การบริหารเงินทุนหมุนเวียนการบริหารเงินทุนหมุนเวียน การบริหารกิจการให้สำเร็จนั้น ผู้บริหารจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาความสมดุลของเงินทุนหมุนเวียนในอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม โดยสามารถดูหรือคาดคะเนได้จาก การพยากรณ์การตลาด การจัดทำงบการเงินโดยคาดคะเนและการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินที่เหมาะสม การบริหารเงินทุนหมุนเวียน การตัดสินใจทางการเงิน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ เงินทุนหมุนเวียน เงินทุนหมุนเวียน คือ
เงินลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนของธุรกิจ ข่าวประชาสัมพันธ์ งานจัดเก็บรายได้คิวอาร์โค้ดแบบโอนบริจาคคู่มือการใช้แอปพลิเคชันผ่านมือถือ คิวอาร์โค้ดแบบโอนบริจาค 1.คู่มือการใช้แอปพลิเคชัน คิวอาร์โค้ดนี้ใช้สำหรับการโอนเงินบริจาค ผู้ป่วยต้องมีโทรศัพท์ ที่ใช้สแกนได้ 2.สแกนผ่านคิวคิวอาร์โค้ดโดยไม่ต้องรับใบเสร็จรับเงิน... Read more คิวอาร์โค้ดแบบโอนค่ารักษาพยาบาลคู่มือการใช้แอปพลิเคชันผ่านมือถือ คิวอาร์โค้ดแบบโอนค่ารักษาพยาบาล 1.คู่มือการใช้แอปพลิเคชัน คิวอาร์โค้ดนี้ใช้สำหรับการโอนเงินค่ารักษาพยาบาล ผู้ป่วยต้องมีโทรศัพท์ที่ใช้สแกนได้... Read more ต้อนรับคณะศึกษาดูงานโรงพยาบาลชลประทานต้อนรับคณะศึกษาดูงานโรงพยาบาลชลประทาน เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2562 งานจัดเก็บรายได้และงานบัญชี และงานสารสนเทศข้อมูลกลาง ณ ห้องการเงินนอก การเงินใน และห้องเรียกเก็บรักษาพยาบาลผู้ป่วยใน... Read more บทความทางวิชาการ เรื่อง การบริหารเงินทุนหมุนเวียนของรองศาสตราจารย์ปรียานุช กิจรุ่งโรจน์เจริญ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการบัญชี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา นี้ เปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่น ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินงานของธุรกิจที่ผู้บริหารจะละเลยไม่ได้ หลักในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนนั้น
ผู้บริหารจำเป็นต้องบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยพิจารณาสภาพคล่อง ระดับของความเสี่ยงและกำไรในระดับที่ยอมรับได้ กล่าวคือการจัดสรรเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตาม โดยหลักทางการเงิน พบว่า หากลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน จะมีผลทำให้สภาพคล่องต่ำ ความเสี่ยงสูง กำไรสูง แต่หากลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์ถาวร จะมีผลทำให้สภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ กำไรต่ำ
ซึ่งหลักในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งด้านส่วนประกอบและปริมาณที่เหมาะสม โดยพิจารณาระดับของความเสี่ยง (risk) และผลตอบแทนหรือกำไร(profit) ในระดับที่เหมาะสม กล่าวคือการจัดสรรเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตาม โดยหลักทางการเงิน พบว่า หากลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน จะมีผลทำให้สภาพคล่องต่ำ ความเสี่ยงสูง กำไรสูง
แต่หากลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์ถาวร จะมีผลทำให้สภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ กำไรต่ำ การบริหารเงินทุนหมุนเวียน เป็นการบริหารให้มีประสิทธิภาพในประเภทและขนาดที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เพราะหากมีมากเกินไปก็จะทำให้กิจการสูญเสียกำไรจากการลงทุน ในขณะเดียวกัน หากธุรกิจมีสินทรัพย์หมุนเวียนน้อยเกินไป ก็จะทำให้ธุรกิจมีปัญหาด้านการดำเนินงาน ดังนั้น การบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพนั้น
จะต้องอาศัยดุลยพินิจในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนว่าจะอยู่ในระดับใดที่เหมาะสม จึงจะทำให้ธุรกิจมีกำไร และสภาพคล่อง ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ดังนั้นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องอาศัยดุลยพินิจในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนว่าจะอยู่ในระดับใดที่เหมาะสม จึงจะทำให้ธุรกิจมีกำไร และสภาพคล่อง ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ในขณะที่การบริหารเงินทุนหมุนเวียนได้ 3 ลักษณะ คือเงินทุนหมุนเวียนเป็นศูนย์ (zero position)
เงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (positive position) และเงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (positive position) เเต่ละลักษณะจะมีผลต่อสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ และความสามารถในการทำกำไร ที่แตกต่างกัน ในขณะที่ธุรกิจแต่ละประเภท จะมีความต้องการในการใช้เงินทุนหมุนเวียน และส่วนประกอบของสินทรัพย์หมุนเวียนแตกต่างขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อความเสี่ยง
ประเภทของธุรกิจขนาดและปริมาณขายของนโยบายของธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ภาวการณ์แข่งขันทางการตลาดและ สภาวะแวดล้อม การจัดการและการบริหารเงินทุนหมุนเวียนของกิจการจะขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารการเงินของผู้บริหารแต่ละคน โดยผู้บริหารที่ระมัดระวัง (Conservative) ผู้บริหารที่กล้าเสี่ยง (Aggressive)และผู้บริหารที่ยึดสายกลาง (average)ทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อความเสี่ยงจะทีผลทำให้กิจการแต่ละแห่งมีการจัดการหรือการบริหารเงินทุนที่แตกต่างกันออกไป
นอกจากนี้กิจการควรมีการวิเคราะห์ระดับเงินทุนหมุนเวียนเป็นระยะๆ เพื่อให้ทราบว่ามีกำไร จากการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ ดังรายละเอียดของบทความที่ปรากฏ รศ.ปรียานุช กิจรุ่งโรจน์เจริญ* บทนำ การที่ธุรกิจจะสามารถดำเนินงานและอยู่รอดได้ในยุคปัจจุบันนั้น
จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเงินทุนหมุนเวียนของกิจการเปรียบเสมือน “น้ำมันหล่อลื่นของเครื่องจักร” ที่จะช่วยให้ธุรกิจดําเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ติดขัด มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอสําหรับการใช้จ่ายในแต่ละวัน และสามารถชําระหนี้ได้เมื่อถึงกําหนด
ผู้บริหารการเงินต้องให้ความสนใจและควบคุมและติดตามการบริหารเงินทุนหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง เนี่องจากการจัดการหรือการบริหารเงินทุนหมุนเวียน จะมีผลต่อสภาพคล่อง ความเสี่ยงและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ เงินทุนหมุนเวียน (Working capital) หมายถึง เงินทุนที่ธุรกิจจัดสรรไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมดหักด้วยหนี้สินหมุนเวียนทั้งหมด
หรือเรียกว่าเงินทุนหมุนเวียนสุทธิ (Net working capital) ซึ่งผู้เขียนขออธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจกับ สินทรัพย์หมุนเวียน และหนี้สินหมุนเวียนดังนี้ สินทรัพย์หมุนเวียน (Current assets) หมายถึง สินทรัพย์ที่ธุรกิจสามารถเปลี่ยนให้เป็นเงินสดได้ภายในรอบระยะเวลาการดำเนินงานปกติหรือภายในระยะเวลา 1 ปี ได้แก่ เงินสด เงินฝากธนาคาร หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด
ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ ตั๋วเงินรับ หรือที่นักบัญชีเรียกว่าสินทรัพย์สภาพคล่อง หนี้สินหมุนเวียน (Current liability) หมายถึง หนี้สินที่มีระยะเวลาการชําระคืนภายใน 1 ปี ได้แก่ เงินเบิกเกินบัญชีธนาคาร เงินกู้ยืมระยะสั้น เจ้าหนี้การค้า ตั๋วเงินจ่าย ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายและรายได้รับล่วงหน้า การที่สินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนเป็นสินทรัพย์ที่มีความคล่องตัวสูง
มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทําให้ผู้บริหารจำเป็นต้องใส่ใจและดูแลอย่างใกล้ชิด หากเพิกเฉยหรือละเลยอาจส่งผลกระทบถึงสภาพคล่องของกิจการ และกำไรจนอาจทําให้ธุรกิจล้มละลายได้การบริหารเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital Management) จึงเป็น การบริหารสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยทั่วไปกิจการจะมีสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนไม่น้อย กว่าครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ทั้งหมด
นอกจากนี้ยังพบว่า การขยายตัวและการเจริญเติบโตของธุรกิจ ทำให้ความต้องการในจำนวนเงินลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น หลักในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งด้านส่วนประกอบและปริมาณที่เหมาะสม โดยพิจารณาระดับของความเสี่ยง (risk) และผลตอบแทนหรือกำไร(Profit)
ในระดับที่เหมาะสม กล่าวคือการจัดสรรเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตาม โดยหลักทางการเงิน พบว่า หากลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน จะมีผลทำให้สภาพคล่องต่ำ ความเสี่ยงสูง กำไรสูง แต่หากลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์ถาวร จะมีผลทำให้สภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ กำไรต่ำ การบริหารเงินทุนหมุนเวียน เป็นการบริหารให้มีประสิทธิภาพในประเภทและขนาดที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
เพราะหากมีมากเกินไปก็จะทำให้กิจการสูญเสียกำไรจากการลงทุน เช่น การถือเงินสดมากเกินความจำเป็นจะทำให้ธุรกิจเสียโอกาสในการลงทุนที่ให้กำไรสูงกว่า หรือการมีลูกหนี้ที่เก็บไม่ได้จำนวนมาก ก็จะทำให้เกิดเงินทุนจมในตัวลูกหนี้และความเสี่ยงต่อการเกิดหนี้สูญมากขึ้น เกิดค่าใช้จ่ายในการเก็บหนี้มากขึ้น และหากกิจการมีสินค้าคงเหลือมาก ก็จะทำให้เกิดเงินทุนจมในสินค้า สินค้าอาจเสื่อมสภาพหรือล้าสมัยจนไม่สามารถขายได้
และเกิดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้ามากขึ้นในขณะเดียวกัน หากธุรกิจมีสินทรัพย์หมุนเวียนน้อยเกินไป ก็จะทำให้ธุรกิจมีปัญหาด้านการดำเนินงาน เช่น การถือเงินสดน้อยเกินไป ก็จะมีผลทำให้การดำเนินงานติดขัดไม่ราบรื่น เพราะมีเงินสดไม่เพียงพอในการจ่ายชำระหนี้ ไม่เพียงพอต่อการจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหรือหากกิจการเก็บหนี้ให้เร็วขึ้นด้วยการเร่งรัดชำระหนี้ อาจมีผลทำให้ทำให้ยอดขายลดลง เพราะลูกค้าเปลี่ยนการตัดสินใจไปซื้อสินค้าจากรายอื่นที่ให้เครดิตนานกว่า
และหากมีสินค้าคงเหลือน้อยเกินไปอาจทำให้สินค้าขาดมือจนทำให้ส่วนแบ่งตลาดลดลง ดังนั้นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องอาศัยดุลยพินิจในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนว่าจะอยู่ในระดับใดที่เหมาะสม จึงจะทำให้ธุรกิจมีกำไรและสภาพคล่อง ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และโดยทั่วไปพบว่า ปัญหาในเรื่องของการขาดเงินทุนหมุนเวียน หรือสภาพคล่องของธุรกิจ เกิดขึ้นจากสาเหตุหลายประการ เช่น การไม่สามารถเก็บหนี้จากลูกหนี้ได้ตามกำหนดเวลา
สินค้าจำหน่ายไม่ได้ ทำให้เงินจมในสินค้า ผลกระทบตามมาก็คือกิจการขาดเงินทุนหมุนเวียนที่จะชำระหนี้สินและใช้ในการดำเนินงาน ซึ่งธุรกิจอาจแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการหาแหล่งเงินจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาจ่ายชำระหนี้ให้ทันกำหนด เช่น การหาแหล่งเงินทุนระยะสั้น เช่น การกู้ยืมเงินจากธนาคาร วิธีการดังกล่าวสามารถจ่ายชำระหนี้ได้ทันตามกำหนดก็จริง แต่จะไม่สามารถทำให้สภาพคล่องของกิจการดีขึ้นแต่อย่างใด
แต่ในทางกลับกันจะทำให้กิจการมีปัญหาสภาพคล่องมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้เพราะการหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาชำระหนี้นั้น จะมีผลทำให้อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน(Current Ratio)เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ลดลง ดังตัวอย่างบริษัท ก. จากข้างต้น หากกิจการมีหนี้สินระยะสั้นที่ถึงกำหนดชำระ (เจ้าหนี้การค้า) 200 บาท และกิจการจัดหาเงินทุนจากการก่อหนี้ระยะสั้นจำนวน 400 บาท เพื่อนำไปชำระหนี้เจ้าหนี้การค้าเดิม จะมีผลทำให้งบดุล และ Current ratio ปรากฏดังนี้ แต่ถ้ากิจการสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน (เงินสด) ด้วยวิธีการเร่งรัดชำระหนี้ และนำเงินที่ได้ไปจ่ายชำระหนี้แทน จะมีผลทำให้งบดุลและ Current ratio ปรากฏดังนี้ จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า การก่อหนี้ใหม่เพื่อนำไปจ่ายชำระหนี้เดิมนั้น จะมีผลทำให้สภาพคล่องของกิจการลดลง วิธีที่จะทำให้อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนดีขึ้นก็คือ พยายามเปลี่ยนสภาพสินทรัพย์หมุนเวียนคือลูกหนี้การค้าด้วยการเร่งรัดชำระหนี้ และพยายามขายสินค้าที่มีอยู่ให้เร็วขึ้น ก็จะทำให้กิจการได้เงินสด และนำไปจ่ายชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้การค้าให้ทันตามกำหนดเวลา เช่นนี้จึงจะทำให้กิจการมีสภาพคล่องที่แท้จริง ซึ่งแหล่งเงินทุนหมุนเวียนที่สำคัญที่ผู้บริหารของธุรกิจมักจะไม่ได้พิจารณาก็คือ เครดิตการค้า ซึ่งถือเป็นแหล่งเงินทุนอัตโนมัติที่ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย เพราะเป็นแหล่งเงินทุนที่เกิดจากธรรมเนียมปกติทางการค้า เครดิตการค้า จึงเป็นแหล่งเงินทุนระยะสั้นที่สามารถลดภาระในการจัดหาแหล่งเงินทุนของธุรกิจได้อย่างมาก นอกจากนี้หากผู้ขายสามารถเร่งรัดชำระหนี้และเก็บหนี้ได้ทันกับระยะเวลาที่ถึงกำหนดการชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่ตกลงกันไว้ ก็จะทำให้กิจการมีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่า การบริหารเงินทุนหมุนเวียน ก็คือการบริหารสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียน ให้เกิดความสมดุลกันระหว่าง สภาพคล่อง ความสามารถในการทำกำไร และความเสี่ยงซึ่งจากการบริหารดังกล่าว สามารถจำแนกการบริหารเงินทุนหมุนเวียนได้ 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. เงินทุนหมุนเวียนเป็นศูนย์ (zero position) เป็นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่สินทรัพย์หมุนเวียนเท่ากับหนี้สินหมุนเวียน ผลคือ จะทำให้กิจการมีสภาพคล่อง กำไรและความเสี่ยงในระดับปานกลาง เงินทุนหมุนเวียน(สุทธิ) = สินทรัพย์หมุนเวียน – หนี้สินหมุนเวียน = 0 2. เงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (positive position) เป็นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน มีผลทำให้กิจการมีสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ และความสามารถในการทำกำไรลดลง เงินทุนหมุนเวียน(สุทธิ) = สินทรัพย์หมุนเวียน – หนี้สินหมุนเวียน = +(บวก) 3. เงินทุนหมุนเวียนเป็นลบ(negative position)เป็นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนน้อยกว่าหนี้สินหมุนเวียน มีผลทำให้กิจการมีสภาพคล่องต่ำ ความเสี่ยงสูงขึ้น แต่กำไรสูงกว่า เงินทุนหมุนเวียน(สุทธิ) = สินทรัพย์หมุนเวียน – หนี้สินหมุนเวียน = -(ลบ) ตัวอย่าง งบดุลของบริษัท การจัดการธุรกิจ จำกัด เพื่อแสดงให้เห็นถึงการบริหารเงินทุนของกิจการ การจัดทำงบดุลตามวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เงินทุนที่ธุรกิจจัดหามาจากแหล่งต่าง ๆ งบดุล บริษัท การจัดการธุรกิจ จำกัด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 จากตัวอย่างเป็นการจัดทำงบดุลให้อยู่ในรูปแบบที่ต้องการตามวัตถุประสงค์ คือเป็นการจัดวางรายการทางการเงิน ให้อยู่ในรูปที่สามารถวิเคราะห์เงินทุนหมุนเวียน ที่ธุรกิจจัดหามาจากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมาลงทุนในสินทรัพย์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นั่นคือแหล่งเงินทุนของธุรกิจ จะมาจาก 2 แหล่ง ด้วยกัน 1. แหล่งเงินทุนภายใน อันได้แก่ กำไรสะสม ซึ่งเป็นผลกำไรที่สะสมมาหลังจากจ่ายเงินปันผล 2. แหล่งเงินทุนจากภายนอก ได้แก่ แหล่งเงินทุนที่ธุรกิจยืมจากภายนอก หรือแหล่งเงินทุนที่ระดมจากภายนอก ซึ่งอาจเป็นแหล่งเงินทุนระยะสั้น, แหล่งเงินทุนระยะปานกลาง และแหล่งเงินทุนระยะยาว จากการวิเคราะห์งบดุลของบริษัทจัดการธุรกิจ เงินทุนที่ธุรกิจหามาจากแหล่งเงินทุนต่างๆ ก็จะถูกจัดสรรเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ของธุรกิจตามความจำเป็นและเหมาะสม โยกิจการจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะสั้น จำนวน 73,000 บาท เพื่อจัดสรรไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนบางส่วน ฉะนั้นสินทรัพย์หมุนเวียนที่เหลือจำนวน 145,000 – 73,000 = 72,000 บาท คือเงินทุนหมุนเวียนสุทธิ ที่ต้องจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะยาว เนื่องจากแหล่งเงินทุนที่หามาจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นนั้นไม่เพียงพอ อีกทั้งสินทรัพย์ถาวรและเงินลงทุนระยะยาวที่เหลืออีก 354,000 บาท ที่กิจการต้องจัดหาเงินทุนมาเพื่อลงทุนนั้น ก็จัดหามาจากแหล่งเงินทุนระยะยาว คือ เงินทุนระยะยาว + ส่วนของผู้ถือหุ้น ดังนั้น สินทรัพย์ส่วนที่ต้องลงทุนโดยการจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะยาว = สินทรัพย์หมุนเวียนจำนวน 72,000 บาท + เงินลงทุนระยะยาวและสินทรัพย์ถาวร จำนวน 354,000 บาท = 72,000 + 354,000 =426,000 บาทซึ่งจะเห็นได้ว่า กิจการได้จัดหาแหล่งเงินทุนระยะยาว คือ เงินกู้ยืม ระยะยาว และส่วนของผู้ถือหุ้น =77,000 + 349,000 = 426,000 บาท เท่ากับสินทรัพย์ที่ต้องลงทุนพอดี จะเห็นได้ว่าบริษัท การจัดการธุรกิจ จำกัด บริหารเงินทุนในลักษณะเป็นบวก(positive position) มีลักษณะการบริหารเงินทุนที่ค่อนข้างมีความระมัดระวัง คือการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่จัดหาเงินจากแหล่งเงินทุนระยะสั้น เพื่อลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงบางส่วน และจะนำเงินทุนระยะยาวไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนบางส่วนด้วย อันจะทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ กำไรก็จะลดลง ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อปริมาณและส่วนประกอบของเงินทุนหมุนเวียน ธุรกิจแต่ละประเภท จะมีความต้องการในการใช้เงินทุนหมุนเวียน และส่วนประกอบของสินทรัพย์หมุนเวียนแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับนโยบายและความต้องการในการรักษาสภาพคล่องและความสามารถในการทำกำไร นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ 1. ทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อความเสี่ยง การจัดโครงสร้างเงินทุนหมุนเวียนของกิจการจะขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารการเงินของผู้บริหารแต่ละคน โดยผู้บริหารที่ระมัดระวัง (Conservative) จะมองว่า การลงทุน ด้วยการก่อหนี้ทําให้กิจการมีต้นทุนทางการเงิน และมีความเสี่ยงที่จะทําให้กิจการ ขาดสภาพคล่องได้ หากไม่สามารถชําระหนี้ได้ตามกําหนด ในขณะที่ผู้บริหารที่กล้าเสี่ยง (Aggressive) กลับมองว่า การลงทุนด้วยการก่อหนี้เป็นโอกาสในการสร้างกำไรให้กับกิจการได้มากกว่า เพราะต้นทุน ทางการเงินที่เกิดจากการจ่ายดอกเบี้ยนั้น สามารถนําไปลดหย่อนภาษีได้เมื่อกิจการมีกําไร 2. ประเภทของธุรกิจ ธุรกิจแต่ละประเภทไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ธุรกิจให้บริการ มีวิธีการดำเนินงานที่แตกต่างกัน ทำให้ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจแตกต่างกัน หรือแม้กระทั่งธุรกิจประเภทเดียวกันที่มีลักษณะต่างกัน ก็ยังมีความต้องการในเงินทุนหมุนเวียนต่างกัน เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรมรถยนต์กับธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ธุรกิจอุตสาหกรรมผู้ผลิตย่อมใช้เงินทุนหมุนเวียนจำนวนมากกว่าสำหรับสินค้าและลูกหนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับตัวแทนจำหน่ายซึ่งใช้เงินทุนหมุนเวียนไม่มากนัก หรือธุรกิจที่ให้บริการจะใช้เงินทุนหมุนเวียนลูกหนี้เท่านั้น ไม่ต้องลงทุนในสินค้าคงเหลือ เนื่องจากไม่มีสินค้าที่ต้องจำหน่าย 3. ขนาดและปริมาณขายของธุรกิจ โดยปกติแล้วพบว่าปริมาณความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของแต่ละธุรกิจ มักเป็นสัดส่วนเดียวกับยอดขาย ธุรกิจที่มีขนาดใหญ่มียอดขายมากย่อมมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนมาก ไม่ว่าจะเป็นเงินสด ลูกหนี้ หรือสินค้าคงเหลือ ส่วนธุรกิจขนาดเล็กที่มีปริมาณขายน้อยกว่า ก็ย่อมมีความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนน้อยกว่า เว้นแต่จะมีผลกระทบจากภายนอกที่ทำให้ยอดขายสูงขึ้น เช่นฤดูกาลที่ทำให้ยอดขายสินค้าสูงขึ้น ก็ย่อมต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนสูงขึ้น 4. นโยบายของธุรกิจ นโยบายของธุรกิจที่แตกต่างกันย่อมมีผลต่อความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนไม่เท่ากัน เช่น นโยบายการให้สินเชื่อแก่ลูกค้า นโยบายการเก็บสินค้าขั้นต่ำเพื่อความปลอดภัย (Safety stock) นโยบายการเก็บเงินสดขั้นต่ำ เป็นต้น นโยบายของแต่ละธุรกิจอาจแตกต่างกัน ซึ่งจะมีผลต่อปริมาณเงินทุนหมุนเวียนและส่วนประกอบสินทรัพย์หมุนเวียน เช่น ธุรกิจที่กำหนดระยะเวลาการให้สินเชื่อแตกต่างกัน ย่อมมีเงินทุนหมุนเวียนในลูกหนี้ที่แตกต่างกัน เป็นต้น 5. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี่ย่อมมีผลต่อระดับการผลิตของแต่ละอุตสาหกรรม การผลิตโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ย่อมสามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณมากกว่าอุตสาหกรรมที่ใช้กรรมวิธีการผลิตแบบเดิม ดังนั้นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ ย่อมกระทบต่อปริมาณวัตถุดิบและปริมาณสินค้า ซึ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียนที่ต้องการใช้มากขึ้น 6. ภาวะการแข่งขันทางการตลาด ภาวะการแข่งขันทางการตลาด ทำให้ผู้ผลิตและผู้ขายต้องมีนโยบายในการเพิ่มยอดขาย เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาด เช่น การให้สินเชื่อแก่ลูกค้าจาก 30 วันเป็น 45 วัน ซึ่งมีผลทำให้ต้องใช้เงินลงทุนในลูกหนี้เพิ่มขึ้น การแจกของแถมแก่ลูกค้าก็มีผลทำให้กิจการต้องลงทุนในสินค้าที่จะเป็นของแถมเพิ่มขึ้น 7. สภาวะแวดล้อม สภาวะแวดล้อมอันได้แก่เศรษฐกิจ การเมือง นโยบายและข้อบังคับของรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงไป ย่อมมีผลกระทบต่อความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนของ กิจการ เช่นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนขาดอำนาจซื้อ การจัดโครงสร้างเงินทุนหมุนเวียนของกิจการ จะขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารการเงินทุนหมุนเวียน ของผู้บริหารแต่ละคน เนื่องจากทัศนคติของฝ่ายบริหารต่อระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันย่อมมีผลต่อการจัดโครงสร้างเงินทุนหมุนเวียนของกิจการ(ปริมาณและส่วนประกอบ) ดั้งนั้น ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงลักษณะทัศนคติของฝ่ายบริหารต่อระดับความเสี่ยง ซึ่งจำแนกออกได้เป็น 3 ลักษณะคือ 1. ผู้บริหารที่ชอบความเสี่ยง (aggressive) ผู้บริหารลักษณะนี้มักจะใช้เงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นมาลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนชั่วคราวทั้งหมด และบางส่วนก็จะลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนส่วนถาวรด้วย ทั้งนี้เพราะแหล่งเงินทุนระยะสั้นมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการจัดหาต่ำกว่าแหล่งเงินทุนระยะยาว แต่แหล่งเงินทุนระยะสั้นมีข้อจำกัด ในเรื่องของระยะเวลาในการชำระหนี้ ที่ต้องชำระหนี้ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งหากธุรกิจไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ทัน ก็จะทำให้ธุรกิจเกิดความเสี่ยงในการรักษาสภาพคล่อง ที่จะต้องจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะยาวมาจ่ายชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นกว่าเดิมดังนั้น หากผู้บริหารมีระดับความเสี่ยงสูง ก็มักจะนำเงินทุนระยะสั้นบางส่วนไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนถาวร โดยคาดว่าจะมีผลทำให้กำไรสูงขึ้น แต่กิจการก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นด้วย เนื่องจากสภาพคล่องต่ำ 2. ผู้บริหารที่ยึดหลักความปลอดภัย (conservative) เป็นผู้บริหารที่ระมัดระวัง ไม่ค่อยกล้าเสี่ยง ยึดความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะแหล่งเงินทุนระยะสั้นแม้ว่าต้นทุนของเงินทุนจะต่ำ แต่มีความเสี่ยงสูงหากไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามระยะเวลา ดังนั้น ผู้บริหารลักษณะนี้มักจะนำเงินทุนที่ได้จากแหล่งเงินทุนระยะยาวมาลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนส่วนถาวร และในสินทรัพย์หมุนเวียนชั่วคราวบางส่วนด้วย วิธีการนี้จะทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงต่ำมากหรืออาจไม่มีเลย เนื่องจากแหล่งเงินทุนระยะยาวมีระยะเวลาการชำระหนี้ที่นานกว่า 3. ผู้บริหารที่ยึดสายกลาง (average) เป็นผู้บริหารที่ยึดหลักของการจัดทำกำไรและระดับความเสี่ยงที่สมดุลกัน คือเงินทุนที่จะจัดหามาเพื่อลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท ควรจัดหามาจากแหล่งเงินทุนที่สอดคล้องกัน กับระยะเวลาการใช้งานของสินทรัพย์นั้นๆ โดยผู้บริหารจะจัดหาเงินทุนระยะยาว เพื่อลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนส่วนถาวร และจัดหาเงินทุนระยะสั้นสำหรับลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนส่วนชั่วคราว ผู้บริหารที่ยึดสายกลางจะทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงปานกลาง และกำไรที่ได้รับก็จะอยู่ในระดับปานกลาง สิ่งที่จะต้องพิจารณาในการเงินทุนของกิจการ ก็คือ เงินทุนได้มาจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นและระยะยาวปริมาณมากน้อยเพียงใด และมีการจัดสรรเพื่อนำไปลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมหรือไม่ โดยทั่วไป เงินทุนที่จัดหามาจากแหล่งเงินทุนระยะสั้น เช่น เงินกู้ระยะสั้น เจ้าหนี้การค้า ควรนำไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียน ได้แก่ ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ ในขณะที่เงินทุนที่ได้มา จากแหล่งเงินทุนระยะยาว เช่น เงินกู้ระยะยาว การออกจำหน่ายหุ้นทุนก็ควรนำไปลงทุนในสินทรัพย์ถาวรได้แก่ ที่ดิน อาคาร เครื่องจักรและอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับหลักการบริหารการเงิน อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัติ การบริหารสัดส่วนเงินทุนของกิจการมักขึ้นอยู่กับการคาดคะเนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้นๆ และทัศนคติของผู้บริหารระดับความเสี่ยง หลักของการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับการกําหนดระดับของเงินทุนหมุนเวียนและการเลือกที่จะนําเงินทุนจากแหล่งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อมาใช้ในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกันระหว่าง ระยะเวลาในการชําระคืนกับระยะเวลาที่ต้องการในการใช้เงินลงทุนในสินทรัพย์ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายในการดําเนินงานของแต่ละกิจการว่า ต้องการได้รับกำไรและยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับใด นอกจากนี้ กิจการควรมีการวิเคราะห์ระดับเงินทุนหมุนเวียนเป็นระยะๆ เพื่อให้ทราบว่ามีกำไร จากการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ รวมถึงสภาพคล่องและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น หากผลที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ กิจการจําเป็นต้องกลับไปทบทวน เพื่อพิจารณาถึงแนวทางในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดําเนินอยู่ และอาจต้องปรับเปลี่ยนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้มีความเหมาะสม มากยิ่งขึ้น บทสรุป เงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจนั้น เปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่น ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินงานของธุรกิจที่ผู้บริหารจะละเลยไม่ได้ หลักในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยพิจารณาสภาพคล่อง ระดับของความเสี่ยงและกำไรในระดับที่ยอมรับได้ กล่าวคือการจัดสรรเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตาม โดยหลักทางการเงิน พบว่า หากลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน จะมีผลทำให้สภาพคล่องต่ำ ความเสี่ยงสูง กำไรสูง แต่หากลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์ถาวร จะมีผลทำให้สภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ กำไรต่ำ ดังนั้นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องอาศัยดุลยพินิจในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนว่าจะอยู่ในระดับใดที่เหมาะสม จึงจะทำให้ธุรกิจมีกำไร และสภาพคล่อง ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ในขณะที่การบริหารเงินทุนหมุนเวียนได้ 3 ลักษณะ คือเงินทุนหมุนเวียนเป็นศูนย์ (zero position) เงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (positive position) และเงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (positive position) เเต่ละลักษณะจะมีผลต่อสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ และความสามารถในการทำกำไร ที่แตกต่างกัน ในขณะที่ธุรกิจแต่ละประเภท จะมีความต้องการในการใช้เงินทุนหมุนเวียน และส่วนประกอบของสินทรัพย์หมุนเวียนแตกต่างขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อความเสี่ยง ประเภทของธุรกิจ ขนาดและปริมาณขายของ นโยบายของธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ภาวการณ์แข่งขันทางการตลาดและ สภาวะแวดล้อม การจัดการและการบริหารเงินทุนหมุนเวียนของกิจการจะขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารการเงินของผู้ริหารแต่ละคน โดยผู้บริหารที่ระมัดระวัง (Conservative) ผู้บริหารที่กล้าเสี่ยง (Aggressive)และผู้บริหารที่ยึดสายกลาง (average)ทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อความเสี่ยงจะทีผลทำให้กิจการแต่ละแห่งมีการจัดการหรือการบริหารเงินทุนที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้กิจการควรมีการวิเคราะห์ระดับเงินทุนหมุนเวียนเป็นระยะๆ เพื่อให้ทราบว่ามีกำไร จากการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ ………………………………………………………. บรรณานุกรม คณาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์การบัญชีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.(2532).การเงินธุรกิจ.พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพฯ : คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ชนะใจ เดชวิทยาพร. (2540). การจัดการด้านการเงิน. กรุงเทพฯ : เอดิสัน เพรส โพรดักส์. ธงชัย สันติวงษ์และชัยยศ สันติวงษ์. ( 2541). การเงินธุรกิจ. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. นภาพร นิลาภรณ์กุล. (2551). การบริหารการเงิน.กรุงเทพฯ : บริษัททริปเพิ้ล เอ็ดดูเคชั่น. นภาพร นิลาภรณ์กุลและคณะ. (2551). การเงินธุรกิจ. กรุงเทพฯ : กรุงเทพฯ : ทริปเพิ้ล เอ็ดดูเคชั่น. เบญจวรรณ รักษ์สุธี. (2540). การเงินธุรกิจ. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : ชวนพิมพ์. ปรียานุช กิจรุ่งโรจน์เจริญ. (2557). การเงินธุรกิจ. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : สหายบล็อก. เพชรี ขุมทรัพย์.วิเคราะห์งบการเงิน.(2540).กรุงเทพฯ : คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. เริงรัก จำปาเงิน. (2543). การเงินธุรกิจ. กรุงเทพฯ : บุ๊คเน็ท. ศิริพร เพชรคง . การบริหารเงินทุนหมุนเวียนเรื่องง่ายที่ไม่ควรมองข้าม ค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2558. http://202.183.190.2/FTPiWebAdmin/knw_pworld/image_content. สุมาลี จิวมิตร. การบริหารการเงิน. (2549) .กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อัมพร เที่ยงตระกูล. (2548). การเงินธุรกิจ. กรุงเทพฯ : ภาควิชาการเงินและการบัญชี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต. Prinches, George E.(1996). Essentials of Financial Management. 5 th ed. New York : Harper Collins College Publishers. Van Horne James.(2001). Financial Management and Policy.12 th.ed.New Delhi: Prentice – Hall. Weston, J. Fred and Copeland, Thomas. E.(1992).Managerial Finance) 9 th ed. Fort Worth TX : The Dryden Press.
|