมใบหนึ่ง มีละอองน้ำเกาะอยู่ภายนอก น้ำในกระป๋องเป็นอย่างไร (นักเรียนผ่านการทดลองที่เอาน้ำแข็งใส่แก้วแล้วมีหยดน้ำเกาะรอบแก้วแล้ว) 2.2 การนำไปใช้ เป็นคำถามที่ผู้ตอบอาศัยความคิดพื้นฐานและความเข้าใจความรู้ที่ได้ไปใช้ในเรื่องราวอื่น ๆ อย่างถูกต้อง ดังนั้น คำถามของครูจึงต้องกำหนดสถานการณ์ใหม่ๆ ที่แปจากตำราให้นักเรียนลองหาวิธีแก้ปัญหา ตัวอย่างคำถามการนำไปใช้ – ดินสอแท่งละห้าสิบสตางค์ ครึ่งโหลเป็นเงินเท่าไร – นักเรียนจะใช้คำว่าขอโทษในเวลาใดบ้าง – ถ้าเธอมีหม้อดินและหม้อเคลือบ เธอจะเลือกใบไหนใส่น้ำจึงจะเย็นกว่า (จากหลักการระเหย) 2.3 การเปรียบเทียบ เป็นคำถามที่ผู้ตอบต้องวิเคราะห์เรื่องราวออกมาเป็นส่วนย่อย ๆ และพิจารณาว่าสิ่งใดสำคัญ สิ่งใดไม่สำคัญ มีมูลเหตุหรือจุดมุ่งหมายอย่างไร เป็นการเปรียบเทียบที่ต้องผ่านการคิดหลักเกณฑ์ต่างกับการเปรียบเทียบที่ต้องใช้เฉพาะการสังเกต ตัวอย่างคำถามเปรียบเทียบ – ลมบกลมทะเลที่สิ่งใดที่คล้ายกัน – กบกับคางคกต่างกันอย่างไร – ทำไมเสื้อผ้าที่จากในหน้าร้อนจึงแห้งเร็วกว่าหน้าฝน 2.4 เหตุและผล เป็นคำถามที่ผู้ตอบต้องหาความสัมพันธ์ของเรื่องราว หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ว่าสอดคล้องหรือขัดแย้งกันอย่างไร รูปแบบของคำถามเหตุและผล อาจเป็นการถามความสัมพันธ์ของเรื่องราว บุคคล ความคิด ตัวอย่างคำถามเหตุและผล – ทำไมเราต้องข้ามถนนที่มีทางม้าลาย – ถ้าเรารับประทานอาหารโปรตีนไม่พอจะเกดอะไรขึ้น – เพราะเหตุใดต้นหญ้าที่ถูกครอบจึงมีใบสีขาว 2.5 สรุปหลักการ เป็นคำถามที่ผู้ตอบมีการคิดวิเคราะห์หามูลเหตุ หรือความสำคัญของเรื่องราวนั้นแล้ว รวมทั้งเห็นความสัมพันธ์ของเรื่องราวหรือเหตุและผลเหล่านั้น จึงจะสามารถสรุปหลักการได้ ตัวอย่างคำถามสรุปหลักการ – นิทานที่จบลงไปนี้ให้คติกับเราอย่างไร – ตกลงเราจะหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้อย่างไร – เราจะมีวิธีป้องกันโรคไข้เลือกออกโดยวิธีใด 3. คำถามที่ขยายความคิด ลักษณะของคำถามประเภทนี้ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ตอบ โดยใช้ความคิดเห็นส่วนตัวมากที่สุด เป็นคำถามที่ไม่กำหนดแนวทางคำตอบไว้ว่าเป็นจุดเริ่มต้น ให้ผู้เรียนมีแนวความคิดกว้างขวางออกไปนอกเหนือจากการคิดเพื่อข้อเท็จจริง แนวโน้มของคำถามประเภทนี้มีลักษณะต่างๆ เช่น 3.1 คะเน เป็นคำถามเชิงสมมุติฐานหรือสมมุติเหตุการณ์ ซึ่งอาจเป็นไปได้หรือยังเป็นไปไม่ได้ คำตอบย่อมเป็นไปได้หลายอย่าง การที่ประมวลคำตอบที่ดีที่สุดออกมาได้ต้องอาศัยการอภิปรายหรือหาข้อมูลเพิ่มเติม ตัวอย่างคำถามคาดคะเน – ถั่วที่เพาะไว้ทำไมไม่งอกทุกต้น – ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์เราจะเป็นอย่างไร – ถ้าต้นไม้ในป่าถูกโค่นลงหมด ประเทศเราจะมีผลอย่างไร 3.2 การวางแผน เป็นคำถามที่ผู้ตอบเสนอแนวคิด วางโครงการหรือเสนอแผนงานใหม่ ๆ แล้วแต่จุดประสงค์ของคำถาม ผู้ตอบอาจประมวลข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ผนวกกับความคิดของตนเอง แล้วเสนอออกมาเป็นคำถาม ตัวอย่างคำถามเพื่อวางแผน – ถ้าเธอเป็นผู้แทนราษฎร เธอจะทำประโยชน์อะไรให้จังหวัดของเราบ้าง – ถ้าคอรบครัวยากจน เธอจะมีทางช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง – ทำอย่างไรจึงจะกำจัดยุงให้หมดไปจากบ้านเราได้ 3.3 การวิจารณ์ คือ คำถามที่ต้องการให้ผู้ตอบพิจารณาเรื่องราวหรือเหตุการณ์ในด้านความเหมาะสม ข้อดี ข้อเสีย ซึ่งผู้ตอบย่อมมีความคิดเห็นที่อาศัยทัศนคติของตนเป็นรากฐาน ลักษณะของคำถามอาจก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างกว้างขวาง ตัวอย่างคำถามการวิจารณ์ – เธอคิดว่านางลำหับในเรื่องเงาะป่าเป็นคนอ่อนแอหรือไม่ เพราะเหตุใด – เธอคิดว่าการที่เลือกกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง มีความเหมาะสมเพียงไร – เธอคิดว่ารถยนต์มีส่วนดีและส่วนเสียอย่างไร 3.4 การประเมินค่า คือ คำถามเพื่อให้เกิดการวินิจฉัยตีราคาโดยสรุปอย่างมีหลักเกณฑ์ อาจเป็นการตีความคิดเห็น ผลงานต่าง ๆ วัสดุสิ่งของ อย่างไรก็ตามแม่จะต้องการให้มีอิสระในการประเมินค่า แต่การกำหนดเกณฑ์ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เช่น กำหนดเกณฑ์ของระเบียบแบบแผน เกณฑ์ที่สังคมปัจจุบันยอมรับ ตัวอย่างคำถามประเมินค่า – จากเรื่องที่ครูเล่ามานี้ เธอคิดว่าบุคคลใดในเรื่องดีที่สุด – เธอชอบสัตว์เลี้ยงชนิดใดมากที่สุด (เพราะเหตุใด) เทคนิคการถามคำถาม การถามคำถามมีประโยชน์ต่อผู้เรียนดังกล่าวมาแล้ว ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้ดีหรือไม่มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการถามคำถามของผู้สอนเป็นสำคัญประการหนึ่ง ถ้าผู้สอนมีทักษะและเทคนิคในการถามคำถาม จำทำให้การเรียนการสอนมีคุณค่า เทคนิคในการถามคำถามอาจสรุปได้ดังนี้ 1. ในการถามไม่ควรเจาะจงผู้ตอบหรือถามผู้เรียนตามลำดับ เพราะการรู้ตัวมาก่อนว่าจะตอบเมื่อใดนั้น จะทำให้ผู้ตอบไม่สนใจคำถามอื่นๆ การเรียนรู้จึงไม่เกิดขึ้น 2. ในการใช้คำถามไม่ควรถามซ้ำผู้เรียนคนเดิมบ่อยครั้ง เพราะการปฏิบัติดังนี้ผู้เรียนคนอื่นๆ จะเกิดความน้อยใจที่ผู้สอนไม่เหนความสำคัญของตน จึงทำให้ไม่สนใจบทเรียน 3. ในการตั้งคำถามไม่ควรเร่งรัดคำตอบจากผู้เรียน เมื่อถามคำถามไปแล้ว ควรเปิดโอกาสให้เด็กหยุดคิดค้นหาคำตอบบ้าง 4. การใช้คำถามควรใช้น้ำเยงเร้าใจผู้ตอบ เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากตอบมากขึ้น 5. ขณะที่ผู้ตอบหยุดคิดหรือลังเลในการที่จะตอบออกไป ครูควรให้กำลังใจส่งเสริมไม่คาดคั้นคำตอบหรือแสดงความเบื่อหน่าย หรือเรียกผู้อื่นตอบแทนเพราะจะทำให้ผู้เรียนเสียกำลังใจ 6. ในการตอบคำถามหนึ่ง ผู้สอนไม่ควรคิดว่าต้องให้เกคนเดียวตอบ คำถามนั้นควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนหลายๆ คนได้ตอบ เพราะจะเป็นการกระจายความคิดและทำให้มีข้อสรุปที่ดี 7. ในการตอบคำถามของผู้เรียนอาจได้คำตอบที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง หรือไม่ค่อยมีเหตุผลนัก ผู้สอนควรหาวิธีที่จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจ และสามารถหาคำตอบที่ถูกต้องได้ ไม่ควรปล่อยให้ผู้เรียนเข้าใจอย่างผิดๆ ต่อไป โดยอาจถามคำถามใหม่ หรืออธิบายเพิ่มเติม 8. คุณค่าของการสอนโดยใช้คำถามจะหมดไป ถ้าครุเป็นผู้ถามเองตอบเอง หรือถามคำถามในลักษณะที่ทบทวนความจำผู้เรียนมากเกินไป 9. สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองในห้องเรียน เพื่อให้ผู้เรียนรู้สึกอยากจะมีส่วนร่วมในการตอบคำถาม 10. ในการตอบคำถามหนึ่งๆ ควรให้ผู้เรียนช่วยกันหาคำตอบในหลาย ๆ แนว ไม่ควรจำกัดเฉพาะคำตอบเดียว 11. ใช้คำถามที่ผู้เรียนมีความรู้และประสบการณ์เพียงพอ 12. ควรวิเคราะห์คำถามที่ถามไปแล้วเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อใช้ในโอกาสอื่น ๆ ต่อไป (พันทิพา อุทัยสุข, 2532:76) |