��÷������ҹ����������ͧ�����ҹ��չ�鹨��繵�ͧ����»��ʺ��ó������Ф������ ����ǡѺ���Ѿ����������� �������ҹ����ͧ����֧����ö����Ҥ����������Ҷ����§����ѹ��Ѻ����������� ���������������������ͧ�����ҹ�����觢�� ����������ʺ��ó���������Ф��Ѿ��������ö�����¡����ҹ ��ҹء�� ���ҹء�� ��������Ѿ���ҧ � �����ҹ����ҡ � �����������ʺ��ó���������ٹ������������ʹ���� - ขั้นตอนการเคลื่อนไหวจากระบบประสาทมาสู่ปาก หรือการอ่านออกเสียง ความเร็วจะเท่ากับความสามารถในการเปล่งเสียงออกมาแต่ละคำ การอ่านลักษณะนี้มักเป็นของเด็กเล็กที่ครูให้อ่านออกเสียงเพื่อพัฒนาการอ่าน - ขั้นตอนการได้ยินเสียงคำที่อ่านในใจ เป็นลักษณะการอ่านช้าๆ ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร - ขั้นเข้าใจทันทีที่เห็นข้อความ เป็นลักษณะการอ่านที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นการอ่านที่เข้าใจเรื่องอย่างชัดเจนในทันที่อ่าน ซึ่งควรฝึกทักษะการอ่านในลักษณะนี้ ประโยชน์ของการอ่านคือ 1. เป็นการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมที่ง่าย และตรงตามความต้องการ เนื่องจากหนังสือจะแยกประเภท วิชา หมวดหมู่ไว้เรียบร้อยอยู่แล้ว และการอ่านจะช่วยให้เรารอบรู้ทันเหตุการณ์และพัฒนาด้านวิชาการ นักพูดและนักเขียนที่ประสบความสำเร็จมักเป็นผู้ที่มีนิสัยรักการอ่าน และเป็นผู้แสวงหาความรู้อยู่เสมอ 2. เป็นการช่วยส่งเสริมความคิด ช่วยให้ได้รับรู้นานาทัศนะในสาขาวิชาต่างๆ จากทัศนะของผู้เขียนหลายๆคนในประเด็นเดียวกัน การเรียนรู้ดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานสำคัญช่วยให้เกิดพัฒนาการด้านความคิดของตัวผู้อ่านเอง สามารถคิดวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล และมีข้อสนับสนุนจากการอ่านเพียงพอ เป็นที่ยอมรับจากผู้อื่น อ่าน คือ การรับรู้ความหมายจากถ้อยคำที่ตีพิมพ์อยู่ในสิ่งพิมพ์หรือในหนังสือ เป็นการรับรู้ว่าผู้เขียนคิดอะไรและพูดอะไร โดยเริ่มต้นทำความเข้าใจถ้อยคำแต่ละคำเข้าใจวลี เข้าใจประโยค ซึ่งรวมอยู่ในย่อหน้า เข้าใจแต่ละย่อหน้า ซึ่งรวมเป็นเรื่องราวเดียวกัน การอ่านเป็นการบริโภคคำที่ถูกเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์ การอ่านโดยหลักวิทยาศาสตร์ เริ่มจากการที่แสงตกกระทบที่สื่อ และสะท้อนจากตัวหนังสือผ่านทางเลนส์นัยน์ตา และประสาทตาเข้าสู่เซลล์สมองไปเป็นความคิด (Idea) ความรับรู้ (Perception) และก่อให้เกิดความจำ (Memory) ทั้งความจำระยะสั้น และความจำระยะยาว กระบวนการอ่าน มี 4 ขั้นตอน คือ ขั้นแรก การอ่านออก อ่านได้ หรืออ่านออกเสียงได้ถูกต้อง ขั้นที่สองการอ่านแล้วเข้าใจ ความหมายของคำ วลี ประโยค สรุปความได้ ขั้นที่สามการอ่านแล้วรู้จักใช้ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์และออกความเห็นในทางที่ขัดแย้งหรือเห็นด้วยกับผู้เขียนอย่างมีเหตุผล และขั้นสุดท้ายคือการอ่านเพื่อนำไปใช้ ประยุกต์ใช้ในเชิงสร้างสรรค์ ดังนั้นผู้ที่อ่านได้และอ่านเป็นจะต้องใช้กระบวนการทั้งหมดในการอ่านที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการถ่ายทอดความหมายจากตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และจากการคิดที่ได้จากการอ่านผสมผสานกับประสบการณ์เดิม และสามารถความคิดนั้นไปใช้ประโยชน์ต่อไป คุณค่าของการอ่าน การเตรียมพร้อมเพื่อการอ่าน 1. การจัดสถานที่และสิ่งแวดล้อม สถานที่ที่เหมาะกับการอ่านควรมีความเงียบสงบ ตัดสิ่งต่างๆ ที่รบกวนสมาธิออกไป มีอุณหภูมิและแสงสว่างที่เหมาะสม มีโต๊ะที่มีความสูงพอเหมาะและเก้าอี้ที่นั่งสบายไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป 2. การจัดท่าของการอ่าน ตำแหน่งของหนังสือควรอยู่ห่างประมาณ 35-45 เซนติเมตร และหน้าหนังสือจะต้องตรงอยู่กลางสายตา ควรนั่งให้หลังตรงไม่ควรนอนอ่าน ทั้งนี้เพื่อให้สมองได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างเต็มที่ ก็จะทำให้เกิดการตื่นตัวต่อการรับรู้ จดจำ และอ่านได้นาน 3. การจัดอุปกรณ์ช่วยในการอ่าน การอ่านอาจมีอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น กระดาษสำหรับบันทึกดินสอ ปากกา ดินสอสี 4. การจัดเวลาที่เหมาะสม สำหรับนักศึกษาที่ต้องมีการทบทวนบทเรียนควรอ่านหนังสือในช่วงที่เหมาะสมคือช่วงที่ที่ไม่ดึกมาก คือ ตั้งแต่ 20.00 - 23.00 น. เนื่องจากร่างกายยังไม่อ่อนล้าเกินไปนัก หรืออ่านในตอนเช้า 5.00-6.30 น. หลังจากที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทั้งนี้ในการอ่านแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 50 นาทีและให้เปลี่ยนแปลงอิริยาบถสัก 10 นาทีก่อนลงมืออ่านต่อไป 5. การเตรียมตนเอง ได้แก่ การทำจิตใจให้แจ่มใส มีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจ และมีสมาธิในการอ่าน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ มีสุขภาพสายตาที่ดี ตัดปัญหารบกวนจิตใจให้หมด การแบ่งเวลาให้ถูกต้อง และมีระเบียบวินัยในชีวิตโดยให้เวลาแต่ละวันฝึกอ่านหนังสือ และพยายามฝึกทักษะใหม่ๆ ในการอ่าน เช่น ทักษะการอ่านเร็วอย่างเข้าใจ เป็นต้น การเลือกสรรวัสดุการอ่าน 1. การอ่านเพื่อความรู้ เช่น ตำราวิชาการ 2. การอ่านเพื่อความบันเทิงใจ 3. การอ่านเพื่อเป็นกำลังใจ เสริมสร้างปัญญา เช่น หนังสือจิตวิทยา หนังสือธรรมะ 4. การอ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เมื่อเลือกวัสดุการอ่านหรือหนังสือได้แล้ว ก็จะต้องกำหนดว่าต้องการอะไรข้อมูลในลักษณะใดจากหนังสือเล่มนั้น ขอบเขตของข้อมูลในลักษณะกว้างหรือแคบแต่ลึกซึ้ง ทั้งนี้เพื่อกำหนดรูปแบบการอ่านเพื่อความต้องการต่อไป การกำหนดจุดมุ่งหมายการอ่าน
1. อ่านเพื่อความรู้พื้นฐาน เป็นการอ่านเพื่อรู้เรื่องโดยสังเขป หรือเพื่อลักษณะของหนังสือ เช่น การอ่านเพื่อ รวบรวมสิ่งพิมพ์ที่จะใช้ในการค้นคว้าและเขียนรายงาน 2. อ่านเพื่อรวบรวมข้อมูล เป็นการอ่านให้เข้าในเนื้อหาสาระ และจัดลำดับความคิดได้ เพื่อสามารถรวบรวม และบันทึกข้อมูลสำหรับเขียนรายงาน 3. อ่านเพื่อหาแนวคิด หมายถึง การอ่านเพื่อรู้ว่าสิ่งที่อ่านนั้นมีแนวคิดหรือสาระสำคัญอย่างไร จะนำไปใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ ในลักษณะใด เช่น การอ่านบทความ และสารคดีเพื่อหาหัวข้อสำหรับเขียนโครงร่างรายงาน 4. อ่านเพื่อวิเคราะห์หรือวิจารณ์ คือการอ่านเพื่อให้เข้าใจลึกซึ้งพอที่จะนำความรู้ไปใช้ หรือแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ เรื่องที่อ่านได้ เช่น การอ่านบทความที่แสดงความคิดเห็น การอ่านตารางและรายงาน วิธีการอ่านที่เหมาะสม 1. การอ่านสำรวจ คือ การอ่านข้อเขียนอย่างรวดเร็ว เพื่อรู้ลักษณะโครงสร้างของข้อเขียน สำนวนภาษา เนื้อเรื่องโดยสังเขป เป็นวิธีอ่านที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเลือกสรรสิ่งพิมพ์ สำหรับใช้ประกอบการค้นคว้า หรือการหาแนวเรื่องสำหรับเขียนรายงาน และรวบรวมบรรณานุกรมในหัวข้อที่เขียนรายงาน 2. การอ่านข้าม เป็นวิธีอ่านอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าใจเนื้อหาของข้อเขียน โดยเลือกอ่านข้อความบางตอน เช่น การอ่านคำนำ สาระสังเขป บทสรุป และการอ่านเนื้อหาเฉพาะตอนที่ตรงกับความต้องการ เป็นต้น 3. การอ่านผ่าน เป็นการอ่านแบบกวาดสายตา (Scanning Reading) โดยผู้อ่านจะทำการกวาดสายตาอย่างรวดเร็วไปยังสิ่งที่เป็นเป้าหมายในข้อเขียน เช่น คำสำคัญ ตัวอักษร หรือ สัญลักษณ์ แล้วอ่านรายละเอียดเฉพาะที่เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการ เช่น การอ่านเพื่อค้นหาชื่อในพจนานุกรม และการอ่านแผนที่ 4. การอ่านจับประเด็น หมายถึง การอ่านเรื่องหรือข้อเขียนโดยทำความเข้าใจสาระสำคัญในขณะที่อ่าน มักใช้ในการอ่านข้อเขียนที่ไม่ยาวนัก เช่น บทความ การอ่านเร็วๆ หลายครั้งจะช่วยให้จับประเด็นได้ โดยการอ่านมีเทคนิคคือ ต้องสังเกตคำสำคัญ ประโยคสำคัญที่มีคำสำคัญ และทำการย่อสรุปบันทึกประโยคสำคัญไว้ เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป 5. การอ่านสรุปความ หมายถึง การอ่านโดยสามารถตีความหมายสิ่งที่อ่านได้ถูกต้องชัดเจนเข้าใจเรื่องอย่างดี สามารถแยกส่วนที่สำคัญหรือไม่สำคัญออกจากกัน รู้ว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง หรือข้อคิดเห็น ส่วนใดเป็นความคิดหลัก ความคิดรอง การอ่านสรุป ความมีสองลักษณะคือ การสรุปแต่ละย่อหน้าหรือแต่ละตอน และสรุปจากทั้งเรื่อง หรือทั้งบท การอ่านสรุปความควรอย่างอย่างคร่าว ๆ ครั้งหนึ่งพอให้รู้เรื่อง แล้วอ่านละเอียดอีกครั้งเพื่อเข้าใจเรื่องอย่างดี หลักจากนั้นตั้งคำถามตนเองในเรื่องที่อ่านว่าเกี่ยวกับอะไร มีเรื่องราวอย่างไร แล้วเรียบเรียงเนื้อหาเป็นสำนวนภาษาของผู้สรุป 6.การอ่านวิเคราะห์ การอ่านเพื่อค้นคว้าและเขียนรายงานโดยทั่วไปต้องมีการวิเคราะห์ความหมายของข้อความ ทั้งนี้เพราะผู้เขียนอาจใช้คำและสำนวนภาษาในลักษณะต่าง ๆ อาจเป็นภาษาโดยตรงมีความชัดเจนเข้าใจง่าย ภาษาโดยนัยที่ต้องทำความเข้าใจ และภาษาที่มีความหมายตามอารมณ์และความรู้สึกของผู้เขียน ผู้อ่านที่มีความรู้เรื่องคำศัพท์และสำนวนภาษาดี มีประสบการณ์ ในการ อ่านมากและมีสมาธิในการอ่านดี ย่อมสามารถวิเคราะห์ได้ตรงความหมายที่ผู้เขียนต้องการสื่อ และสามารถเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ เทคนิคการอ่าน 1.) เทคนิคการอ่านเร็ว 1.1) การอ่านคร่าวๆ (Skimming) เป็นการเคลื่อนสายตาไปบนหน้าหนังสือเร็วๆเพื่อจับประเด็นสำคัญของเรื่องแต่ละเรื่องแต่ละย่อหน้า โดยปฏิบัติดังนี้ - อ่านชื่อเรื่อง - อ่านหัวข้อเรื่องแต่ละหน้าหรือแตะละตอน - อานย่อหน้าและอ่านประโยคแรกและประโยคสุดท้าย - กวาดสายตาดูประโยคใจความหลักหรือใจความสำคัญของย่อหน้าซึ่งจะปรากฏอยู่ต้นหน้า กลางย่อหน้า หรือท้ายย่อหน้า 1.2) การอ่านเฉพาะประเด็น (Scanning) การอ่านผ่านๆ เป็นการอ่านช่วยให้อ่านได้เร็วไม่ต้ออ่านทุกตัวอักษรเป็นการอ่านเพื่อหาคำ ข้อความหรือประโยคสำคัญเพื่อหาข้อมูลหรือคำตอบเฉพาะ1.3) การอ่านสำรวจ (Pre-Reading) เพื่อหาข้อสรุปที่มีความยาวมีหลายย่อหน้า เป็นหนังสือที่ต้องการหาความรู้ วิธีการอ่านจะอ่านย่อหน้าแรก และย่อหน้าสุดท้าย เพื่อหาข้อสรุปและอ่านประโยคแรก ประโยคกลางย่อหน้า และประโยคของย่อหน้าสุดท้าย 2.) เทคนิคการอ่านวิเคราะห์รูปแบบย่อหน้า 2.1) ประโยคใจความสำคัญอยู่ต้นย่อหน้า มักจะเป็นประโยคนำบอกเรื่องราวแล้วจึงกล่าวรายละเอียด เป็นการอธิบาย 2.2.) ประโยคใจความสำคัญอยู่กลางย่อหน้า ย่อหน้าแบบนี้จะขึ้นต้นด้วยข้อความที่อารัมภบทหรือกล่าวถึงรายละเอียดก่อนแล้วจึงกล่าวถึงประโยคใจความสำคัญ ส่วนประโยคท้ายๆจะกล่าวสนับสนุนประโยคใจความสำคัญ 2.3) ประโยคใจความสำคัญอยู่ท้ายย่อหน้า โดยประโยคต้นๆ เป็นการอธิบายกล่าวถึงรายละเอียดของเนื้อหาประโยคสุดท้ายจะเป็นประโยคสรุปความคิด ผู้อ่านจะสังเกตได้ว่าคำที่ใช้นำหน้าประโยคสรุปความ มักจะมีคำว่า จึงสรุปได้ว่า ด้วยเหตุนี้ดังนี้ ในที่สุดด้วยเหตุผลดังว่า เป็นต้น 2.4) ประโยคใจความสำคัญอยู่ต้นและท้ายย่อหน้า ส่วนที่อยู่เป็นการนำประเด็น ส่วนที่อยู่ท้ายเป็นการปิดประเด็น ตรงกลางเป็นกลางขยายความ วิธีการอ่าน การอ่านสารแต่ละประเภทมีเนื้อหาแตกต่างต่างกันดังนั้น วิธีการอ่านจึงต้องแตกต่างกัน ดังนี้ 1.) วิธีอ่านเพื่อค้นคว้า ผู้อ่านมุ่งทำความเข้าใจเนื้อหาเป็นสำคัญมีวิธีการอ่านแบบ SQ3R เป็นวิธีการอ่านที่เหมาะสมกับเรื่องเชิงบรรยาย ดังนี้ S = Surver เป็นการสำรวจข้อมูลก่อนการอ่าน เช่น สารบัญ หัวข้อ คำนำ คำสรุป ตาราง กราฟ ภาพตัวเลข แผนที่ ประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแต่ละตอน Q = Question ตั้งคำถาม ใคร ที่ไหน ทำอะไร เมื่อไร ทำไม ทำอย่างไร เป็นคำถามที่จะใช้หาคำตอบได้ R= Recite การท่องจำหรือการทบทวนความจำ พยายามตอบคำถามที่ตั้งไว้เพื่อสรุปทบทวนความจำเพื่อทำความเข้าใจ ควรทำบันทึกย่อด้วยคำพูดของตัวเองเป็นการสรุปเรื่องที่อ่าน R= Review การทบทวน ขณะอ่านทบทวนต้องการตามลำดับของเรื่องตามลักษณะคำถามที่ตั้งไว้ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องที่อ่านอีกครั้งหาความสัมพันธ์ของเรื่องที่อ่านเพื่อเชื่อมโยงความคิดหรือเนื้อหาสาระของเรื่องที่อ่านให้เป็นรูปธรรม 2.) วิธีอ่านเพื่อความบันเทิงเป็นการอ่านสารประเภทบันเทิงคดีอ่านเพื่อความบันเทิงมุ่งเพื่อให้เข้าใจเนื้อเรื่องและเจตนาของผู้แต่งได้เป็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่การตีความว่าผู้อ่านจะสามารถตีความได้ตามเจตนาของผู้แต่งมากน้อยเพียงได 3.) วิธีการอ่านเพื่อวิเคราะห์วิจารณ์ ใช้ได้ทั้งกับเนื้อหาประเภทสารคดีและบันเทิงคดีการอ่านวิเคราะห์มีรูปแบบการอ่าน ดังนี้ - สำรวจจบอ่านมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องใด - ตั้งคำถามเพื่อค้นหาจุดประสงค์ของผู้แต่ง - อ่านเพื่อให้เข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมด - วิเคราะห์ประกอบของเรื่อง ความสมจริงน้ำเสียงของผู้ประพันธ์ที่แฝงเร้นไว้ในบทประพันธ์รวมทั้งภาษาที่ใช้ในการประพันธ์ - ประเมินค่าบทที่อ่านว่ามีคุณค่าในด้านใดมากน้อย การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ การอ่านเพื่อจับใจความมี 2 แนว คือการอ่านเพื่อจับใจความรวม และแนวการอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ โดยมีวิธีอ่านดังนี้ 1.) การอ่านเพื่อจับใจความรวมการทำความเข้าใจเนื้อหาส่วนรวมของเรื่องหรือหนังสือเป็นหัวใจสำคัญของการอ่านเพราะถ้าผู้อ่านไม่สามารถจับใจความส่วนรวม ก็จะมองไม่เห็นความสัมพันธ์ของรายละเอียดต่างๆ และอาจเป็นผลให้ไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายสำคัญของหนังสือนั้นๆ ได้ วิธีจับใจความรวมทำได้โดยการพลิกดูและกวาดสายตาผ่านหัวข้อต่างๆ ทั้งหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อยอย่างรวดเร็วและในเวลาเดียวกันก็พยายามจัดเนื้อหาของหัวข้อนั้นๆ เรียงให้เป็นลำดับในสมองเพื่อให้ปรากฏเป็นภาพร่างคร่าวๆว่าแต่ละหัวข้อมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และมีการดำเนินเรื่องไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยวิธีการเชื่อมโยงเนื้อหาตลอดจนแนวความคิดและข้อมูลต่างๆอย่างไรบ้าง สำหรับผู้อ่านที่ยังไม่ชำนาญการอ่านแบบบี้ควรใช้สมุดหรือเศษกระดาษจด แต่เฉพาะหัวข้อต่างๆอย่างย่อๆ เพื่อให้เห็นเด่นชัดในกระดาษแผ่นเดียวกัน จะเป็นผลดีในแง่ที่ทำมาลืมหรือละทิ้งความสำคัญตอนในตอนหนึ่ง 2.) การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ ผู้อ่าน จะต้องอ่านค่อนข้างละเอียดแทบทุกตัวอักษรแล้วสรุปใจความสำคัญไว้ในสมองหรือในสมุดอีกเล่มหนึ่งต่างหาก วิธีเก็บใจความสำคัญทำได้หลายวิธี เช่น ขีดเส้นใต้ ล้อมกรอบข้อความที่เห็นว่าสำคัญ กำหนดสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นความแตกต่างหรือ ทำบันทึกย่อ เป็นต้น สิ่งที่ผู้อ่านที่ดีพึงตระหนักก็คือ ใจความสำคัญมิได้มีความหมายจำกัดเพียงแค่เนื้อเรื่องที่สำคัญเท่านั้น ผู้อ่านอาจจะเก็บสาระสำคัญของหนังสือเล่มนั้นได้หลายแง่ เช่นเก็บเนื้อเรื่องที่สำคัญ เก็บความรู้หรือข้อมูลที่สำคัญหรือที่น่าสนใจ เก็บแนวความคิด หรือทัศนคติของผู้เขียนละเก็บจุดมุ่งหมายสำคัญของเรื่อง การเก็บใจความสำคัญแง่ต่างๆนี้ จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้แสดงความสำคัญเห็นเชิงวิจารณ์หรือในทางการต่อไป หรือข้อมูลที่น่าสนใจของผู้เขียนอาจจะทำให้ผู้อ่านสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าในเรื่องนั้นๆ เป็นพิเศษต่อไป การสรุปสารำสำคัญจากเรื่องที่อ่าน เมื่อผู้อ่านจับใจความจากเรื่องที่อ่านได้แล้ว ขั้นต่อไปจะต้องสรุปสาระสำคัญของเรื่อง ที่อ่านได้โดยการเขียนเล่าเรื่องให้ผู้อ่านได้ทราบอย่างสั้นๆ แต่ได้ใจความสำคัญครบถ้วน ตัวอย่างการอ่านสรุปสารพสำคัญ (ประทีป วาทิกทินกร. 2523:79-81) ปัญหาเรื่องแย่งราชสมบัติกันนี้ เป็นปัญหาทางการเมืองของกรุงอยุธยาในระยะท้ายๆ การแก่งแย่งกันนั้นทำให้ต้องรบราฆ่าฟันกัน ผู้มีความชำนาญในการปกครองและป้องกันประเทศต้องล้มตายกันไปครั้งละมากๆ จนกรุงศรีอยุธยาสิ้นคนดี ต้องกรุงไปในที่สุด |