โครงงานคอมพิวเตอร์ โครงงานคอมพิวเตอร์ ชื่อเรื่อง: การทำแยมสับปะรดแคลอรี่ต่ำ ผู้วิจัย/ผู้เรียบเรียง: นราพร เชาน์วิทยางกูร คณะทำงาน/อาจารย์ที่ปรึกษา: รศ.ดร. นัยทัศน์ ภู่ศรัณย์ ที่มา: วิทยานิพนธ์เรื่องการทำแยมสับปะรดแคลอรี่ต่ำสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี 2543 แหล่งสืบค้นฉบับเต็ม: ห้องสมุดสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร กลุ่มสินค้า: 1513 ผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้ เทคโนโลยี: เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว Keyword: แยมสับปะรด เปกตินเมธ็อกซิลต่ำ โลคัสบีนกัมโซเดียมอัลจิเนท แคปปา-คาราจี แนน แอสพาแทม ซอร์บิทอล การทำแยมสับปะรดแคลอรี่ต่ำ ในการทำแยมสับปะรดเพื่อให้ได้แยมคุณภาพดีส่วนสำคัญคือการเกิดเจลของแยม โดยมีขั้นตอนการทดลองดังนี้ ขั้นตอนการทดลอง 1. การทำเจลมาตรฐานจากเปกติน ชนิด 150 เกรด (เป็นอัตราส่วนน้ำตาลทราย 150 กรัม ต่อเปกติน 1 กรัม) 1.1 เตรียมภาชนะที่ใช้กวนแยม ชั่งน้ำหนักไว้ 1.2 เตรียมส่วนประกอบ ดังนี้ - น้ำต้มที่เย็นแล้ว 320 มิลลิลิตร - น้ำตาล 500 กรัม - กรดซิตริก 50% (ใช้กรด 50 กรัม เติมน้ำ จนได้ปริมาตร 100 มิลลิลิตร) - สารละลายโซเดียมซิเตรท 25% (ใช้โซเดียมซิเตรท 25 กรัม เติมน้ำให้ได้ปริมาตร 100 มิลลิลิตร) - เปกติน 3.33 กรัม 2. การทำเจล 3. ทดลองหาลักษณะของการเกิดเจลที่เหมาะสมจากสารที่ทำให้เกิดความข้นเหนียว 4 ชนิด ได้แก่ เปกตินเมธ็อกซิลต่ำ, แคปปา-คาราจีแนน, โลคัสบีนกัม และโซเดียมอัลจิเนท 4. ทดลองทำแยมสับปะรด จากสารที่ทำให้เกิดความข้นเหนียว 4 ชนิด จากข้อ 2 โดยควบคุมความเป็นกรด-ด่าง (พีเอช) ที่ 3.0-3.3 ใช้เนื้อผลไม้ 45% ของน้ำหนักแยมตามมอก.263-3521 โดยมีกระบวนการดังนี้ การทำแยม เมื่อได้แยมตามสูตรต่างๆนำมาวิเคราะห์คุณสมบัติต่างๆ ได้แก่ เนื้อสัมผัสของเจล, สี และปริมาณของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด 5. ทดลองการใช้สารให้ความหวาน แอสพาร์แทมและซอร์บิทอล ทดแทนน้ำตาลในการทำแยมสับปะรดที่ระดับความหวาน 40, 50 และ 60 องศาบริกซ์ ผลการทดลอง 1. การทำเจลมาตรฐานจากเปกตินชนิด 150 เกรด เพื่อให้ได้คุณลักษณะของเจลที่ดีที่สุดควรควบคุมให้ได้ 65 องศาบริกซ์ โดยใช้ปริมาณเปกติน 0.43 กรัม 2. การทดลองสารข้นเหนียว 4 ชนิด พบว่าโลคัสบีนกัม และโซเดียมอัลจิเนท ไม่สามารถเกิดเจลได้ ส่วนเปกตินเมธ็อกซิลต่ำและแคปปา-คาราจีแนน ให้ผลที่ดีสุดเมื่อใช้ 3. เปกตินเม- ธ็อกซิลต่ำ 0.7%, น้ำตาลทราย 20% และแคลเซียมคลอไรด์ 3% 4. แคปปา-คาราจีแนน 0.6%, น้ำตาลทราย 25% และแคลเซียมคลอไรด์ 15% 5. การทดลองทำแยมสับปะรดจากผลที่ได้ในข้อ 2 แล้วทดลองชิม พบว่าแยมสับปะรดที่ใช้เปกตินเมธ็อกซิลต่ำ ให้ผลการทดสอบสูงกว่าที่ใช้แคปปาคาราจีแนน 6. การใช้สารให้ความหวานแอสพาแทมให้ผลการทดสอบการชิมสูงกว่าเมื่อใช้สารให้ความหวานซอร์บิทอล download PDF โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การสกัดเพคตินจากพืชตระกูลส้มเพื่อทำแยม คณะผู้จัดทำ นายภูริภัทร วัชรสินธุ เลขที่ 4 ์ นางสาวลักษมณ เลิศศิลา เลขที่ 30 นางสาวกุลปริยา ศรีเมือง เลขที่ 31 นางสาวชัชชญาภัควลัญด์ ดิษฐราชา เลขที่ 32 นางสาวรวิสรา เจริญชัย เลขที่ 33 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 เสนอ อาจารยนพวรรณ แก้วโกสุม รายงานโครงงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ว30226 เคมี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนทีปราษฎร์พิทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ก ชื่อโครงงานวิทยาศาสตร์ การสกัดเพคตินจากพืชตระกูลส้มเพื่อทำแยม ชื่อครูที่ปรึกษา นางสาวนพวรรณ แก้วโกสุม โรงเรียน ทีปราษฎร์พิทยา อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี บทคัดย่อ จากการทดลองศึกษาการสกัดเพคตินจากพืชตระกูลส้มเพอทำแยม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสกัด จากเพคตินจากพืชตระกูลส้ม พบว่าเปลือกมะนาวให้ปริมาณเพคติน 4.21 กรัมมากกว่าเปลือกส้มและเปลือก ส้มโอซึ่งให้ปริมาณเพคติน 3.87 กรัม และ 3.59 กรัม จากการทดลองเปลือกของมะนาวมีเมทอกซิล 9.47% นอกจากนี้เพคตินจากเปลือกมะนาวสามารถทำให้แยมมีความหนืดเพิ่มากขึ้น มีความใกล้เคียงกับแยมตาม คำสำคัญ: เพคติน/แยม/พืชตระกูลส้ม ข กิตติกรรมประกาศ โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลองเรื่องการสกัดเพคตินจากพืชตระกูลส้มเพื่อทำแยมผู้จัดทำได้รับ การอนุเคราะห์จากนางสาวนพวรรณ แก้วโกสุม ครูที่ปรึกษาโครงงานที่คอยให้คำปรึกษาระหว่างการทำ โครงงาน ตลอดจนโครงงานสำเร็จลุล่วง พร้อมทั้งขอขอบคุณสมาชิกในกลุ่ม ที่มีความกระตือรือร้น ตั้งใจ ศึกษา ให้เสมอมา คณะผู้จัดทำโครงงาน
เรื่องการสกัดเพคตินจากพืชตระกูลส้มเพื่อทำแยมขอขอบพระคุณทุกท่าน คณะผู้จัดทำ สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญภาพ ค สารบัญตาราง ง บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ที่มาและความสำคัญ 1 1.2 วัตถุประสงค์ 1 1.3 สมมติฐาน 2 1.4 ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง 2 1.5 ขอบเขตการศึกษา 3 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 5 2.1 เพคติน 5 2.2 เอทานอล 6 2.3 โซเดียมไฮดรอกไซด์ 7 2.4 กรดไฮโดรคลอริก 9 2.5 ฟีนอล์ฟทาลีน 10 2.6 ส้มโอ 11 สารบัญ(ต่อ) 2.7 ส้ม 12 2.8 มะนาว 13 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 14 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน 16 3.1 เครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์ 16 3.2 สารเคม ี 16 3.3 ขั้นตอนการดำเนินงาน 17 บทที่ 4 ผลการทดลอง 19 4.1 ผลการศึกษาการสกัดเพคตินจากเปลือกพืชตระกูลส้ม 19 4.2 ผลการหาปริมาณเมทอกซิลในเปลือกพืชตระกูลส้ม 19 4.3 วิธีการทำแยมทมีส่วนผสมของเพคตินของเปลือกพืชตระกูลส้ม 20 บทที่ 5 สรุปผล และอภิปรายผลการทดลองและข้อเสนอแนะ 22 5.1 สรุปผล อภิปรายผลการทดลอง 22 5.2 ข้อเสนอแนะ 22 บรรณานุกรม 23 ภาคผนวก 24 ภาคผนวก ก 25 ภาคผนวก ข 27 ค สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า ี ภาพที่ 2 โครงสร้างของเอทานอล 6 ภาพที่ 3 โครงสร้างของโซเดียมไฮดรอกไซด์ 8 ภาพที่ 4 โครงสร้างของกรดไฮดรอคลอริก 9 ภาพที่ 5 โครงสร้างของฟีนอล์ฟทาลีน 10 ภาพที่ 6 ส้มโอ 11 ภาพที่ 7 ส้ม 12 ง สารบัญตาราง ี่ ตารางที่ 1 สมบัติทางกายภาพของเอทานอล 7 ตารางที่ 2 สมบัติทางกายภาพของโซเดียมไฮดรอกไซด์ 8 ตารางที่ 3 สมบัติทางกายภาพของกรดไฮโดรคลอริก 9 ตารางที่ 4 สมบัติทางกายภาพของฟีนอล์ฟทาลีน 11 ตารางที่ 5 มวลของเพคติน 19 ื่ ตารางที่ 7 ความสัมพันธ์ระหว่างค่า DE กับร้อยละของเมทอกซิล 20 ตารางที่ 8 การเปรียบเทียบแยมที่มีส่วนผสมของเพคตินและไม่มีส่วนผสมของเพคติน 21 1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญ ื หรือเส้นใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยโดยเอนไซม์ในระบบการย่อยของร่างกายมนุษย์ สามารถพบเพคตินในพวกผลไม้ ุ ิ่ แยมเป็นการแปรรูปผลไม้กับน้ำตาลหรือสารให้ความหวาน จนกลายเป็นของเหลวที่มีลักษณะข้น เหนียวคล้ายเจลคุณสมบัติความเป็นเจลจะเกิดขึ้นเมื่อกรดน้ำตาลและเพคตินมาเจอกันในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยกรด น้ำตาล และเพคตินเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติของผลไม้ แต่จะมีมากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดผลไม้ พชตระกูลส้ม เช่น ส้ม ส้มโอและมะนาว เป็นผลไม้ที่คนไทยนิยมรับประทานและใช้ในทาง 1.2 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการสกัดเพคตินจากพืชตระกูลส้ม เช่น ส้ม ส้มโอ และมะนาว 3. เพื่อทำแยมที่มีส่วนผสมจากเพคตินจากพืชตระกูลส้ม 2 1.3 สมมติฐาน เปลือกผลไม้ตระกูลส้มมีเพคตินสามารถนำมาทำแยมได้ 1.4 ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง 1.4.1 ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง (ตอนที่ 1 ศึกษาการสกัดเพคตินจากพืชตระกูลส้ม) ตัวแปรต้น : - ชนิดของเปลือกพืชตระกูลส้ม ตัวแปรตาม : - มวลของเพคติน ตัวแปรควบคุม : - มวลของเปลือกพืชตระกูลส้ม - อุณหภูมิ - ระยะเวลา - ความเข้มค้นของเอทานอล - ปริมาตรของน้ำกลั่น 1.4.2 ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง (ตอนที่ 2ศึกษาหาปริมาณเมทรอกซิลในเปลือกของพืชตระกูลส้ม) ตัวแปรต้น : - มวลของเพคตินจากเปลือกพืชตระกูลส้ม ตัวแปรตาม : - ปริมาณเมทอกซิล ตัวแปรควบคุม : - อุณหภูมิ - ระยะเวลา - ปริมาตรและความเข้มข้นของเอทานอล - ความเข้มข้นของโซเดียมไฮดรอกไซด์ 3 ื ตัวแปรต้น : : - มวลของเพคตินจากเปลือกของพืชตระกูลส้ม ตัวแปรตาม : - ลักษณะของแยม ตัวแปรควบคุม : - ส่วนผสมที่นำมาทำแยมได้แก่ส้ม น้ำตาล เกลือป่นและน้ำมะนาว - อุณหภูมิ - ระยะเวลา 1.5 ขอบเขตการศึกษา 1. เปลือกของพืชตระกูลส้ม คือ ส้มส้มโอและมะนาว 2. ตัวทำละลายในการสกัดเพคติน คือ เอทานอล 1.6 นิยายศัพท์เฉพาะ 1. เพคตินหมายถึง สารละลายจากการสกัดส่วนเปลือกของผลไม้ตระกูลส้ม โดยใช้เอทานอลเป็นตัว ทำละลาย ิ 3. ส่วนผสมที่นำมาทำแยมได้แก่ ส้ม 250 กรัมแคนเบอร์รี 500 กรัมน้ำตาลทราย 500 กรัมเกลือป่น 1/2 หยิบมือน้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะเพกติน 20 กรัม 4 1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. สามารถทำแยมจากพืชตระกูลส้ม 2. สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร 3. สามารถนำส่วนของผลไม้ที่เหลือใช้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ 4. สร้างจิตสำนึกให้เห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา 5 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.1 เพคติน เพคติน (Pectin) เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) ประเภทHeteropolysaccharide มีหน่วย ื ภาพที่ 1 โครงสร้างทางเคมีของเพคติน 2.1.1 การใช้เพคตินทำผลิตภัณฑ์ เพคตินเป็นไฮโดรคอลลอยด์ (Hydrocolloid) ใช้ในอาหารเป็นวัตถุเจือปนอาหาร (Food Additive) เพคตินที่ผลิตเป็นการค้า
สกัดได้จากเปลือกของผลไม้ตระกูลส้ม (Citrus) กากของแอปเปิ้ลที่คั้นน้ำแล้ว (Casein)
เป็นอมัลซิไฟเออร์ (Emulsifier) ทำให้อมัลชัน (Emulsion) คงตัว โดยลดแรงตึงผิวระหว่างเฟสของ 6 2.2 เอทานอล เอทานอล (Ethanol) หรือเอทิลแอลกอฮอล์ (Ethyl alcohol) เป็นแอลกอฮอล์ปฐมภูมิ สูตร CH CH OH สามารถผลิตได้จากกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมีและกระบวนการหมักวัตถุดิบจำพวกแป้ง และ 2.2.1 สมบัติทั่วไปของเอทานอล ชื่อเคมีทั่วไป: Ethanol alcohol; ethyl hydrate ภาพที่ 2 โครงสร้างของเอทานอล 2.2.2 สมบัติทางกายภาพของเอทานอล สมบัติของเอทานอล หมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของเอทานอล สมบัติของสารที่สามารถสังเกตได้จาก ลักษณะภายนอก เช่น ความหนาแน่น การละลายน้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว เป็นต้นสมบัติทางกายภาพของ เอทานอล แสดงดังตารางที่ 1 7 สมบัติทางกายภาพ ลักษณะหรือค้นที่พบ จุดเดือด 78.4 °C, 352 K, 173 °F pKa 15.9 ความหนืด 1.200 mPa·s (cP) at 20.0 °C Dipole moment 5.64 fC·fm (1.69 D) (gas) ตารางท 1 สมบัติทางกายภาพของเอทานอล 2.2.3 ประโยชน์ของเอทานอล 1. ใช้เป็นสารตั้งต้นหรือตัวทำละลาย เช่น การผลิตเครื่องสำอาง ยา น้ำหอม เป็นต้น 2. ใช้ผสมในเชื้อเพลิงเพอเพมค่าออกเทน และลดปริมาณเชื้อเพลิงบางชนิด เช่น น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 3. เป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ 4. ใช้สำหรับการฆ่าเชื้อหรือล้างแผล เช่น
แอลกอฮอล์ 75% 2.3 โซเดียมไฮดรอกไซด์ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เป็นของแข็งสีขาว ดูดความชื้นดีมาก ละลายน้ำได้ดี ใช้ประโยชน์ใน 8 2.3.1 สมบัติทั่วไปของโซเดียมไฮดรอกไซด์ ชื่อIUPAC: Sodium hydroxide ชื่ออื่นที่เรียก: Caustic soda Lye ภาพที่ 3 โครงสร้างของโซเดียมไฮดรอกไซด์ 2.3.2 สมบัติทางกายภาพของโซเดียมไฮดรอกไซด์ สมบัติของโซเดียมไฮดรอกไซด์หมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของโซเดียมไฮดรอกไซด์ สมบัติของสารที่ สามารถสังเกตได้จากลักษณะภายนอก เช่น ความหนาแน่น การละลายน้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว เป็นต้น
สมบัติทางกายภาพของโซเดียมไฮดรอกไซด์ แสดงดังตารางที่ 2 จุดเดือด 1390 °C (1663 K) จุดหลอมเหลว 318 °C (591 K) ตารางท 2 สมบัติทางกายภาพของโซเดียมไฮดรอกไซด์ 2.3.3 ประโยชน์และโทษของโซเดียมไฮดรอกไซด์ โซดาไฟสามารถทำให้เกิดอนตรายแก่ร่างกายได้อย่างเฉียบพลัน ถ้าสูดดมฝุ่นควันของสารจะทำให้ 9 ขั้นเสียชีวิตได้ ผู้ที่เคยได้รับสารเข้าไปทางปาก อาจมีการพัฒนากลายเป็นมะเร็งในภายหลัง 12-42 ปี หลังจาก กินเข้าไป กรดไฮโดรคลอริกเป็นสารประกอบเคมีประเภทกรดละลายในน้ำ โดยเป็นสารละลายของไฮโดรเจน อุตสาหกรรมเป็นของเหลวที่มีพลังการกัดกร่อนสูง 2.4.1 สมบัติทั่วไปของกรดไฮโดรคลอริก ชื่อIUPAC: Hydrochloric Acid ชื่ออื่นๆ: Muriatic Acid, Spirt(s) of Salt, Chlorane สูตรโครงสร้าง: ภาพที่ 4 โครงสร้างของกรดไฮโดรคลอริก 2.4.2 สมบัติทางกายภาพของกรดไฮโดรคลอริก สมบัติของกรดไฮโดรคลอริกหมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของกรดไฮโดรคลอริก สมบัติของสารที่ สมบัติทางกายภาพของกรดไฮโดรคลอริก แสดงดังตารางที่ 3 สมบัติทางกายภาพ ลักษณะหรือค้นที่พบ ตารางท 3 สมบัติทางกายภาพของกรดไฮโดรคลอริก 10 2.4.3 ประโยชน์และโทษของกรดไฮโดรคลอริก 1. ใช้เป็นสารฟอกหนัง ฟอกสี 2. ใช้สำหรับปรับสภาพความเป็นด่างของน้ำให้เป็นกรด ใช้มากในระบบบำบัดน้ำเสีย 3. ใช้ในอุตสาหกรรมชุบเคลือบโลหะ 5. ใช้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมผลิตสี และผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ตัวทำละลายกรด 7. ใช้ในอตสาหกรรมปิโตรเคมี กระบวนการเตรียมสารประกอบอนทรีย์ เช่น ไวนิลคลอไรด์โมโนเมอร์ โดยตรง 2.5 ฟีนอล์ฟทาลีน
ิ ี ชื่อIUPAC: 3,3-bis(4-hydroxyphenyl)isobezofuran-1(3H)-one สูตรโมเลกุล: C H O ภาพที่ 5 โครงสร้างของฟินอล์ฟทาลีน 11 ี สมบัติทางกายภาพ ลักษณะหรือค้นที่พบ ตารางท 4 สมบัติทางกายภาพของฟินอล์ฟทาลีน 2.5.3
ประโยชน์และโทษของฟนอล์ฟทาลีน 2.6 ส้มโอ ชื่อวิทยาศาสตร์:Citrus maxima ชื่อวงศ์: Rutaceae ลักษณะทางพฤษศาสตร์: ไม้ยืนต้นขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ แตกกิ่งก้านมากเป็นพมกิ่งออนปกคลุม มาทางก้านใบ ใต้ใบมีขนออนนุ่มปกคลุมอยู่ ดอกเป็นดอกเดี่ยว แต่อาจพบออกเป็นช่อตามมุมใบ หรือปลาย กลาง สีขาวหรือสีชมพ มีลักษณะออนนุ่ม หนาประมาณ 1-2.3 ซม. เปลือกผลชั้นในบางส่วนเจริญเป็นถุง ส้มโอมีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะมลายู อนเดีย จีน และไทย ขยายพนธุ์โดยวิธีเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ติดตา 12 สรรพคุณ:รับประทานส้มโอช่วยขับสารพษในร่างกายได้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ใน ี ภาพที่ 6 ส้มโอ 2.7 ส้ม ชื่อวิทยาศาสตร์:Citrus ชื่อวงศ์: Rutaceae ชื่อสามัญ: Orange กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็ก และมีสีเขียว หรือสีเขียวอ่อน กลีบดอกมีจำนวน ๕ กลีบ มีสีขาว แต่อาจมีสีอมเขียว หรือ มีสีม่วงแต้มในส้มบางชนิด ที่กลีบดอกมักมีต่อมน้ำมันกระจายอยู่ เกสรตัวผู้มีจำนวน ๒๐-๔๐ อน มีก้าน 13 ั มีสีเขียว หรืออาจเปลี่ยนเป็นสีอน เมื่อสุก เปลือกส่วนกลางที่มีลักษณะนุ่ม มีสีขาวอาจเป็นชั้นที่บางมาก และ sac)
ทำหน้าที่เก็บสะสมน้ำ น้ำตาล และสารอาหารต่างๆ คอลลาเจน ทำให้ช่วยลดเลือนหรือชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้ส้มช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสช่วย ให้ผิวมีสุขภาพดีไม่แห้งกร้าน ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก เพราะส้มมีวิตามินซีช่วย
การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟันช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจช่วยใน คอเลสเตอรอล ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยกรองสารพษในตับได้ด้วยเปลือกส้มมีฤทธิ์ในการช่วย ภาพที่ 7 ส้ม 2.8 มะนาว ชื่อวิทยาศาสตร์: Citrus × aurantiifolia ชื่อสามัญ: Common lime จะบาง ภายในมะนาวจะมเนื้อทแบ่งออกเป็นกลีบๆ ชุ่มน้ำ ถือเป็นผลไม้ทถูกนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงรส ที่สำคัญ 14 ยังเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการและทางการแพทย์ โดยทั่วไปมะนาวจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ ุ่ 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อบลวรรณา ศรีมงคลลกัษณ์, มาริษา ภู่ภิญโญกุล และพชรีตั้งตระกูล. (2549). เพอศึกษาพนธุ์ส้มโอ pH 3 จากเปลือกกล้วยที่สกัดด้วยกรดไฮโดรคลอริก มีปริมาณเพคตินต่ำที่สุด คือ 3.27±0.19% จากการเปรียบเทียบ ปริมาณเมทอกซิล พบว่าเพคตินจากมะม่วงที่สกัดด้วยกรดไฮโดรคลอริก มีปริมาณเมทอกซิลสูงที่สุดคือ 11.38±0.47% และมีปริมาณเมทอกซิลใกล้ เคียงกับเพคตินทางการค้า (มีปริมาณเมทอกซิล
11.50±0.13%) ความชื้นสูงที่สุด คือ12.40±0.40% เพคตินจากเปลือกมะกรูดที่สกัดด้วยน้ำกลั่น มีค่าความชื้นต่ำที่สุด คือ 2.93±0.31% และมีค่าความชื้นใกล้เคียงกับเพคตินทางการค้า (มีค่าความชื้น 2.53±0.12%) มากที่สุด ส่วนสีมี 15 เพคตินที่ได้มีคุณลักษณะค่อนข้างดีและใกล้เคียงกับเพคตินที่จำหน่ายทางการค้า โดยมีค่าร้อยละของปริมาณ ิ 82.76±5.86 ตามลำดับ และมีน้ำหนักสมมูลย์ (equivalent weight) เท่ากับ 1137.57±45.82 จัดเป็นเพคติน ในกลุ่ม High-methoxyl pectin จากการคำนวณต้นทุนการผลิตเพคตินจากเปลือกส้มโอพบว่ามีราคาต่ำกว่า เคลือบต้านจุลินทรีย์
มีความสามารถในการกักเก็บและปลดปล่อยสารต้านจุลินทรีย์ออกจากโครงสร้างพอลิ ที่เป็นสาเหตุให้ผลไม้เน่าเสียได้ คลอริกและน้ำกลั่นได้ ซึ่งมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกบเพคตินที่มีจำหน่ายทางค้า
ดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงสนใจนำ เป็นส่วนที่เหลือใช้ มาสกัดเพคตินเพื่อนำมาทำแว็กซ์กำจัดขน 16 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน 3.1 เครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์ 1. เปลือกพืชตระกูลส้ม คือส้มส้มโอ และส้มโอ 3. ผ้าดิบ 4. กระบอกตวง 6. เครื่องปั่น 8. เครื่องชั่งสาร
9. มีดและเขียง 11. หลอดหยด 12. อ่างควบคุมอุณหภูมิ (Water Bath) 14. หม้ออบลมร้อนฝาบน 15.ชุดไทเทต ประกอบด้วย ขวดรูปชมพู่ บิวเรตต์ ขาตั้ง ที่จับบิวเรตต์ ขวดวัดปริมาตร ขวดน้ำกลั่น ปิ 3.2 สารเคม ี 1.น้ำกลั่น 2. เอทานอล (เอทิลแอลกอฮอล์) 3. โซเดียมไฮดรอกไซด์ 5. อะซิโตน 17 3.3 ขั้นตอนการดำเนินงาน 3.3.1
ขั้นตอนการสกัดเพคตินจากเปลือกของพืชตระกูลส้มด้วยน้ำร้อน 1) เตรียมเปลือกส้ม 100 กรัม ปั่นให้ละเอียดโดยใช้เครื่องปั่น 2) ต้มกับเอทานอล 95 % เติมให้ท่วมเปลือกส้ม ที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส ในอ่างควบคุมอุณหภูมิ 3) กรองด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นนำไปล้างด้วยน้ำสะอาดและบีบน้ำออก ทำซ้ำจนครบ 3 ครั้ง 5) ปั่นให้ละเอียด แล้วนำไปชั่ง 6) ทำซ้ำกับข้อ 1-5 แต่เปลี่ยนจากเปลือกส้มเป็นเปลือกส้มโอ และเปลือกมะนาว(กรณีที่ไม่ทำการ 3.3.1.2 ขั้นตอนการสกัดเพคติน 1) นำเปลือกส้ม เปลือกส้มโอ และเปลือกมะนาว ที่ได้จากขั้นตอนของการเตรียมเปลือกของพช
ั 4) กรองผ่านผ้าขาวบาง 1 ชั้น นำสารละลายที่ได้ทั้งสองครั้งมารวมกัน แล้วเติมเอทานอลเข้มข้น 95 5) คนผสมแรงๆ ให้เข้ากัน จากนั้นตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิ ห้องเป็นเวลา 15 ชั่วโมง 6) กรองแยกเอาตะกอน เพคตินผ่านผ้าขาวบาง 4 ชั้น แล้วล้างตะกอน เพคตินที่ได้ด้วยเอทานอล 95 ี 8) นำตะกอนเพคตินที่ได้อบให้แห้งที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส แล้วบดให้เป็นผง 3.3.1.3 ขั้นตอนการหาปริมาณเมทอกซิลในเพคติน 1) ชั่งน้ำหนักผงเพคตินแล้วใส่ลงในขวดรูปชมพู่สามขวด ขวดละ 0.5 กรัม 2) เติมเอทานอลลงในขวดรูปชมพู่ ขวดละ 2 มิลลิลิตร 4) หยดฟีนอล์ฟทาลีนลงในขวดรูปชมพู่จำนวน 5 หยด 18 5) นำไปไทเทรตด้วยสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์เข้มข้น 0.5 โมลาร์ แล้วบันทึกปริมาตรของ สารละลายโซเดียมไฮดกรอกไซด์เป็นปริมาตรที่ 1 นาที 7) เติมสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 0.5 โมลาร์ ปริมาตร 10 มิลลิลิตร แล้วเขย่าจนสีชมพ ู 8) หยดฟีนอล์ฟทาลีนจำนวน 5 หยด สารละลายโซเดียมไฮดกรอกไซด์เป็นปริมาตรที่ 2 10) คำนวณหาค่า Degree of Esterification (%DE)จากสูตร NaOH ปริมาตร2 11) นำค่า %DE ที่ได้ไปหาปริมาณเมทอกซิลโดยดูจากตารางที่แสดงความสัมพนธ์ระหว่างระดับการ มะนาวตามลำดับ 3.3.2 ขั้นตอนการทำแยมจากเปลือกพืชตระกูลส้ม 1)
เตรียมส่วนผสมในการทำแยมได้แก่ ส้ม 5 ผล น้ำตาลทรายตามความเหมาะสม เกลือป่น 1/2 หยิบ 2) ทิ้งไว้ให้เย็น 4) ชิมรสชาติของแยมว่ามีความใกล้เคียงกับแยมตามท้องตลาดมากน้อยแค่ไหน 19 ี่ 4.1 ผลการศึกษาการสกัดเพคตินจากเปลือกพืชตระกูลส้ม จากการทดลองการสกัดเพคตินจากเปลือกพืชตระกูลส้ม คือเปลือกส้ม มะนาว และส้มโออย่างละ100 กรัม จากการทดลองสกัดด้วยกรดไฮโดรคลอริก และนำมาคำนวณหามวลของเพคตินในแต่ละบีกเกอร์ผลการ ทดลองแสดงดังตาราง ดังนี้ ส้ม 3.87 ส้มโอ 3.59 ตารางที่ 5 มวลของเพคติน จากตารางที่ 5 การสกัดเพคตินจากเปลือกพชตระกูลส้ม ได้แก่เปลือกส้ม มะนาว และส้มโอ ใน กรัมมากกว่าเปลือกส้มและเปลือกส้มโอซึ่งให้ปริมาณเพคตินเพียง 3.87 กรัม และ 3.59 กรัม 4.2 ผลการหาปริมาณเมทอกซิลในเปลือกพืชตระกูลส้ม นำผงเพคติน0.5 กรัมละลายกับเอทานอล2 มิลลิลิตร เจือจางด้วยน้ำ นำไปไทเทรตกับสารละลาย มะนาว 2.8 2.9 2.85 3.9 4.0 3.95 ตารางที่ 6 ปริมาตรของสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ที่ได้จากการไทเทรต 20 จากตารางข้างต้นนำปริมาตรของสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ที่ได้จากการไทเทรตไปคำนวณหาค่า Degree of ร้อยละของเมทรอกซิล ส้ม 50 8.16 มะนาว 58.02 9.47 เพคตินมาตรฐาน (ค่าอ้างอิง) 62.96 10.25 ตารางที่ 7 ความสัมพันธ์ระหว่างค่า Degree of Esterification (DE) กับร้อยละของเมทอกซิล จากตารางทึ่ 7 นำปริมาตรของสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ที่ได้มาจากการไทเทรตไปคำนวณหาค่า 4.3 วิธีการทำแย้มที่มีส่วนผสมของเพคตินของเปลือกพืชตระกูลส้ม จากการทดลองศึกษาการสกัดเพคตินจากเปลือกพชตระกูลส้มและการวิเคราะห์ปริมาณเมทอกซิลใน 21 ลักษณะของแย้มที่ได้ แยมที่มีส่วนผสมของเพคติน แยมที่ไม่มีส่วนผสมของเพคติน ความหนืด มีความหนืดมากกว่า มีความหนืดน้อยกว่า สี สีอ่อนกว่า สีเข้มกว่า ตารางที่ 8 การเปรียบเทียบแยมที่มีส่วนผสมของเพคตินและไม่มีส่วนผสมของเพคติน จากตารางที่ 8 ผลจากการนำเพคตินผสมในแยมปรากฏว่าแยมที่มีส่วนผสมของเพคตินมีความหนืด กว่าแยมที่ไม่มีส่วนผสมของเพคตินและมีสีต่างกันอย่างเห็นได้ชัด 22 บทท 5 5.1 สรุปผล อภิปรายผลการทดลอง จากการทดลองการสกัดเพคตินจากพืชตระกูลส้มเพื่อการทำแยมสามารถสรุปผล และอภิปรายผลการ ทดลองได้ดังนี้ ให้ปริมาณเพคติน 3.87 กรัม และ 3.59 กรัม เปลือกส้มโอ 8.31% ส่วนผสมของเพคตินและมีสีต่างกันอย่างเห็นได้ชัด 5.2 ข้อเสนอแนะ 1.ควรมีการศึกษาเพคตินจาก พืช ผัก ผลไม้อื่นๆ เช่น กล้วย ทุเรียน มะม่วง แตงโม เป็นต้น
2.สกัดเพคตินเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับพืชพันธุ์ในท้องถิ่นอื่นๆ เช่น การทำแวกซ์ เจลหรือเจลลี่เป็นต้น ี่ 23 บรรณานุกรม อักษราวดี.(มปก).การทำแยม.[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก : https://aksara99.wordpress.com.(วันที่ค้นข้อมูล: 4 มกราคม 2564). Siamroommate.(มปก).กรดไฮโดรคลอริก.[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก : https://siamroommate.com/ ้ จาก :http://www.pr.rmutt.ac.th/news/9497. (วันที่ค้นข้อมูล : 4 มกราคม 2564). จาก :https://puechkaset.com/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8% 24 ภาคผนวก 25 ภาคผนวก ก (ตารางแสดงความสัมพันธระหว่างค่า DE กับปริมาณเมทอกซิลในเพคติน) 26 ตาราง แสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่า Degree of esterification(DE) กับปริมาณเมทอกซิล 27 ภาคผนวก ข (ภาพประกอบการทำโครงงาน) 28 ภาพที่1ชั้นตอนการเตรียมอุปกรณ์ ภาพที่2 ขั้นตอนการเตรียมเปลือก 29 ภาพที่3 ขั้นตอนการปั่นเปลือกพืชตระกูลส้ม ภาพที่4 ขั้นตอนเตรียมสาร 30 ภาพที่5 ขั้นตอนการตวงเปลือกพืชตระกูลส้ม ภาพที่6 ขั้นตอนการต้มและวัดอุณหภูมิไม่เกิน 80 องศาเซลเซียส 31 ภาพที่7 ขั้นตอนการกรอง ภาพที่8 ขั้นตอนการอบเปลือกของพืชตระกูลส้ม 32 ภาพที่9 ขั้นตอนการไทเตรด \ ภาพที่10ขั้นตอนการทำแยม ใส่เนื้อส้มลงในกระทะตั้งไฟออนๆ คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นใส่น้ำตาลคนให้เข้ากัน 33 ภาพที่11ใส่เกลือกับน้ำมะนาวเล็กน้อยคนให้เข้ากัน ภาพที่12 ใส่เพคตินที่ได้จากกาสกัด เคี่ยวจนแยมมีความหนืดที่เหมาะสม หรือเมื่อยกไม้พายขึ้นแยมจะค่อยๆ ไหลลงมาช้าๆ ถือว่าใช้ได้ |