การเข้าใจปัญหาหรือมองเห็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรม

Design Thinking คือ กระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนานวัตกรรม โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง

ในยุคที่ธุรกิจมีการแข่งขันสูงเช่นปัจจุบันนั้น ส่งผลให้ Design Thinking เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาสินค้า,บริการ หรือธุรกิจ ด้วยเหตุผลดังนี้ เราจึงจำเป็นต้องเข้าใจผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นในกระบวนการ Design Thinking การเข้าใจผู้ใช้งานไม่ใช่แค่เพียงการมองเห็นหรือรับรู้เท่านั้น หากแต่จำเป็นต้องเข้าใจถึงสาเหตุว่า “ทำไมผู้ใช้งานถึงเลือกทำเช่นนั้น ? หรือแท้จริงแล้วเขาต้องการอะไร?

การใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา ในทุกปัญหาไม่ได้มีวิธีแก้แบบเดียว กระบวนการ Design Thinking ให้คุณค่ากับความคิดและส่งเสริมจินตนาการในการแก้ปัญหา ทำให้ผู้ออกแบบเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างบริการหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ให้ผลลัพธ์ที่ ก้าวหน้ากว่าเดิม

การทดลองทำเพื่อเรียนรู้และพัฒนาอย่างรวดเร็ว ความคิดจะเป็นจริงไม่ได้เลย หากเราไม่ลงมือทำ กระบวนการ Design Thinking สนับสนุนให้ผู้ออกแบบลงมือ ทดสอบความเป็นไปได้ ด้วยการลงมือทำต้นแบบเพื่อรับผลตอบรับจากผู้ใช้งาน และนำมาปรับใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ การสร้าง Prototype ทำให้เราเรียนรู้และพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้เร็วและไม่ต้องลงทุนสูง

จะเห็นได้ว่า Design Thinking เป็นการพัฒนานวัตกรรมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เนื่องจากกระบวนการ Design Thinking สนับสนุนให้เราสามารถเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง และเปิดโอกาสให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบสินค้าและบริการในแบบที่ตอบสนองความ ต้องการของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง

What is Design Thinking?

Design Thinking is a strategic thinking process which uses a human centered approach for problem solving and innovation development. In today’s highly competitive business environment, Design Thinking plays a key role in transforming products, services, and businesses for the following reasons.

  1. It focuses on empathy — Successful innovation is hardly created if we do not truly understand user needs. Design Thinking allows you to gain an empathetic understanding of users. It is not only seeing or recognizing their behavior but more about understanding their needs and motivation.
  2. It uses creativity in problem solving — Design Thinking works on the basis that there are multiple solutions for a single problem. The process considers values, ideas, and creativities and encourages us to use imagination to generate solutions. As a result, innovation creators find innovative problem-solving solutions and disruptive innovations through using this process.
  3. It quickly brings ideas to life through testing and learning — We cannot see the practicality of ideas until we implement it in real life. Design Thinking encourages creators to collate feedback from users by prototyping and testing their ideas at an early stage. The results are then used to redefine launched solutions.

The simple but powerful process of Design Thinking therefore not only allows us to understand problems deeply but also provides us with opportunities to use our imagination to develop innovations that fulfill user needs.

Written by : Patamawadee Mcgarr, Design Thinking Specialist

Innovation มีรากศัพท์มาจากคำว่า innovare ในภาษาลาติน ซึ่งหมายความว่าทำสิ่งใหม่ขึ้นมา สำหรับภาษาไทย ที่เราคุ้นเคยกันก็คือ นวัตกรรม นั่นเอง

ทำไม บริษัทจำเป็นต้องมี Innovation หรือ นวัตกรรม?

“จำเป็นต้องมี เพื่อการเติบโตขององค์กร ลำพังสินค้าเดิมๆ บริการแบบเดิมๆ คงจะไม่พอ การมีนวัตกรรม ทำให้เราสามารถพัฒนาสินค้าใหม่ หรือ บริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าของเราได้มากยิ่งขึ้น”

“ธุรกิจของเรามีคู่แข่งมากมายทั้งในและต่างประเทศ การที่เรามีนวัตกรรม ก็เพื่อทำให้เราสามารถคงเอาไว้ถึงความได้เปรียบในการแข่งขัน”

“ลำพังธุรกิจเดิมๆ อาจจะไม่สามารถนำพาบริษัทไปถึงเป้าหมายได้ และ ลูกค้าก็มีพฤติกรรมการใช้งาน ที่เปลี่ยนแปลงไป เราจึงจำเป็นต้องอาศัยนวัตกรรม ในการสร้างสรรค์สินค้า หรือ บริการใหม่ๆ กับตลาดใหม่ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ และ กำไรให้กับบริษัท”

“เป้าหมายของบริษัท คือการเติบโตในเรื่องของกำไร การที่จะทำกำไรให้เพิ่มขึ้นทุกปี โดยอาศัยการลดต้นทุน หรือ ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานหรือการผลิต มันไม่มีทางตอบโจทย์เป้าหมายระยะยาวขององค์กรแน่ๆ ดังนั้นการมีนวัตกรรม จะเป็นการช่วยให้เราสร้างรายได้ และกำไร จากโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต”

หลากหลายความคิดเห็น ที่ได้จากผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นไปในทิศทางคล้ายๆ กัน ในเรื่องที่ว่า “บริษัทจำเป็นต้องมีนวัตกรรมไหม?”

แต่มีอีกเหตุผลนึง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่สุด ที่ทำให้บริษัทจำเป็นต้องมีนวัตกรรม นั่นก็คือ “เพื่อความอยู่รอด”

เพราะความอยู่รอดของบริษัทเป็นเรื่องสำคัญที่สุด โดยเฉพาะยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคที่อายุของบริษัทสั้นลงเรื่อยๆ เราจึงได้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่หลายๆ บริษัท ล้มหายตายจากไป ด้วยสาเหตุที่บริษัทเหล่านั้นไม่มีนวัตกรรมที่ดีพอ ที่จะสามารถนำพาบริษัทเอาชนะการเปลี่ยนแปลงได้

ดังนั้นการจะทำธุรกิจในแบบเดิมๆ ได้หมดยุคไปเรียบร้อยแล้ว

ถ้าอยากจะทำธุรกิจให้รุ่ง และ ให้รอด ผู้ประกอบการ รวมไปถึงตัวพนักงาน จะต้องใช้นวัตกรรม เป็นตัวนำ

แล้วองค์กร จะต้องมี นวัตกรรม แบบไหนดี?

ในเรื่องของนวัตกรรม ยังมีผู้ประกอบการหลายคนยังเข้าใจในเรื่องนี้คลาดเคลื่อนในหลายๆ ประเด็น บางคนเชื่อว่า การมี หรือ การสร้างนวัตกรรม เป็นเรื่องยาก เพราะตนเองไม่มีไอเดีย ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจริงๆ แล้วความคิดแบบนั้นเป็นการเข้าใจผิด เพราะเรื่องเหล่านี้มันสร้างกันได้

ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจในเรื่องกระบวนการ สร้างนวัตกรรม กันซะใหม่ ขอยกตัวอย่าง Invention Cycle ของ Tina Seeling เป็นศาสตราจารย์ จาก Stanford University และ เป็นผู้แต่งหนังสือดังๆ หลายเล่ม เช่น Creativity Rules, Insight Out, inGenious และ What I Wish I Knew When I Was 20

การเข้าใจปัญหาหรือมองเห็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรม

โมเดล Invention Cycle นี้มาจาก หนังสือ Creativity Rules เป็น Framework แบบง่ายๆ ที่แสดง ให้เห็นถึงกระบวนการทั้งหมดในเรื่องของ Innovation โดยมีจุดเริ่มต้นจากไอเดียจนไปถึงการสร้างสรรค์ชิ้นงานออกมาจริงๆ Invention Cycle ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนดังต่อไปนี้

Imagination: “จินตนาการ”

ในที่นี้คือจุดเริ่มต้นของการสร้างนวัตกรรม หมายถึงการจินตนาการถึงส่ิงที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง หรือ สิ่งที่ยังไม่เคยมีมาก่อน

Creativity: “ความคิดสร้างสรรค์”

เป็นขั้นตอนที่นำจินตนาการของเรา มาสร้างเป็นไอเดียสร้างสรรค์ (Creative Idea) เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า หรือ กลุ่มเป้าหมาย ในขั้นตอนนี้ จะทำให้เราได้ไอเดียใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเป็นไอเดียที่ใหม่สำหรับเรา แต่อาจจะมีในที่อื่นมาแล้วก็ได้

สิ่งสำคัญที่เราต้องทำความเข้าใจในขั้นตอนนี้ก็คือ ไอเดียที่ดีจะต้องมาจากหลายๆ ไอเดีย ดังนั้นถ้าอยากได้ไอเดียดีๆ หรือ ไอเดียที่ยอดเยี่ยม ก็ต้องช่วยระดมความคิด ระดมสมองร่วมกับทีมงาน เพื่อระเบิดไอเดียต่างๆ ออกมาให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ไอเดียที่เจ๋งที่สุดนำไปขยายผลในขั้นตอนต่อไป

Innovation: “นวัตกรรม”

เป็นขั้นตอนที่นำความคิดสร้างสรรค์นำไปสู่วิธีการแก้ปัญหาหรือคำตอบที่เฉพาะเจาะจงกับเรื่องนั้นๆ สิ่งที่ต้องระมัดระวังในขั้นตอนนี้ก็คือ การวางกรอบปัญหาที่ผิด หรือ การตั้งคำถามที่ผิด ซึ่งจะทำให้ได้วิธีการ หรือ ได้คำตอบที่ผิดทางไปเลยก็ได้

ดังนั้นคุณภาพของการตั้งคำถามจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ควรด่วนสรุปวิธีการหรือหาคำตอบจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ขอให้มองหาสิ่งใหม่จากประสบการณ์ใหม่ๆ จะทำให้เราได้ในตัวเลือกและวิธีการที่ดีที่สุด

Entrepreneurship: “ความเป็นผู้ประกอบการ”

ในที่นี้หมายถึงต้องมีแนวคิดและทัศคติแบบเป็นผู้ประกอบการ กล่าวคือ ในกระบวนการของ การสร้างนวัตกรรม เป็นการทำงานเป็นทีม การอาศัยแค่ทีมเวิร์คมันคงไม่พอ ทัศนคติของผู้นำในทีมจะต้องมีความสามารถในการสร้างแรงจูงใจ กระตุ้นให้ทีมงานร่วมมือ ช่วยเหลือกัน และ ผลักดันให้โครงการนวัตกรรมเกิดขึ้นได้ ทำให้เกิดสร้างสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่มาตอบโจทย์ทั้งตลาด และทั้งผู้บริโภคที่องค์การต้องการ

นอกจากนี้ผู้นำที่มี Entrepreneurship mindset ยังช่วยกระตุ้นให้ทีมงานมีความคิด และมีจินตนาการเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ต่อไปได้

“โมเดล Invention Cycle จึงเป็นโมเดลที่ไม่รู้จบ”

ถือเป็นโมเดลที่อธิบายวงจรของการสร้าง นวัตกรรมได้ดี และเพื่อให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างกรณีศึกษา คือ Khan Academy

Khan Academy เป็น Education Platform ที่ก่อตั้งขึ้นโดย Sal Khan มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการการพัฒนาการศึกษาให้ดียิ่งขึ้นด้วยการให้การศึกษาในระดับชั้นนำสำหรับทุกคนไม่ว่าที่ไหนโดยไม่คิดมูลค่าใดๆทั้งสิ้น

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ คือ Sal Khan ในอดีตเขาต้องทำหน้าที่เป็นติวเตอร์ คอยสอนการบ้านและแก้ปัญหาเรื่องวิชาเลขให้กับญาติของเขาที่อยู่ห่างไกลกัน สอนกันไปสอนกันมา ก็จนมาวันหนึ่ง เขารู้สึกว่าคงมีเด็กคล้ายๆ กับญาติของเขาอีกหลายร้อยหรือหลายพันคนแน่ๆ ที่มีปัญหาเรื่องการบ้านเลข

Sal Khan ก็เลยมองเห็นโอกาส โอกาสที่จะช่วยเหลือเด็กจำนวนมากที่มีปัญหาแบบเดียวกันได้ ในขั้นตอนนี้ คือขั้นตอน Imagination กล่าวคือ Sal Khan หลังจากที่เขาได้ลงไปคลุกคลีกับสถานการณ์ ตัวเขาก็เกิดจินตนาการขึ้นว่าอยากแก้ปัญหา บวกกับแรงผลักดันที่อยากจะช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาเลขจำนวนมาก

ส่งผลทำให้หลังจากนั้น Sal Khan ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาอยากทำมันสามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้ เขาเริ่มคิดค้นหาไอเดียใหม่ๆ และทำการทดลองควบคู่กันไปด้วยในการทำสื่อการเรียนการสอนผ่านโลกออนไลน์ ในขั้นตอนนี้ คือ ขั้นตอน Creativity ซึ่งจะเห็นได้ว่า ด้วยความมี Passion ของ Sal Khan ผลักดันให้เขาสามารถทำในสิ่งที่เขาต้องการต่อไปได้

หลายปีต่อมา Sal Khan ก็เข้าใจปัญหาของระบบการศึกษาเดิมๆ อย่างถ่องแท้ และในที่สุดเขาก็ค้นพบไอเดียใหม่ในแบบที่ไม่มีใครเคยคิดหรือเคยทำมาก่อน ในขั้นตอนนี้คือ ขั้นตอน Innovation ซึ่ง Sal Khan เกิดไอเดียใหม่ ที่ได้จากการมองเห็นปัญหาที่แท้จริงที่เกิดจากมุมมองใหม่

จากนั้น Sal Khan ก็สร้าง Khan Academy ออกมาได้อย่างประสบความสำเร็จ ผ่านการทำงานหนัก ด้วยความเชื่อมั่นและดึงดันในสิ่งที่เขาทำ นอกจากนี้เขายังสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น ทำให้ทุกคนพร้อมใจที่จะให้การสนับสนุนโครงการ Khan Academy ของเขา ขั้นตอนนี้ก็คือ Entrepreneurship ซึ่ง Sal Khan ได้แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของผู้นำในยุค Disruptive World ได้อย่างชัดเจน

เรื่องของ Khan Academy คงเป็นตัวอย่างที่ดี ที่ทำให้เราเข้าใจเรื่อง Invention Cycle มากขึ้น

บทสรุป

ผู้นำในยุคนี้ ยุคที่เป็น Disruptive World ต้องอย่าลืมว่า คุณไม่สามารถทำเรื่อง Innovation ด้วยตัวคนเดียวได้ หรือ ด้วยบุคคลากรเพียงไม่กี่คนได้ องค์การที่ต้องการความสำเร็จ ด้วยการใช้ Innovation เป็นตัวนำหรือตัวผลักดันองค์กร

ผู้นำจะเป็นต้องมี Entrepreneurship Mindset เหมือนกับ Sal Khan ด้วยเพราะ Innovation ไม่ใช่งานของใครคนใดคนนึง มันเป็นงาน และ เป็นเป้าหมายที่ทุกคนในองค์กรต้องช่วยกันสนับสนุน ผู้นำจึงมีบทบาทสำคัญมากในการทำหน้าที่นี้

นอกจากนี้ พนักงานเอง จำเป็นที่จะต้องเข้าใจบริบทของความสำคัญในการมีนวัตกรรมเช่นเดียวกัน เพราะเราอยู่ในยุคที่ความแน่นอนไม่มีจริง หากเรายังคงยึดติดกับกรอบความคิดและการทำงานแบบเดิมๆ นั่นหมายความว่าเรากำลังพาตัวเองเดินทางเข้าสู่จุดเสี่ยง หรือ ทางตันของอาชีพในอนาคตได้