หลักสูตรรายวิชากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เรื่อง ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสต์ร ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เจตคติ ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และโครงงานวิทยาศาสตร์ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เรื่อง เซลล พันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสารเพื่อชีวิต เรื่องละสมบัติของธาตุธาตุและกัมมันตภาพรังสี สมการเคมีและปฏิกิริยา เคมี โปรตีน คาร์ โบไฮเดรตและไขมัน ปิโตรเลียมและพอลิเมอร สารเคมีกับสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม แรงและพลังงานเพื่อชีวิต เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ พลังงานเสียง ดาราศาสตร์ เพื่อชีวิตเทคโนโลยีอวกาศ แบบทดสอบก่อนเรียนแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยที่ 1 ทักษะทางวิทยาศาสตร์ และโครงงานวิทยาศาสตร์หน่วยที่ 2 เซลล์ การถ่ายทอดทางพันธุกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพหน่วยที่ 3 ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมหน่วยที่ 4 ธาตุ สมบัติของธาตุ และปฏิกิริยาเคมีหน่วยที่ 5 ปิโตรเลียมและพอลิเมอร์ สารเคมีกับชีวิตและสิ่งแวดล้อมหน่วยที่ 6 แรงและการเคลื่อนที่หน่วยที่ 7 เทคโนโลยีอวกาศหน่วยที่ 8 อาชีพช่างไฟฟ้าสรุปเนื้อหาแบบทดสอบหลังเรียนติวเข้มข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์ พว31001ข้อสอบกลางภาคหนงั สือเรียนสาระความรู้พ้ืนฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ( พว 31001 ) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2554) หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ห้ามจาหน่าย หนงั สือเรียนเล่มน้ีจดั พิมพด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพื่อการศึกษาตลอดชีวติ สาหรับประชาชน ลิขสิทธ์ิ 2 หนงั สือเรียนสาระความรู้พ้นื ฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ( พว 31001 ) ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2554 ลิขสิทธ์ิเป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 3 4 สารบญั หน้า คานา 5 5 คาแนะนาการใช้หนังสือเรียน หนงั สือเรียนสาระความรู้พ้ืนฐาน รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย รหสั พว 31001 ในการศึกษาหนงั สือเรียนสาระความรู้พ้นื ฐาน รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ผเู้ รียนควรปฏิบตั ิดงั น้ี 6 โครงสร้างรายวชิ า (พว 31001) วทิ ยาศาสตร์ สาระสาคญั ทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เจตคติทางวิทยาสาสตร์ 2. ส่ิงมีชีวิตและสิ่ งแวดล้อม เร่ื อง เซลล์
พันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ 3. สารเพ่ือชีวิต เร่ือง ธาตุและสมบตั ิของธาตุ กมั มนั ตภาพรังสี สมการเคมีและปฏิกิริยาเคมี 4. แรงและพลงั งานเพอื่ ชีวติ เรื่อง แรงและการเคล่ือนท่ี พลงั งานเสียง ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั วทิ ยาศาสตร์ เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ หลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ การใช้ประโยชน์ และผลกระทบท่ีเกิดจากการใช้เทคโนโลยี 3. อธิบายเก่ียวกบั ปัญหาที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ มในระดบั ทอ้ งถิ่น 4.อธิบายเก่ียวกบั โครงสร้างอะตอมตารางธาตุ สมการและปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจาวนั 5.อธิบายเก่ียวกบั แรงและความสัมพนั ธ์ของแรงกบั การเคลื่อนท่ีในสนามโนม้ ถ่วง สนามแม่เหล็ก 6. อธิบายเกี่ยวกบั สมบตั ิ ประโยชนแ์ ละมลภาวะจากเสียง ประโยชน์และโทษของธาตุกมั มนั ตรังสี 7. ศึกษา คน้ ควา้ และอธิบายเกี่ยวกบั การใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆ บน 7 8. อธิบาย ออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏิบตั ิการเร่ืองไฟฟ้ าไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและปลอดภยั ขอบข่ายเนือ้ หา 8 บทท่ี 1 วิทยาศาสตร์เป็ นเร่ืองของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้ทักษะต่างๆ สารวจและ ในการดาเนินการหาคาตอบเร่ืองใดเรื่องหน่ึงนอกจากจะตอ้ งใชท้ กั ษะทางวทิ ยาศาสตร์แลว้ ในการ ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั เร่ืองท่ี 1 อธิบายธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ ขอบข่ายเนือ้ หา เร่ืองท่ี 1 ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ 9 เร่ืองท่ี 1 ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็ นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกบั ธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ช้กระบวนการสังเกต สารวจ ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย ธรรมชาติท่ีเกิดข้ึน สงสัยน้นั ๆ ตอ่ ตวั แปรท่ีตอ้ งการศึกษา และตวั แปรท่ีตอ้ งควบคุม กาหนด ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ประกอบด้วย 13 ทกั ษะ ดังนี้ 10 2.4 ทกั ษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ ( Defining Operationally ) 11 ทกั
ษะการจัดกระทาและส่ือความหมายข้อมูล ( Communication ) ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล( Inferring ) หมายถึง การเพ่ิมเติมความคิดเห็นให้กบั ทักษะการพยากรณ์ ( Predicting ) หมายถึงการคาดคะเนหาคาตอบล่วงหนา้ ก่อนการ ทักษะการต้ังสมมุติฐาน( Formulating Hypothesis ) หมายถึง การคิดหาค่าคาตอบ ทักษะการควบคุมตัวแปร ( Controlling Variables ) หมายถึงการควบคุมส่ิงอื่นๆ ตวั แปรแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ ทกั ษะการตีความและลงข้อสรุป ( Interpreting data ) ทักษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally )หมายถึง การกาหนด 12 และสามารถสังเกตและวดั ได้ เช่น “ การเจริญเติบโต ” หมายความวา่ อยา่ งไร ตอ้ งกาหนดนิยามให้ชดั เจน ทกั ษะการทดลอง ( Experimenting ) หมายถึง กระบวนการปฏิบตั ิการโดยใชท้ กั ษะต่างๆ 1. การออกแบบการทดลอง 13 5. มีความเพียรพยายาม 6. มีความละเอียดรอบคอบ 14 เรื่องท่ี 2 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การดาเนินการเรื่องใดเรื่องหน่ึงจะตอ้ งมีการกาหนดข้นั ตอน อยา่ งเป็ นลาดบั ต้งั แต่ตน้ จนแลว้ เสร็จ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จึงเป็ นแนวทางการดาเนินการโดยใช้ทกั ษะวิทยาศาสตร์ใชใ้ นการ 1. การกาหนดปัญหา ข้ันตอนท่ี 1 การกาหนดปัญหา เป็ นการกาหนดหวั เร่ืองท่ีจะศึกษาหรือปฏิบตั ิการแกป้ ัญหาเป็ น ตวั อยา่ งการกาหนดปัญหา แผน่ ใยขดช่วยลดอตั ราการไหลของน้า (ทาใหน้ ้าไหลชา้ ลง) 15 ข้ันตอนที่ 3 การทดลองและรวบรวมข้อมูล เป็ นการปฏิบัติการทดลองค้นหาความจริงให้ ตัวอย่าง - ทรายสาหรับใส่กระบะท้งั 2 ใหม้
ีปริมาณเทา่ ๆ กนั ข้ันตอนที่ 4 การวิเคราะห์ขอ้ มูลและทดสอบสมมติฐานเป็ นการนาขอ้ มูลท่ีรวบรวมไดจ้ ากข้นั ตอน ตัวอย่าง กระบะท่ี 1 วางแผน่ ใยขดั ในกระบะทรายแลว้ ปักก่ิงไมจ้ าลอง ข้ันตอนที่ 5 การสรุปผล เป็ นการสรุปผลการศึกษา การทดลอง หรือการปฏิบตั ิการน้นั ๆ โดย 16 จากการทดลองสรุปไดว้ า่ แผน่ ใยขดั มีผลต่อการไหลของน้า ทาใหน้ ้าไหลไดอ้ ยา่ งชา้ ลง รวมท้งั ช่วย เม่ือดาเนินการเสร็จสิ้น 5 ข้นั ตอนน้ีแลว้ ผดู้ าเนินการตอ้ งจดั ทาเป็ นเอกสารรายงานการศึกษา การ เทคโนโลยี
และการนาเทคโนโลยไี ปใช้ สามารถนาไปปฏิบตั ิใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด สนองความตอ้ งการของมนุษยเ์ ป็ นส่ิงที่มนุษยพ์ ฒั นาข้ึน เพื่อ เทคโนโลยใี นการประกอบอาชีพ เทคโนโลยที ใ่ี ช้ในชีวติ ประจาวนั 17 เทคโนโลยีก่อเกิดผลกระทบต่อสังคมและในพ้ืนที่ที่มีเทคโนโลยีเขา้ ไปเกี่ยวขอ้ งในหลายรูปแบบ เทคโนโลยที เี่ หมาะสม 18 6.การริเร่ิมคน้ ควา้ หาทรัพยากรธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ (search for utilization of unused resources) 19 เร่ืองท่ี 3 วสั ดุและอปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ คือเครื่องมือที่ให้ท้งั ภายในและภายนอกห้องปฏิบตั ิการเพื่อใช้ทดลอง ประเภทของเคร่ืองมือทางวทิ ยาศาสตร์ แก้วคนสาร ซ่ึงอุปกรณ์เหล่าน้ีผลิตข้ึนจากวสั ดุที่เป็ นแล้วเนื่องจากป้ องกนั การทาปฏิกิริยากบั สารเคมี 2. ประเภทเคร่ืองมือช่าง เป็ นอุปกรณ์ท่ีใชไ้ ดท้ ้งั ภายในหอ้ งปฏิบตั ิการ และภายนอกห้องปฏิบตั
ิการ 3. ประเภทสิ้นเปลือง และสารเคมี เป็ นอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ท่ีใช้แล้วหมดไปไม่สามารถนา การใช้อุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ประเภทต่างๆ บีกเกอร์มีหลายขนาดและมีความจุต่างกนั โดยท่ีขา้ งบีกเกอร์จะมีตวั เลขระบุความจุของบีกเกอร์ ทา การเลือกขนาดของบีกเกอร์เพื่อใส่ของเหลวน้นั ข้ึนอยู่กบั ปริมาณของเหลวที่จะใส่ โดยปกติให้ ประโยชน์ของบีกเกอร์ 20 หลอดทดสอบมีหลายชนิดและหลายขนาด ชนิดท่ีมีปากและไม่มีปาก ชนิดธรรมดาและชนิดทนไฟ ความยาว * เส้นผ่าศูนย์กลางริมนอก ความจุ 75 * 11 4 หลอดทดสอบส่วนมากใชส้ าหรับทดลองปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารต่างๆ ท่ีเป็ นสารละลาย ใชต้ ม้ หลอดทดสอบแบบทนไฟจะมีขนาดใหญ่ และหนากวา่ หลอดธรรมดา ใชส้ าหรับเผาสารต่างๆ ดว้ ย ไพเพท
(PIPETTE) ในห้องปฏิบตั ิการมีอยู่ 2 แบบ คือ Volumetric pipette หรือ Transfer pipette และ Measuring pipette Transfer pipette ขนาด 10 มล. มีความผดิ พลาด 0.2% Transfer pipette ใชส้ าหรับส่งผา่ นของสารละลาย ที่มีปริมาตรตามขนาดของไพเพท เมื่อปล่อยสารละลาย 21 ภาชนะเหนือระดบั สารละลายภายในภาชนะน้นั ประมาณ 30
วินาที เพ่ือใหส้ ารละลายที่อยขู่ า้ งในไพเพท Measuring pipette ขนาด 10 มล. มีความผดิ พลาด 0.3% บิวเรท
(BURETTE) ไหลของของเหลว บิวเรทเป็ นอุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ มีขนาดต้งั แต่ 10 มล. จนถึง 100 มล. บิวเรท บิวเรทขนาด 10 มล. มีความผดิ พลาด 0.4% เครื่องช่ัง ( BALANCE ) เป็นเครื่องชงั่ ชนิด Mechanical balance อีกชนิดหน่ึงท่ีมีราคาถูกและใชง้ ่าย แต่มีความไวนอ้ ย เคร่ือง 22 วธิ ีการใช้เคร่ืองช่ังแบบ (Triple-beam
balance) ใหเ้ ขม็ ช้ีตรงขีด 0 0 อ่านน้าหนกั บนแขนเคร่ืองชงั่ จะเป็นน้าหนกั ของขวดบรรจุสาร ในขอ้ 2 แลว้ เลื่อนตุม้ น้าหนกั บนแขนท้งั 3 ใหต้ รงกบั น้าหนกั ที่ตอ้ งการ ตอ้ งการ เคร่ืองชงั่ หากมีสารเคมีหกบนจานหรือรอบๆ เคร่ืองชงั่ เป็ นเคร่ืองชง่ั ที่มีแขน 2 ขา้ งยาวเท่ากนั เม่ือวดั 23 1.จดั ใหเ้ ครื่องชง่ั อยใู่ นแนวระดบั ก่อนโดยการปรับสกรูท่ีขาต้งั แลว้ หาสเกลศูนยข์ องเคร่ืองชง่ั เม่ือ 2. วางขวดบรรจุสารบนจานทางดา้ นซา้ ยมือและวางตุม้ น้าหนกั บนจานทางขวามือของเคร่ืองชงั่
โดย 3. ถา้ เข็มช้ีมาทางซา้ ยของสเกลศูนยแ์ สดงวา่ ขวดชง่ั สารเบากวา่ ตุม้ น้าหนกั ตอ้ งยกป่ ุมควบคุมคาน 4. ในกรณีท่ีตุม้ น้าหนกั ไม่สามารถทาใหแ้ ขนท้งั 2 ขา้ งอยใู่ นระนาบได้ ให้เล่ือนไรเดอร์ไปมาเพ่ือ 5. บนั
ทึกน้าหนกั ท้งั หมดที่ชง่ั ได้ 2.การใช้งานอุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ประเภทเครื่องมือช่าง เป็ นเคร่ืองมือที่ใช้วดั ความยาวของวตั ถุท้งั ภายใน และภายนอกของชิ้นงาน
เวอร์เนียคาลิเปอร์มีลกั ษณะ ส่ วนประกอบของเวอร์ เนีย 24 สเกลหลกั A เป็นสเกลไมบ้ รรทดั ธรรมดา ซ่ึงเป็นมิลลิเมตร (mm) และนิ้ว (inch) การใช้เวอร์เนีย 1. ตรวจสอบเคร่ืองมือวดั ดังนี้ 2. การวดั
ขนาดงาน ตามลาดับข้นั ดังนี้ กรณที ไี่ ม่ได้ใช้งานนาน ๆ ควรใช้วาสลนี ทาส่วนทจี่ ะเป็ นสนิม 25 คีม(TONG) 3.การใช้งานอุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ประเภทสิ้นเปลอื งและสารเคมี ขนาดของอนุภาคที่เล็กกวา่ ลิตมสั มีสองสีคือสีแดงหรือสีชมพู และสีน้าเงินหรือสีฟ้ า วิธีใช้คือการสัมผสั ของเหลวลงบนกระดาษ
ถา้ หาก สารเคมี หมายถึง สารท่ีประกอบดว้ ยธาตุเดียวกนั หรือสารประกอบจากธาตุต่างๆรวมกนั ดว้ ยพนั ธะ ห้องปฏบิ ัติการทางวทิ ยาศาสตร์ (LAB) ในการทาการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์น้นั ผทู้
ดลองควรทาการทดลองในห้องปฏิบตั ิการเน่ืองจากวา่ ลกั ษณะของห้องปฏิบตั กิ าร 26 4) พ้ืนของห้องปฏิบตั ิการตอ้
งไม่มีรอยต่อหรือมีรอยต่อนอ้ ยที่สุด พ้ืนหอ้ งควรทาดว้ ยวสั ดุท่ีทนต่อ ความปลอดภัยในการใช้ห้องปฏิบตั ิการ ตาหรือกอ๊ กน้า
เคร่ืองดบั เพลิง ท่ีกดสัญญาณไฟไหม้ (ถา้ มี)และทางออกฉุกเฉิน งานของอุปกรณ์ทดลองใด ๆ กจ็ ะตอ้ งปรึกษาครูจนเขา้ ใจก่อนลงมือทาปฏิบตั ิการ ไดร้ ับอนุญาตจากครูก่อนทุกคร้ัง ความช่วยเหลือ ปฏิบตั ิการเป็นภาชนะใส่อาหารและเคร่ืองด่ืม ปฏิบตั ิการและอุปกรณ์จดบนั ทึกเท่าน้นั อยู่บนโต๊ะทาปฏิบตั ิการ ส่วนกระเป๋ าหนงั สือและเครื่องใชอ้ ื่น ๆ (8) อ่านคู่มือการใชอ้ ุปกรณ์ทดลองทุกชนิดก่อนใชง้ าน ถา้ เป็ นอุปกรณ์ไฟฟ้ าจะตอ้ งใหม้ ือแหง้
สนิท (9) การทดลองที่ใช้ความร้อนจากตะเกียงและแก๊ส ตอ้ งทาดว้ ยความระมดั ระวงั เป็ นพิเศษ ไม่ริน (10) สารเคมีทุกชนิดในหอ้ งปฏิบตั ิการเป็นอนั ตราย ไมส่ มั ผสั ชิม หรือสูดดมสารเคมีใด ๆ นอกจาก (11) ตรวจสอบสลากท่ีปิ ดขวดสารเคมีทุกคร้ังก่อนนามาใช้ รินหรือตกั สารออกมาในปริมาณท่ี (12) การทาปฏิบตั ิการชีววิทยา จะตอ้ งทาตามเทคนิคปลอดเช้ือตลอดเวลาดว้ ยการลา้ งมือดว้ ยสบู่ 27 (13) เม่ือเกิดอุบตั ิเหตุหรือมีความผิดปกติใด ๆ เกิดข้ึนให้รายงานครูทนั ทีและดาเนินการปฐม (14) เม่ือทาการทดลองเสร็จแลว้ ตอ้ งทาความสะอาดเคร่ืองมือและเก็บเขา้ ท่ีเดิมทุกคร้ัง ทาความ การทาความสะอาดบริเวณทป่ี นเปื้ อนสารเคมี 28 กิจกรรมท่ี 1 ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ ภาพ ก ภาพ ข ภาพแสดงทรัพยากรธรรมชาติท่ีเคยมีอยา่ งสมบรู ณ์ไดท้ าลายจนร่อยหรอไปแลว้ 1. จากการสงั เกตภาพเห็นขอ้ แตกตา่ งในเร่ืองใดบา้ ง 29 แบบทดสอบบทท่ี 1 เร่ือง ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ คาชี้แจง จงเลอื กคาตอบทถ่ี ูกทส่ี ุด 1. ค่าน้าท่ีบา้ น 3 เดือนที่ผา่ นมาสูงกวา่ ปกติ จากขอ้ ความเกิดจากทกั ษะขอ้ ใด 2. จากขอ้ 1 นกั เรียนพบวา่ ท่อประปาร่ัวจึงทาให้ค่าน้าสูงกวา่ ปกตินกั เรียนใชว้ ิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ขอ้ ใด ก. ต้งั ปัญหา 30 6. ตอ้ ยทาเส้ือเป้ื อนดว้ ยคราบอาหารจึงนาไปซัก ดว้ ยผงซกั ฟอก A ปรากฏว่าไม่สะอาด จึงนาไปซกั
ดว้ ย ก. ชนิดของผงซกั ฟอกมีผลต่อการลบรอยเป้ื อนหรือไม่ 31 ข. ไอน้าในอากาศกลนั่ ตวั เป็นหยดน้าเกาะอยรู่ อบๆแกว้ ค. แกว้ น้าร่ัวเป็นเหตุใหน้ ้าซึมออกมาท่ีผวิ นอก ง. หยดน้าที่เกิดเป็นกระบวนการเดียวกบั การเกิดน้าคา้ ง 12. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั ตอนใด ท่ีจะนาไปสู่การสรุปผล และการศึกษาตอ่ ไป ก. การต้งั สมมติฐานและการออกแบบการทดลอง ข. การสงั เกต ค. การรวบรวมขอ้ มลู ง. การหาความสมั พนั ธ์ของขอ้ เท็จจริง 13.ในการออกแบบการทดลองจะตอ้ งยดึ อะไรเป็นหลกั ก. สมมติฐาน ข. ขอ้ มูล ค. ปัญหา ง. ขอ้ เทจ็ จริง 14. สมมติฐานทางวทิ ยาศาสตร์จะเปล่ียนเป็นทฤษฎีไดเ้ ม่ือใด ก. เป็นที่ยอมรับโดยทวั่ ไป ข. อธิบายไดก้ วา้ งขวาง ค. ทดสอบแลว้ เป็นจริงทุกคร้ัง ง. มีเครื่องมือพสิ ูจน์ 15. . อุปกรณ์ต่อไปน้ี ขอ้ ใดเป็นอุปกรณ์สาหรับหาปริมาตรของสาร ก. หลอดฉีดยา ข. กระบอกตวง ค. เคร่ืองชงั่ สองแขน ง. ถูกท้งั ขอ้ ก. และขอ้ ข. 16. ในกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ถา้ หากผลการทดลองที่ไดจ้ ากการทดสอบสมมติฐาน ไม่สอดคลอ้ งกบั สมมติฐาน จะตอ้ งทาอยา่ งไร ก. สังเกตใหม่ ข. ต้งั ปัญหาใหม่ ค. ออกแบบการทดลองใหม่ ง. เปล่ียนสมมติฐาน 17. ขอ้ ใดเรียงลาดบั ข้นั ตอนของวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ไดถ้ ูกตอ้ ง 32 ค. การสงั เกตและปัญหา การทดลองและต้งั สมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน และสรุปผล 33 3. ศึกษาธรรมชาติของตวั แปรตน้ ตา่ งๆท่ีมีผลต่อตวั แปรตามมากที่สุดอยา่ งมีหลกั การและเหตุผล ก. ขอ้ 1 , 2 , 3 และ 4 ตามลาดบั 34 ข. ดินตา่ งชนิดกนั ยอ่ มอุม้ น้าไวไ้ ดต้ า่ งกนั ดว้ ย จากขอ้ มูลตอ่ ไปน้ีใหต้ อบคาถามขอ้ 29 และขอ้ 30 จากการทดลองละลายสาร A ท่ีละลายในของเหลว B ณ อุณหภูมิต่างๆ ดงั น้ี อุณหภูมิของเหลว B ปริมาณของสาร A ท่ีละลาย ในของเหลว B (องศาเซลเซียส) (g) 30 10 40 20 29. ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส สาร A ละลายในของเหลว B ไดก้ ่ีกรัม 30. จากขอ้ มลู ในตาราง เมื่ออุณหภูมิสูงข้ึน การละลายของสาร A เป็นอยา่ งไร 35 แบบทดสอบ ทกั ษะวทิ ยาศาสตร์ จงนาตวั อกั ษรหนา้ ทกั ษะต่าง ๆ ไปเติมหนา้ ขอ้ ท่ีสัมพนั ธ์กนั ............1. ด.ญ.อริษากาลงั ทดสอบวทิ ยาศาสตร์ กิจกรรม ที่ 1 กระบวนการทางวทิ
ยาศาสตร์ โดยมีอุปกรณ์ ดงั น้ี เมลด็ ถวั่ ถว้ ยพลาสติก กระดาษทิชชู น้า กระดาษสีดา กาหนดปัญหา..................................................................... 36 การทดลอง วเิ คราะห์ขอ้
มูลและทดสอบสมมติฐาน สรุปผลการทดลอง 37 บทที่ 2 สาระสาคญั วิทยาศาสตร์ ในการศึกษาคน้ ควา้ โดยผูเ้ รียนจะเป็ นผดู้ าเนินการด้วยตนเองท้งั หมด ต้งั แต่เริ่มวางแผนใน ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั ขอบข่ายเนื้อหา 38 เรื่องท่ี 1 ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์เป็ นกิจกรรมเกี่ยวกบั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซ่ึงเป็ นกิจกรรมที่ตอ้ งใช้ ลกั ษณะและประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ จาแนกไดเ้ ป็น 4 ประเภท ดงั น้ี แลว้ นาขอ้ มูลเหล่าน้นั มาจดั กระทาและนาเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ดงั น้ันลกั ษณะสาคญั ของ กจิ กรรมที่ 1 โครงงาน 39 1 ) ใหน้ กั ศึกษาพิจารณาช่ือโครงงานตอ่ ไปน้ีแลว้ ตอบวา่ เป็ นโครงงานประเภทใด โดยเขียนคาตอบ ลงในช่องวา่ ง 1. แปรงลบกระดานไร้ฝ่ นุ โครงงาน..................................... 2. ยาขดั รองเทา้ จากเปลือกมงั คุด โครงงาน.................................... 3. การศึกษาบริเวณป่ าชายเลน โครงงาน.................................... 4. พฤติกรรมลองผดิ ลองถูกของนกพริ าบโครงงาน..................................... 5. บา้ นยคุ นิวเคลียร์ โครงงาน..................................... 6. การศึกษาคุณภาพน้าในแมน่ ้าเจา้ พระยาโครงงาน..................................... 7. เคร่ืองส่งสัญญาณกนั ขโมย โครงงาน..................................... 8. สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงินปรับสภาพน้าเสียจากนากุง้ โครงงาน........... 9. ศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขของหนูขาว โครงงาน............. 10. ศึกษาวงจรชีวติ ของตวั ดว้ ง โครงงาน...................................... 2 ) ใหน้ กั ศึกษาอธิบายความสาคญั ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์วา่ มีความสาคญั อยา่
งไร 40 เรื่องที่ 2 ข้นั ตอนการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การทากิจกรรมโครงงานเป็ นการทากิจกรรมที่เกิดจากคาถามหรื อความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกบั 1. ข้นั สารวจหรือตดั สินใจเลอื กเร่ืองทจ่ี ะทา 2. ข้นั ศึกษาข้อมูลทเ่ี กย่ี วข้องกบั เร่ืองทต่ี ดั สินใจทา 3. ข้นั วางแผนดาเนินการ 4. ข้นั เขยี นเค้าโครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 41 4.7 วสั ดุอุปกรณ์และสิ่งที่ตอ้ งใช้ เป็ นการระบุวสั ดุอุปกรณ์ที่จาเป็ นใชใ้ นการดาเนินงานวา่ มี 4.8 วธิ ีดาเนินการ เป็นการอธิบายข้นั ตอนการดาเนินงานอยา่ งละเอียดทุกข้นั ตอน อาจไดผ้ ลตามที่คาดไวห้ รือไมก่ ไ็ ด้ 42 กจิ กรรมที่ 2 1. วางแผนจดั ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ที่น่าสนใจอยากรู้มา 1 โครงงาน โดยดาเนินการดงั น้ี 1) ระบุประเด็นที่สนใจ/อยากรู้/อยากแกไ้ ขปัญหา ( 1 ประเดน็ ) ระบุเหตุผลที่สนใจ/อยากรู้/อยากแกไ้ ขปัญหา ( ทาไม ) ระบุแนวทางท่ีสามารถแกไ้ ขปัญหาน้ีได้ ( ทาได้ ) ระบุผลดีหรือประโยชน์ทางการแกไ้ ขโดยใชก้ ระบวนการท่ีระบุ (พจิ ารณาขอ้ มูลจากขอ้ 1) มาเป็นชื่อโครงงาน 2) ระบุชื่อโครงงานท่ีตอ้ งการแกไ้ ขปัญหาหรือทดลอง 3) ระบุเหตุผลของการทาโครงงาน (มีวตั ถุประสงคอ์ ยา่ งไร ระบุเป็นขอ้ ๆ ) 4) ระบุตวั แปรท่ีตอ้ งการศึกษา ( ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุม ) 5) ระบุความคาดเดา (สมมติฐาน) ท่ีตอ้ งการพิสูจน์ 2. จากขอ้ มลู ตามขอ้ 1) ใหน้ กั ศึกษาเขียนเคา้ โครงโครงงานตามประเดน็ ดงั น้ี 1) ชื่อโครงงาน ( จาก 2 )........................................................ 2) ท่ีมาและความสาคญั ของโครงงาน (จาก 1)............................ 3) วตั ถุประสงคข์ องโครงงาน ( จาก 3 ).................................... 4) ตวั แปรท่ีตอ้ งการศึกษา ( จาก 4 )........................................... 5) สมมติฐานของโครงงาน ( จาก 5 )....................................... 6) วสั ดุอุปกรณ์และงบประมาณที่ตอ้ งใช้ 6.1 วสั ดุอุปกรณ์.................................................... 6.2 งบประมาณ...................................................... 7) วธิ ีดาเนินงาน ( ทาอยา่ งไร ) 8) แผนการปฏิบตั ิงาน ( ระบุกิจกรรม วนั เดือนปี และสถานท่ีที่ปฏิบตั ิงาน ) กิจกรรม วนั เดือนปี สถานท่ีปฏิบตั ิงาน หมายเหตุ 9) ผลที่คาดวา่ จะไดร้ ับ ( ทาโครงงานน้ีแลว้ มีผลดีอยา่ งไรบา้ ง) 1) สภาพปัญหาและแนวทางแกไ้ ข (ถา้ มี) ในแตล่ ะกิจกรรม 43 เรื่องท่ี 3 การนาเสนอโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การแสดงผลงานจดั ไดว้ า่ เป็นข้นั ตอนสาคญั อีกประการหน่ึงของการทาโครงงานเรียกไดว้ า่ การแสดงผลงานน้นั อาจทาไดใ้ นรูปแบบต่าง ๆ กนั เช่น การแสดงในรูปนิทรรศการ ซ่ึงมี 1. ชื่อโครงงาน ช่ือผทู้ าโครงงาน ช่ือที่ปรึกษา ขอ้ ความกะทดั รัด ชดั เจน และเขา้ ใจง่าย สาคญั หรือใชว้ สั ดุตา่ งประเภทในการจดั แสดง 44
ในการแสดงผลงาน ถา้ ผนู้ าผลงานมาแสดงจะตอ้ งอธิบายหรือรายงานปากเปล่าหรือคาถามต่าง ๆ 1. ตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั สิ่งที่อธิบายเป็นอยา่ งดี
เป็นไปตามข้นั ตอน อยา่ งอ่ืน แผน่ ใส หรือสไลด์
เป็นตน้ การทาแผงสาหรับแสดงโครงงานใหใ้ ชไ้ มอ้ ดั มีขนาดดงั รูป 60 ซม. ติดบานพบั มีห่วงรับและขอสบั ทามุมฉากกบั ตวั แผงกลาง 45 ในการเขียนแบบโครงงานควรคานึงถึงสิ่งตอ่
ไปน้ี การทาโครงงาน ความสาคญั ของโครงงาน วิธีดาเนินการเลือกเฉพาะข้นั ตอนท่ีสาคญั ผลท่ีได้จากการ 2. จดั เน้ือที่ใหเ้ หมาะสม ไม่แน่นจนเกินไปหรือนอ้ ยจนเกินไป 46 กจิ กรรมที่ 3 ใหน้ กั ศึกษาพิจารณาขอ้ มลู จากกิจกรรมที่ 2 มาสรุปผลการศึกษาทดลองในรูปแบบของ - ท่ีมาและความสาคญั 47 แบบทดสอบบทที่ 2 จงเลือกวงกลมลอ้ มรอบขอ้ คาตอบที่ถูกท่ีสุดเพียงขอ้ เดียว ก. แบบร่างทกั ษะในวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ก. น้าท้งั สามชนิดมีน้าหนกั เท่ากนั 48 6. จากคาถามขอ้ 5 อะไรคือ ตวั แปรตน้ 7. ผลการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีน่าเช่ือถือไดต้ อ้ งเป็นอยา่ งไร 8. สิ่งใดบ่งบอกวา่ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ที่จดั ทาน้นั มีคุณค่า 9. การจดั ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ควรเริ่มตน้ อยา่ งไร 10. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ท่ีถูกตอ้ งสมบูรณ์ตอ้ งเป็นอยา่ งไร 49 บทที่ 3 สาระสาคัญ กลไกและการรักษาดุลยภาพของพืชสัตวแ์ ละมนุษยป์ ้ องกนั ดูแลรักษา ภูมิคุม้ กนั ร่างกาย กระบวนการแบ่ง a. อธิบายรูปร่าง ส่วนประกอบ ความแตกต่าง ระบบการทางาน การรักษาดุลยภาพของเซลลพ์ ืช b. อธิบายการรักษาดุลยภาพของพชื และสตั ว์ และมนุษย์ และการนาความรู้ไปใช้ 50 เร่ืองที่ 1 เซลล์ เซลล์ (Cell) หมายถึง หน่วยท่ีเล็กที่สุดของส่ิงมีชีวิต ซ่ึงจะทาหนา้ ท่ีเป็ นโครงสร้างและหนา้ ท่ีของ โครงสร้างพนื้ ฐานของเซลล์ เซลล์ทว่ั ไปถึงจะมีขนาด รูปร่าง และหน้าที่แตกต่างกนั อยา่ งไรก็ตาม แต่ลกั ษณะพ้ืนฐานภายใน 1. ส่ วนห่อหุ้มเซลล์ เป็ นส่วนของเซลล์ที่ทาหน้าที่ห่อหุ้มองค์ประกอบภายในเซลล์ให้คงรูป อยไู่ ด้ ไดแ้ ก่ พลาสมา เมมเบรน (Plasma membrane) ไซโทพลาสมิก เมมเบรน (Cytoplasmic membrane) เย้อื หุม้ เซลล์ ภาพแสดงเยอื่ หุ้มเซลล์ |