เฉลยใบงาน เรื่อง การคายน้ำของพืช

เฉลยใบงาน เรื่อง การคายน้ำของพืช

10.2 การแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำ�

จุดประสงค์การเรียนรู้

1. สืบค้นข้อมูล สังเกตการคายน้ำ�ของพืช และอธิบายการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำ�ของ

พืชผ่านทางปากใบ

2. อธิบายและยกตัวอย่างปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำ�ของพืช

แนวการจัดการเรียนรู้

ครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างภายในของใบพืช โดยใช้คำ�ถามเพื่อให้นักเรียนอภิปราย

ร่วมกันว่า

จากโครงสร้างภายในของใบพืชที่ได้ศึกษามาแล้ว เซลล์คุมอยู่บริเวณชั้นเนื้อเยื่อใด มีหน้าที่

อะไร และมีความสำ�คัญอย่างไร

ซึ่งนักเรียนควรตอบได้ว่าเซลล์คุมอยู่บริเวณเนื้อเยื่อเอพิเดอร์มิส

ทำ�หน้าที่เกี่ยวข้องกับการเปิดปิดปากใบซึ่งเป็นช่องทางหลักในการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำ�

มีความสำ�คัญต่อการดำ�รงชีวิตของพืช มีความสัมพันธ์กับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงรวมถึง

การลำ�เลียงน้ำ� ซึ่งนักเรียนได้ศึกษามาแล้ว

จากนั้นครูให้นักเรียนทำ�กิจกรรม 10.1 เพื่อศึกษาปากใบและการคายน้ำ�ของพืช

จุดประสงค์

1. อธิบายลักษณะของเซลล์คุม รูปากใบ และเซลล์เอพิเดอร์มิสที่ศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์

2. สังเกตและเปรียบเทียบจำ�นวนปากใบที่เอพิเดอร์มิสด้านบนและเอพิเดอร์มิสด้านล่างของ

ใบพืช และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างจำ�นวนปากใบกับการคายน้ำ�ของพืช

เวลาที่ใช้

(โดยประมาณ)

1 ชั่วโมง

กิจกรรม 10.1 ปากใบของพืชกับการคายน้ำ�

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

บทที่ 10 | การลำ�เลียงของพืช

ชีววิทยา เล่ม 3

123

ชุดกจิ กรรมอเิ ล็กทรอนิกส์วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง พชื น่ารู้ เลม ท่ี 4 การคายนาํ้ ของพืชกลุมสาระการเรียนรวู ิทยาศาสตร ชนั้ ประถมศึกษาปท่ี 4 นายเอกรักษ ชัยวงค ตาํ แหนง ครู วทิ ยฐานะ ครูชาํ นาญการ โรงเรียนเทศบาลสนั ปายางหลวง สงั กดั กองการศึกษา เทศบาลเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน

ชดุ กจิ กรรมอิเล็กทรอนกิ สว ชิ าวิทยาศาสตร เรอ่ื งพืชนารู ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปท่ี 4 โรงเรียนเทศบาลสนั ปายางหลวง เทศบาลเมอื งลําพนู จงั หวดั ลาํ พูน คําชี้แจงในการใชชดุ กิจกรรมอิเลก็ ทรอนิกส เลมท่ี 4 การคายนํ้าของพืชชดุ กจิ กรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส เลมที่ 4 การคายน้าํ ของพชื เปน ชดุ กจิ กรรมอเิ ลก็ ทรอนิกสร ายวชิ าวทิ ยาศาสตรรหสั วิชา ว 14101 ชัน้ ประถมศกึ ษาปที่ 4 กลุมสาระการเรยี นรวู ิทยาศาสตร มีสาระการเรยี นรู ตามหลักสูตรการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ใชเวลาในการศกึ ษา และปฏบิ ัตกิ ิจกรรม จํานวน 2 ชั่วโมงมาตรฐานการเรยี นรู มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหน่วยพนื ้ ฐานของสง่ิ มชี ีวิต ความสมั พนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบตา่ ง ๆ ของส่ิงมีชีวิตท่ีทํางานสมั พนั ธ์กนั มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ส่อื สารสิ่งท่ีเรียนรู้และนําความรู้ไปใช้ในการดาํ รงชีวิตของตนเองและดแู ลสิ่งมชี ีวิต ตวั ชีว้ ัด มฐ.ว 1.1 ป.4/1 ทดลองและอธิบายหน้าที่ของท่อลาํ เลียงและปากใบของพืชจดุ ประสงคก ารเรยี นรู1. อธิบายความสาํ คญั ของการคายนา้ํ ได (K)2. อธิบายโครงสรางและลักษณะของปากใบได (K)3. ทดลองและสรุปผลการทดลองเกย่ี วกบั หนา ทข่ี องปากใบของพชื ได (P)4. ระบคุ วามสําคญั ของการคายนา้ํ และปจ จยั ทีเ่ กีย่ วขอ งกบั การคายน้ําได (P)5. เปน ผทู ่ีมเี หตุผล มีความอยากรูอ ยากเห็น ใจกวา ง มคี วามซื่อสัตย และมีความมุงมัน่ เพยี รพยายาม (A)

ชุดกิจกรรมอิเล็กทรอนกิ สว ทิ ยาศาสตร เรือ่ ง พชื นา รู โดยใชก ระบวนการสืบเสาะหาความรู (5Es)ชั้นประถมศกึ ษาปท ี่ 4 มีรายละเอียดดงั นี้1. ชุดกิจกรรมอิเลก็ ทรอนกิ สว ทิ ยาศาสตรมที ้ังหมด 8 เลม ดังน้ี เลมท่ี 1 เรอ่ื ง โครงสรา งภายนอกของพชื เลม ที่ 2 เรื่อง การดูดน้าํ ของรากพชื เลม ที่ 3 เร่อื ง การลําเลยี งของพืช เลมที่ 4 เร่อื ง การคายนาํ้ ของพชื เลม ที่ 5 เรอ่ื ง ปจจัยที่มีผลตอ การเจริญเตบิ โตของพืช เลม ท่ี 6 เรอ่ื ง การสรา งอาหารของพืช เลมท่ี 7 เรื่อง ปจ จัยทมี่ ผี ลตอ การสังเคราะหด ว ยแสงของพืช เลม ที่ 8 เรอ่ื ง การตอบสนองตอ สง่ิ เรา ของพชื2. ชุดกิจกรรมอเิ ล็กทรอนกิ สว ิทยาศาสตรแตละชุดมสี ว นประกอบ ดงั นี้ 2.1 คาํ แนะการใชชดุ กิจกรรมสาํ หรับครู 2.2 บทบาทของครู 2.3 บทบาทของนักเรียน 2.4 สาระสําคญั ผลการเรียนรูทคี่ าดหวงั 2.5 แบบทดสอบกอนเรยี น 2.6 ใบความรู 2.7 ใบกิจกรรม 2.8 แบบทดสอบหลังเรียน

สวนประกอบของชุดกจิ กรรม มดี งั น้ี1. คาํ ช้ีแจงในการใชช ดุ กจิ กรรม2. บทบาทครู3. บทบาทนักเรียน4. ขนั้ ตอนการใชชดุ กจิ กรรม5. แบบทดสอบกอนเรยี น ชุดกจิ กรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส ชดุ ท่ี 46. ใบความรูท ี่ 4.1 การคายน้าํ ของพืช7. ใบกจิ กรรมท่ี 4.1 การคายนาํ้ ของพืช8. ใบความรูท ี่ 4.2 ความสาํ คญั และปจจยั ที่มผี ลตอ การคายนาํ้ ของพืช9. ใบกจิ กรรมท่ี 4.2 ความสาํ คญั และปจจัยท่ีมผี ลตอ การคายนํา้ ของพืช10. แบบทดสอบหลงั เรยี น ชุดกิจกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส ชดุ ท่ี 411. เฉลยแบบทดสอบกอนเรียน ชุดกิจกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส ชุดท่ี 412. เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน ชุดกจิ กรรมอเิ ลก็ ทรอนิกส ชุดที่ 413. แนวคําตอบใบกจิ กรรมท่ี 4.1 การคายนํา้ ของพชื14. แนวคําตอบใบกจิ กรรมที่ 4.2 ความสาํ คัญและปจ จัยทม่ี ีผลตอ การคายน้ําของพืชการประเมนิ ผลการเรียนรู1. ประเมนิ ผลดา นความรู 1.1 ทดสอบกอนเรียนและหลังเรียน 1.2 ตรวจใบกิจกรรมที่ 4.1 การคายนาํ้ ของพชื2. ประเมินดานทกั ษะกระบวนการ 2.1 ตรวจใบกจิ กรรมท่ี 4.2 ความสาํ คัญและปจจยั ที่มีผลตอ การคายนํา้ ของพืช 2.2 ประเมินพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ3. ประเมินคุณลักษณะอันพงึ ประสงค 3.1 ซอื่ สตั ย สจุ ริต 3.2 มวี นิ ัย 3.3 ใฝเ รียนรู 3.4 มงุ ม่นั ในการทํางาน 3.5 มีจติ สาธารณะ

บทบาทครูชุดกิจกรรมอิเล็กทรอนิกส เลม ท่ี 4 การคายน้ําของพชื ใชเวลาในการศกึ ษา และปฏิบัติกจิ กรรมจํานวน 2 ชั่วโมงสงิ่ ทีค่ รูควรปฏบิ ตั ิ กอ น-หลงั และขณะใชชุดกจิ กรรมอเิ ล็กทรอนิกส มดี ังน้ี1. ครคู วรศกึ ษา และทําความเขาใจวธิ ีการใชช ดุ กิจกรรมอเิ ล็กทรอนิกสแลวปฏบิ ัตติ ามขัน้ ตอนในการใชช ุดกจิ กรรมอิเล็กทรอนกิ สใ หถ กู ตอ ง ตามลาํ ดับขนั้ ตอนการดาํ เนินกิจกรรม การใชส อื่ และอปุ กรณ รวมถึงวิธีวดัและประเมนิ ผลของชดุ กจิ กรรมอิเล็กทรอนิกสใ หชดั เจน2. ครคู วรศกึ ษาแผนการจัดการเรยี นรู และปฏิบัตกิ ิจกรรมตามแผนการจดั การเรียนรู ใหครบทุกขั้นตอน3. ครูควรเตรียมการจดั กจิ กรรมการเรียนรลู วงหนา และเตรยี มสถานท่ตี ลอดจนสื่อตา งๆ ใหพ รอ มกอ นใชชุดกจิ กรรมอิเล็กทรอนกิ ส4. ครคู วรเตรยี มสือ่ ตา งๆ ทีใ่ ชในการจัดกจิ กรรมการเรียนรตู ามแผนการจัดการเรยี นรู แตล ะแผนไวลวงหนา5. ครูควรตรวจสอบวัสดอุ ปุ กรณตา งๆ ทมี่ อี ยูในชุดกิจกรรมอิเล็กทรอนิกสใ หเรียบรอยท้ังกอ น และหลังใชชดุกิจกรรมอิเล็กทรอนิกสท กุ ครั้ง6. การจดั ชนั้ เรยี น จัดนกั เรียนนง่ั เปน กลุม กลมุ ละ 4-5 คน โดยแตละกลุมใหมนี ักเรียนเกง ปานกลาง ออ นตามความเหมาะสมเพื่อฝก ทักษะการทางานกลมุ ทักษะกระบวนการรวมกับผอู นื่7. ครูควรชีแ้ จงบทบาทของนักเรียน เวลาทีใ่ ชใ นการปฏิบตั ิกิจกรรม แตละกจิ กรรมหรอื แตละแผนการจดั การเรยี นรใู หนักเรียนทราบ8. ครูควรแจงจดุ ประสงคการเรยี นรูใ หน ักเรียนทราบ9. ครใู หน ักเรยี นทาํ แบบทดสอบกอนเรียนเปน รายบคุ คล เพอ่ื ประเมนิ ความรูเดมิ ของนักเรียน กอนเริ่มเรยี นในแตล ะชดุ10. ครูแจกชุดกจิ กรรมอเิ ล็กทรอนิกสใหน กั เรยี นศกึ ษา และแนะนําขัน้ ตอนการใชช ดุ กจิ กรรม การเรียนรู เพ่ือนักเรียนจะไดปฏิบัตไิ ดอ ยางถกู ตอง11. ครูดําเนนิ การสอนตามกิจกรรมการเรียนรูที่กาํ หนดไวในแผนการจดั การเรียนรู12. ครคู วรใหก ารดแู ลขณะทน่ี กั เรียนปฏิบตั ิกจิ กรรมอยา งทวั่ ถึง และใหค ําแนะนาํ กรณี ทน่ี ักเรยี นไมเ ขา ใจในกจิ กรรมตา งๆ และตอ งพยายามกระตุนใหน ักเรยี นปฏบิ ตั กิ ิจกรรมดว ยตนเองมากท่สี ุด13. หากมีนักเรียนคนใดเรยี นไมทนั ครูอาจมอบหมายงานใหศ ึกษาเพมิ่ เตมิ ในเวลาวาง14. ครใู หนักเรยี นทาํ แบบทดสอบหลังเรียนเปนรายบคุ คล หลังจากท่ีนกั เรยี นใช ชดุ กจิ กรรมอิเลก็ ทรอนิกสเสรจ็ เรยี บรอ ย15. นกั เรยี นทําแบบทดสอบกอนเรียน ทาํ ใบกจิ กรรม ครูควรตรวจคาํ ตอบแลวแจง คะแนนใหน ักเรียนทราบทนั ที และเมอื่ เรียนจบเน้ือหาใหน ักเรยี นทําแบบทดสอบหลงั เรยี น เมอื่ ครูตรวจคาํ ตอบแลวแจง คะแนนใหนกั เรียนทราบ เพอื่ ดคู วามกาวหนา ของตนเอง หากมีนักเรยี น ไมผา นเกณฑ ครูควรใหน กั เรียนรบั ชุดกิจกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ สชุดท่ีไมผานเกณฑไปศึกษาเพิ่มเตมิ นอกเวลาเรียน16. ครคู วรสรปุ ผลการใชช ดุ กจิ กรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส สภาพปญ หา และขอ เสนอแนะ หลงั จากใชช ดุ กิจกรรมอิเล็กทรอนิกสแ ตล ะครัง้ เพอ่ื นาไปปรบั ปรุงในการใชช ดุ กจิ กรรมอิเลก็ ทรอนิกสในคร้งั ตอไป

บทบาทนักเรียนชุดกจิ กรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส เลมท่ี 4 การคายนา้ํ ของพืช ใชเ วลาในการศกึ ษา และปฏิบตั กิ จิ กรรม จํานวน 2ช่ัวโมง โดยนกั เรยี นปฏิบัติดังตอ ไปน้ี1. นักเรียนอา นคาํ ช้แี จงการใชชุดกิจกรรมอเิ ล็กทรอนิกสบ ทบาทของนกั เรยี นใหเ ขาใจกอน ศกึ ษาชดุ กจิ กรรมอิเล็กทรอนกิ ส2. นกั เรียนอา นขั้นตอนการใชช ุดกจิ กรรม3. นักเรียนศึกษาชดุ กิจกรรมอิเล็กทรอนกิ สดว ยตนเอง โดยปฏบิ ตั ติ ามขน้ั ตอนทร่ี ะบุไวใ นขน้ั ตอนการใชช ดุกจิ กรรม4. นักเรยี นทาํ แบบทดสอบกอ นเรียน และแบบทดสอบหลงั เรียนเปนรายบคุ คลสวนการปฏิบตั กิ จิ กรรมในชดุกจิ กรรมอเิ ล็กทรอนิกสใ หน กั เรยี นทําเปน กลมุ5. การทํากิจกรรมตามชดุ กิจกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ สท ุกชุด ขอใหนักเรยี นทาํ ดว ยความต้งั ใจ และใหความรว มมือมีความซือ่ สตั ยต อตนเองและผูอ ื่นไมเปดดูเฉลยกอนเปน อันขาด เพราะจะทําใหนกั เรยี นไมไ ดใชท กั ษะในการคดิวเิ คราะห6. การทําแบบทดสอบกอ นเรยี น ทําแบบบันทึกกิจกรรมนกั เรียนควรใหครตู รวจคาํ ตอบแลว รอผลคะแนนสอบทนั ที และเมอ่ื เรียนจบเนื้อหาใหน ักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรยี น เม่อื ครตู รวจคาตอบแลว ใหน กั เรยี นรอผลคะแนนสอบ เพอ่ื ดคู วามกา วหนาของตนเอง หากนักเรียนไมผานเกณฑ ใหนกั เรียนรับชดุ กจิ กรรมอิเลก็ ทรอนิกสชดุ ทไี่ มผ า นเกณฑไ ปศกึ ษาเองเพม่ิ เติมนอกเวลาเรียน เพ่อื ทบทวนความรูแลวจงึ ทําแบบทดสอบใหมอ ีกครั้ง7. หลังจากทํากิจกรรมเสร็จเรียบรอยแลว ใหน ักเรียนเก็บวัสดอุ ปุ กรณใหเ รยี บรอ ย8. หากนักเรยี นคนใดเรยี นไมท นั หรอื เรยี นไมเ ขาใจ ใหร บั ชดุ กิจกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกสไปศกึ ษาเพิ่มเตมิ นอกเวลาเรียน เพอื่ ใหเขาใจมากยงิ่ ขึ้น

ในกรณีท่ไี มมีการแบงกลมุ1. นักเรยี นทกุ คนปฏบิ ัติกิจกรรมดว ยความต้งั ใจ และไมช วนเพือ่ นคยุ หรือเลน กันขณะทป่ี ฏิบัตกิ จิ กรรม2. นักเรยี นปฏิบัติตามข้ันตอนในการทํากจิ กรรมใหเ สร็จ และทนั เวลาที่กาํ หนด3. นักเรยี นควรต้งั ใจตอบคาํ ถามอยางเตม็ ความสามารถ และยกมือซกั ถามเมื่อพบปญหาหรอื ขอ สงสยั4. นักเรยี นควรทําแบบฝก หัดดว ยตนเองอยางเต็มความสามารถ ไมล อกเลยี นแบบของผูอ่นื5. นกั เรียนควรตัง้ ใจในการทาํ แบบทดสอบท้ังกอนเรยี นและหลงั เรียนดว ยตนเอง6. เมือ่ นกั เรยี นปฏิบตั กิ จิ กรรมเสรจ็ ใหช วยกนั เกบ็ และทาํ ความสะอาดวสั ดุ อปุ กรณ สื่อการเรียนการสอนแลวจดั โตะกับเกาอใี้ หอ ยใู นสภาพทเ่ี รียบรอ ยในกรณที ่ีมกี ารแบง กลุม1. บทบาทของผนู าํ กลุม มหี นาท่ดี งั นี้ 1.1 ควบคุมการดาํ เนินกจิ กรรมภายในกลุมใหเ ปนไปดวยความเรยี บรอ ย 1.2 เปนผูนําในการปฏบิ ตั ิกิจกรรมของกลมุ 1.3 เปน ผูต ดิ ตอกบั ครูเมือ่ พบปญ หาหรือขอ สงสยั 1.4 รายงานหรอื แจงใหค รูทราบเมอ่ื ปฏิบตั กิ จิ กรรมเสร็จ 1.5 หลังจากสมาชิกภายในกลมุ ปฏิบตั กิ ิจกรรมตามแผนการจัดการเรียนรเู สรจ็ เรียบรอยแลว ใหเ ก็บ รวบรวมแบบบนั ทึกกิจกรรม และกระดาษคาตอบสง ครตู ามเวลาทกี่ าํ หนด2. บทบาทของสมาชกิ ภายในกลุม มหี นา ท่ีดังน้ี 2.1 ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมดว ยความตัง้ ใจใหท นั เวลาโดยไมช วนเพือ่ นคยุ หรือเลน 2.2 ตง้ั ใจตอบคาํ ถามอยา งเตม็ ความสามารถและปฏิบตั ติ ามข้นั ตอนในการทํากจิ กรรม 2.3 ไมค วรปรกึ ษากันเสียงดังเกินไปจนรบกวนกลมุ อ่นื ๆ 2.4 ชว ยกันเก็บ และทาํ ความสะอาดวสั ดุ อุปกรณ สือ่ การเรียนการสอน แลว จัดโตะ กับเกา อ้ี ใหอยูใน สภาพที่เรียบรอ ย

ขัน้ ตอนการใชชุดกจิ กรรม 1. นักเรยี นศึกษาคาํ ชแี้ จงการใชช ุดกจิ กรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส เลม ท่ี 4 การคายนาํ้ ของพชื ใหเขา ใจ 2. นักเรียนทาํ แบบทดสอบกอ นเรียนเปนรายบคุ คล ชดุ กจิ กรรมอเิ ล็กทรอนิกส ชดุ ท่ี 4 จํานวน 10 ขอโดยใชเวลา 10 นาที เม่ือทําแบบทดสอบเสร็จแลวเก็บรวบรวมใหครตู รวจคาตอบ รอฟง ผลการประเมนิ ความรูเดิมของนกั เรยี น 3. นกั เรียนศกึ ษาใบความรูที่ 4.1 การคายน้ําของพชื จากน้นั ทาํ ใบกจิ กรรมที่ 4.1 การคายนํ้าของพืชเม่ือทําเสร็จเรียบรอยแลว ครกู ับนักเรยี นเฉลยคาํ ตอบรวมกันโดยตรวจคาํ ตอบในเฉลยใบกจิ กรรมท่ี 4.1 การคายนํา้ ของพชื 4. นักเรียนศกึ ษาใบความรูท่ี 4.2 ความสําคญั และปจ จยั ที่มีผลตอการคายนํา้ ของพืช จากน้ันทาํ ใบกิจกรรมที่ 4.2 ความสาํ คญั และปจจยั ท่ีมผี ลตอการคายนา้ํ เม่อื ทาํ เสร็จเรียบรอ ยแลว ครกู บั นักเรยี นเฉลยคาํ ตอบรวมกนั โดยตรวจคําตอบในแนวคาํ ตอบใบกจิ กรรมท่ี 4.2 ความสาํ คญั และปจ จัยที่มีผลตอ การคายนา้ํของพชื 5. นักเรยี นทาํ แบบทดสอบหลงั เรียนเปนรายบุคคล ชุดกิจกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส ชุดที่ 4 จาํ นวน 10 ขอโดยใชเวลา 10 นาที เมอ่ื นกั เรียนทาํ แบบทดสอบเสร็จแลวเก็บรวบรวมใหครตู รวจคาํ ตอบเพอ่ื ประเมินความรูหลังจากใชชดุ กจิ กรรมอเิ ล็กทรอนิกส

แบบทดสอบกอนเรียน ชุดกจิ กรรมอิเล็กทรอนกิ ส ชุดท่ี 4เรอ่ื ง การคายนํ้าของพืช กลมุ สาระการเรียนรูวิทยาศาสตรชนั้ ประถมศกึ ษาปท ี่ 4 เวลา 10 นาทีคาํ ชีแ้ จง ขอสอบชดุ นเี้ ปนขอ สอบปรนยั จํานวน 10 ขอ คะแนน 10 คะแนนคําสงั่ ใหนักเรียนเลอื กคําตอบทถ่ี ูกตองที่สดุ เพยี งคาํ ตอบเดยี วแลว นําอกั ษรหนา คําตอบ เติมลงใน แบบบนั ทกึผลการทดสอบ1. พืชมกี ลไกใดทคี่ วบคมุ ปริมาณนํ้า ตามขอ ใด ก. การดูดนํา้ ข. การคายนา้ํ ค. การลาํ เลียงนา้ํ ง. การสังเคราะหด วยแสง2. พชื มีการคายนา้ํ ออกมาในรูปแบบใด ก. นํา้ ข. ไอน้าํ ค. น้าํ คา ง ง. น้าํ แข็ง3. ขอใด ไมใช หนา ท่ขี องใบพชื ก. ดดู น้าํ ข. คายน้ํา ค. สรา งอาหาร ง. ดดู และคายแกส คารบอนไดออกไซด และแกสออกซิเจน4. ในกจิ กรรมเรอื่ ง การคายน้าํ ของพืช การทดลองนไี้ ดจ ดั อะไรใหแ ตกตางกัน ก. กง่ิ ไมท่มี ีใบ และกงิ่ ไมท ีไ่ มม ใี บ ข. กง่ิ ไมท ี่มีราก และก่ิงไมท ี่ไมม ีใบราก ค. กง่ิ ไมขนาดเล็ก และก่งิ ไมข นาดใหญ ง. กิ่งไมท ่ีมีปากใบ และก่ิงไมทีไ่ มม ปี ากใบ

5. ในกจิ กรรมเรือ่ ง การคายนํ้าของพชื การทดลองนีต้ ้องติดตามดอู ะไร ก. จาํ นวนใบพชื ข. ความสูงของก่งิ ไม ค. อณุ หภมู ิภายในถุงพลาสตกิ ทง้ั 2 ใบ ง. การเปลย่ี นแปลงท่เี กดิ ขน้ึ ภายในถงุ พลาสตกิ ทั้ง 2 ใบ6. ในกิจกรรมเรอื่ ง การคายนํ้าของพืช เกิดการเปลีย่ นแปลงที่กิ่งไม้ อย่างไร ก. กิง่ ไมท ่คี รอบถงุ พลาสตกิ โดยมีอุณหภมู ิภายในถงุ เพิ่มขน้ึ ข. ก่งิ ไมทีไ่ มครอบถุงพลาสตกิ โดยมีอุณหภมู ิภายในถุงเพม่ิ ข้ึน ค. กิ่งไมทีม่ ีใบเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยมหี ยดนาํ้ เกาะทถี่ งุ พลาสตกิ ง. ก่ิงไมท ี่ไมมีใบเกดิ การเปลีย่ นแปลง โดยมีหยดนา้ํ เกาะที่ถุงพลาสติก7. ลกั ษณะของเซลลปากใบของพชื เปน อยา งไร ก. ปากใบประกอบดว ย ใบไมจาํ นวน 1 คู ข. มีคลอโรพลาสต และเซลลคมุ ทําหนา ทสี่ งั เคราะหดวยแสง ค. รูปรา งคลายเมล็ดถ่วั โดยผนงั ดานในทชี่ ิดกบั ปากใบจะหนากวา ดานนอก ง. มกี ารจดั เรียงตัวแบบกระจายของเนอื้ เยือ่ ลําเลียงน้ําและอาหารในลาํ ตน พืช8. ปจจยั ใดบา งท่มี ผี ลตอ การควบคมุ การคายนาํ้ ของพชื ก. แสงสวา ง เสยี ง ความชน้ื ในดนิ กระแสลม ปรมิ าณนํ้าฝน ข. แสงสวา ง เสยี ง ความกดอากาศ กระแสลม ปรมิ าณน้ําฝน ค. แสงสวา ง อณุ หภมู ิ ความชื้นในอากาศ กระแสลม ธาตอุ าหารในดนิ ง. แสงสวาง อณุ หภมู ิ ความชื้นในอากาศ ธาตุอาหารในดนิ ปริมาณนํ้าในดนิ9. แสงสวางมผี ลตอ การคายน้าํ อยา งไร ก. ทําใหป ากใบพืชปด ทําใหพ ืชดูดนาํ้ ลดลง ข. ทําใหปากใบพืชปด ทําใหพ ืชมีการคายนาํ้ ลดลง ค. ทําใหป ากใบพืชเปดกวาง ทําใหพ ชื ดดู น้ํามากขน้ึ ง. ทําใหป ากใบพืชเปด กวาง ทาํ ใหพชื มกี ารคายนํา้ มากข้นึ

10. สิ่งที่ทําหนา ท่ีควบคุมการปด-เปด ของปากใบ คือขอ ใด ก. ไซเล็ม ข. เซลลค มุ ค. โฟลเอม็ ง. คลอโรพลาสต

แบบบันทึกผลแบบทดสอบกอนเรยี น ชดุ กิจกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส ชดุ ที่ 4ช่อื -สกุล.....................................................ชั้น..................... เลขที่................. ขอท่ี คาํ ตอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 คะแนนเตม็ 10 คะแนน คะแนนทีไ่ ด. ............คะแนน

ใบความรูท ี่ 4.1 การคายน้ําของพชื การคายนํา้ ของพืช หมายถงึ กลไกของพชื ในการควบคมุ นํา้ ไมใ่ ห้มากเกินไป เป็นการกําจดั นํา้ ท่ีมีปริมาณมากเกินพอออกจากพืชโดยกําจดั ออกในรูปของไอนํา้ ผา่ นทางปากใบ ซง่ึ การคายนํา้ ช่วยลดอณุ หภมู ิที่ใบพชื และทําให้บรรยากาศเกิดความชมุ่ ชืน้ภาพที่ 4.1 ปากใบท่ีมา : https://sites.google.com/site/vascularsystemoftheplant/7-kar-khay-na-khxng-phuchปากใบพบท่ีใบพชื มลี กั ษณะเป็นชอ่ งอย่รู ะหว่างเซลล์คมุ 2 เซลล์ ซงึ่ มีลกั ษณะคล้ายเมลด็ ถว่ัภาพท่ี 4.2 ภาพลกั ษณะของปากใบและการทํางานของปากใบท่ีมา : https://sites.google.com/site/satwmikartxbsnxng/satw-mi-kar-txb-snxng/satw-mi-kar-txb-snxng-tx-xunhphumi

กจิ กรรมเร่ือง การคายนํา้ ของพชืวัสดุอุปกรณ์1. กิ่งไม้ที่มใี บ 1 กิ่ง2. ก่ิงไม้ที่ไมม่ ใี บ 1 กิ่ง3. ถงุ พลาสตกิ ใส 2 ใบ4. ยางรัด 2 เส้นวธิ ีทาํ 1. ให้นกั เรียนเลอื กก่ิงไม้ ชนิดเดียวกนั ท่ีมีขนาดใกล้เคียงกนั มา 2 กิ่ง โดยเดด็ ใบกิ่งหนงึ่ ออกให้หมดจากนนั้ นาํ กิ่งไม้ทงั้ 2 ใสใ่ นถงุ พลาสตกิ ใสชนิดละ 1 ใบ รัดปากถงุ ด้วยหนงั ยางให้แน่น 2. ให้กิ่งไม้ทงั้ 2 ได้รับแสงแดดเป็นเวลา 20 นาที สงั เกตและบนั ทกึ ผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขนึ ้ภายในถงุ พลาสติก

ตาราง ผลการเปล่ยี นแปลงที่เกิดขนึ ้ ของกิ่งไม้ที่มใี บและไมม่ ีใบ เมื่อวางไว้กลางแดด เป็นเวลา 20 นาที การทดลอง ผลการเปลย่ี นแปลง1. กิ่งไม้ที่มใี บ มีหยดนํา้ เกาะอย่ภู ายในถงุ พลาสติกมาก2. กิ่งไม้ที่ไมม่ ีใบ ไมม่ หี ยดนํา้ เกาะอย่ภู ายในถงุ พลาสติก จากการสงั เกตพบวา่ มหี ยดนาํ ้ เลก็ ๆ เกาะอย่ตู ามผนงั ด้านในของถงุ พลาสตกิ ที่คลมุ กิ่งไม้ที่มใี บสว่ นถงุ พลาสติกทคี่ ลมุ ก่ิงไม้ที่ไมม่ ีใบ จะไมม่ หี ยดนํา้ เกาะอย่ภู ายในถงุ

ใบกจิ กรรมที่ 4.1 เร่ือง การคายนา้ํ ของพชืชื่อ-สกลุ ...............................................................................................ช้นั ...........................เลขที่..................คาํ ชี้แจง ใหน้ กั เรียนวาดภาพแสดงโครงสร้างของปากใบ(10 คะแนน) ปากใบของพืช มีลกั ษณะ ……………………………………………………………..…………………………………………………………………………………………………

ใบความรูท ่ี 4.2 ความสาํ คัญและปจ จัยท่ีมผี ลตอ การคายน้ําของพืช ความสาํ คญั ของการคายนํา้ ของพืช คือ ทําให้รากดดู นาํ ้ และลําเลียงนาํ ้ ไปยงั ลําต้นและใบ ชว่ ยลดอณุ หภมู ิที่ใบ และทําให้บรรยากาศเกิดความช่มุ ชืน้ ถ้าพชื มีการคายนํา้ มากกวา่ ปริมาณที่รากดดู เข้ามาพืชจะมนี ํา้ ไมพ่ อและทําให้พชื แห้งเหี่ยวตายได้ปัจจัยท่คี วบคุมการคายนํา้ ของพชื ได้แก่ 1) แสงสว่าง ทําให้ปากใบพชื เปิดกว้าง ทําให้พชื มกี ารคายนํา้ มากขนึ ้ 2) อุณหภมู ิ ถ้าอณุ หภมู ขิ องพชื สงู มากหรือต่าํ มากจะทําให้ปากใบปิด ไมม่ ีการคายนํา้ 3) ความชืน้ ในอากาศ ถ้าความชืน้ สงู พืชจะคายนํา้ ได้น้อย 4) กระแสลม ลมจะชว่ ยพานํา้ ท่ีพืชคายออกมากระจายไปจากปากใบทําให้การคายนํา้ เกิดขนึ ้ ได้ดี 5) ปริมาณนํา้ ในดนิ ถ้าปริมาณนํา้ ในดนิ มาก พชื จะคายนํา้ มาก นํา้ นํ้า นํ้า นํ้า นํา้นํ้า นํ้านํ้า นํ้า นํา้ นํ้า

ใบกิจกรรมท่ี 4.2 เร่ือง ความสําคญั และปัจจยั ทมี่ ผี ลต่อการคายนํา้ ของพืชช่ือ-สกลุ ...............................................................................................ช้นั ...........................เลขที่..................คาํ ชี้แจง ใหน้ กั เรียนเขียนแผนภาพความคิดเก่ียวกบั ความสาํ คญั และปัจจยั ท่ีมีผลต่อการคายน้าํของพชื (10 คะแนน) ความสําคญั และปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อการคายนํา้ ของพืช

แบบทดสอบหลังเรียน ชุดกิจกรรมอิเล็กทรอนกิ ส ชดุ ท่ี 4เรื่อง การคายนํา้ ของพืช กลมุ สาระการเรยี นรูวิทยาศาสตรช้นั ประถมศึกษาปท ี่ 4 เวลา 10 นาทีคาํ ชี้แจง ขอสอบชุดนี้เปนขอ สอบปรนัย จํานวน 10 ขอ คะแนน 10 คะแนนคําสง่ั ใหนกั เรียนเลือกคําตอบทถ่ี ูกตอ งที่สดุ เพยี งคาํ ตอบเดียวแลวนาํ อกั ษรหนาคําตอบ เติมลงใน แบบบนั ทกึผลการทดสอบ1. สง่ิ ที่ทาํ หนา ท่คี วบคุมการปด-เปด ของปากใบ คือขอใด ก. ไซเลม็ ข. เซลลค มุ ค. โฟลเอม็ ง. คลอโรพลาสต2. พชื มกี ารคายนาํ้ ออกมาในรปู แบบใด ก. นํ้า ข. ไอนาํ้ ค. นํ้าคาง ง. นํา้ แข็ง3. ในกิจกรรมเรอ่ื ง การคายน้ําของพืช เกิดการเปล่ียนแปลงท่ีกิ่งไม้ อยา่ งไร ก. กิ่งไมท ่ีครอบถุงพลาสตกิ โดยมอี ุณหภมู ิภายในถงุ เพมิ่ ข้นึ ข. ก่ิงไมที่ไมครอบถงุ พลาสติก โดยมีอณุ หภมู ภิ ายในถุงเพิ่มขึ้น ค. ก่ิงไมท มี่ ใี บเกิดการเปลยี่ นแปลง โดยมีหยดนาํ้ เกาะทีถ่ ุงพลาสตกิ ง. ก่ิงไมทไี่ มม ใี บเกดิ การเปลีย่ นแปลง โดยมหี ยดนํา้ เกาะทถ่ี ุงพลาสตกิ4. ในกิจกรรมเรอื่ ง การคายน้ําของพชื การทดลองนีต้ ้องติดตามดอู ะไร ก. จาํ นวนใบพชื ข. ความสูงของก่ิงไม ค. อณุ หภูมิภายในถงุ พลาสตกิ ทง้ั 2 ใบ ง. การเปล่ยี นแปลงท่เี กิดขนึ้ ภายในถุงพลาสตกิ ท้งั 2 ใบ

5. พืชมกี ลไกใดท่คี วบคมุ ปรมิ าณน้ํา ตามขอใด ก. การดดู นํา้ ข. การคายนา้ํ ค. การลาํ เลยี งนา้ํ ง. การสังเคราะหด วยแสง6. ปจจยั ใดบา งทีม่ ีผลตอ การควบคุมการคายน้าํ ของพชื ก. แสงสวา ง เสียง ความช้นื ในดนิ กระแสลม ปรมิ าณน้ําฝน ข. แสงสวา ง เสยี ง ความกดอากาศ กระแสลม ปรมิ าณนาํ้ ฝน ค. แสงสวา ง อณุ หภูมิ ความชนื้ ในอากาศ กระแสลม ธาตอุ าหารในดิน ง. แสงสวาง อณุ หภูมิ ความชน้ื ในอากาศ ธาตอุ าหารในดิน ปรมิ าณนา้ํ ในดิน7. ขอ ใด ไมใ ช หนา ที่ของใบพชื ก. ดูดนํา้ ข. คายนา้ํ ค. สรางอาหาร ง. ดูดและคายแกส คารบอนไดออกไซด และแกสออกซิเจน8. แสงสวางมีผลตอการคายน้าํ อยางไร ก. ทาํ ใหป ากใบพชื ปด ทําใหพ ชื ดดู น้ําลดลง ข. ทาํ ใหป ากใบพชื ปด ทําใหพืชมกี ารคายนา้ํ ลดลง ค. ทาํ ใหปากใบพชื เปดกวาง ทําใหพ ืชดูดนํ้ามากข้ึน ง. ทําใหป ากใบพชื เปดกวาง ทําใหพชื มกี ารคายนํ้ามากขน้ึ9. ลกั ษณะของเซลลป ากใบของพชื เปนอยา งไร ก. ปากใบประกอบดวย ใบไมจาํ นวน 1 คู ข. มีคลอโรพลาสต และเซลลคมุ ทําหนา ที่สังเคราะหดวยแสง ค. รปู รางคลายเมล็ดถ่ัวโดยผนงั ดา นในทช่ี ดิ กบั ปากใบจะหนากวา ดา นนอก ง. มีการจดั เรยี งตัวแบบกระจายของเน้ือเยือ่ ลาํ เลยี งน้ําและอาหารในลาํ ตน พชื

10. ในกิจกรรมเรอื่ ง การคายน้ําของพืช การทดลองนี้ไดจ ดั อะไรใหแ ตกตา งกนั ก. กิ่งไมท มี่ ีใบ และกิ่งไมที่ไมม ีใบ ข. กง่ิ ไมทม่ี รี าก และก่งิ ไมท่ีไมมใี บราก ค. กิง่ ไมขนาดเลก็ และกิง่ ไมข นาดใหญ ง. ก่ิงไมที่มีปากใบ และกิ่งไมท่ไี มมีปากใบ

แบบบนั ทึกผลแบบทดสอบหลงั เรยี น ชดุ กิจกรรมอิเลก็ ทรอนิกส ชดุ ท่ี 4ช่อื -สกุล.....................................................ชน้ั ..................... เลขท่ี................. ขอที่ คาํ ตอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 คะแนนเตม็ 10 คะแนน คะแนนทไี่ ด. ............คะแนน

เฉลยแบบทดสอบกอนเรยี นชดุ กิจกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส ชุดท่ี 4 ขอ ที่ คําตอบ 1ข 2ข 3ก 4ก 5ง 6ค 7ค 8ค 9ง 10 ข

เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียนชุดกิจกรรมอเิ ล็กทรอนิกส ชุดท่ี 4 ขอที่ คําตอบ 1ข 2ข 3ค 4ง 5ข 6ค 7ก 8ง 9ค 10 ก

แนวคาํ ตอบใบกจิ กรรมที่ 4.1 เซลล์คุม เรื่อง การคายน้ําของพชืคาํ ชี้แจง ใหน้ กั เรียนวาดภาพแสดงโครงสร้างของปากใบ(10 คะแนน)ปากใบ

แนวคําตอบใบกิจกรรมที่ 4.2 เรื่อง ความสําคญั และปัจจัยทมี่ ผี ลต่อการคายนํา้ ของพืชคาํ ชี้แจง ใหน้ กั เรียนเขียนแผนภาพความคิดเกี่ยวกบั ความสาํ คญั และปัจจยั ท่ีมีผลต่อการคายน้าํของพชื (10 คะแนน) ปัจจัยท่มี ีผลต่อการคายนํา้ ของพชืแสงสว่าง อณุ หภมู ิ ความชืน้ ในอากาศ กระแสลม ปริมาณนํา้ ในดนิความสําคญั ของการคายนํา้ ของพืช ทาํ ให้รากดดู นํา้ และลาํ เลียงนํา้ ไปยงั ลาํ ต้นและใบ ช่วยลดอุณหภมู ทิ ่ใี บ ทาํ ให้บรรยากาศเกดิ ความชุ่มชืน้

บรรณานกุ รมปรฎา ซสู ้ัน.การคายน้ําของพืช.สบื คนเมอื่ 18 เมษายน 2558,จาก https://sites.google.com /site/vascularsystemoftheplant/7-kar-khay-na-khxng-phuch.ปรฎา ซสู ้นั .ลกั ษณะของปากใบและการทาํ งานของปากใบ.สืบคน เม่อื 18 เมษายน 2558,จาก https://sites.google.com/site/satwmikartxbsnxng/satw-mi-kar-txb-snxng/satw- mi-kar-txb-snxng-tx-xunhphumi.สถาบันพฒั นาคณุ ภาพวชิ าการ (พว.) แผนการจัดการเรียนรู วิทยาศาสตร ป.4 บรษิ ัท พัฒนาคณุ ภาพวชิ าการ (พว.) จํากัด .กรุงเทพมหานคร.สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ.(2554). หนงั สอื เรียน รายวิชาพนื้ ฐาน วิทยาศาสตร ชนั้ ประถมศึกษาปท่ี 4 .องคการคา ครุ ุสภา กรุงเทพมหานครเอกรนิ ทร สีม่ หาศาล และคณะ.สื่อการเรียนรู รายวชิ าพนื้ ฐาน ชดุ แมบทมาตรฐาน Smart O-NET วทิ ยาศาสตร ป.4 .อักษรเจริญทัศน กรุงเทพมหานคร.