สำหรับหลายคนแล้ว คำถามที่ว่า “ควรมีทุนประกันชีวิตเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ?” อาจจะเป็นคำถามที่ตอบไม่ง่ายนัก แต่ก็เป็นคำถามที่เราควรจะ “ทำการบ้าน” มาให้ดีก่อนลงมือทำประกันชีวิต Show
ในบทความนี้ ผมเลยมี 3 คำถามย่อยๆ ที่จะมาช่วยให้เราคำนวนทุนประกันชีวิตที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้นครับ เมื่อคุณจากไป เงินเท่าไหร่ถึงจะ “เพียงพอ” ต่อครอบครัว? สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำประกันชีวิตคือคุณภาพชีวิตของผู้รับผลประโยชน์ หรือคนในครอบของคุณนั่งเอง เพราะฉะนั้น แม้ว่าคุณจะคิดว่าตัวเลขกลมๆ เช่น 1 ล้าน หรือ 10 ล้าน “น่าจะพอ” สำหรับเขา ผมแนะนำว่าให้คุยเรื่องนี้แบบเปิดใจกับพวกเขาเลยดีกว่าครับ ว่าตัวเลขประมาณนี้เพียงพอไหมเมื่อคุณจากไป แน่นอนว่าไม่มีใคร “โอเค” กับการจากไปของคนรักอยู่แล้ว แต่หากเกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝันขึ้นมา คุณจะอุ่นใจได้ที่คุณได้ให้เสียงของพวกเขาเป็นส่วนสำคัญในการคำนวนทุนประกันให้พอกับทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายในอนาคตไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ทุนประกันชีวิตก้อนนี้ สามารถทำอะไรได้อีกบ้างไหม? สมมุติว่าเมื่อปรึกษากันแล้วว่า 10 ล้านบาทคือทุนประกันที่น่าจะพอกับรายจ่ายประจำวันและรายจ่ายรายการใหญ่ๆ เช่น สุขภาพหรือการศึกษา แต่เท่านั้นไม่พอ คุณควรคิดเผื่อให้ทุนประกันทำหน้าที่เป็น “กองทุนครอบครัว” ที่จะคอยทำหน้าที่แทนตัวคุณเสมือนว่าคุณยังอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่คู่ครองของคุณพร้อมทำหน้าที่บริหารเงินก้อนนั้น ตัวอย่างเช่น ทุนประกัน 10 ล้านบาท หลังจากที่คุณเสียชีวิตหากคู่ครองของคุณสามารถบริหารให้ทุนประกัน 10 ล้านบาทนี้งอกเงยได้ปีละเฉลี่ย 5% มันจะทำให้ครอบครัวคุณมี “เงินใหม่” ที่งอกออกมาจากก้อนทุนประกันนี้ได้เฉลี่ยมากกว่า 5 แสนบาททุกปี ซึ่งหากครอบครัวคุณคาดว่าจะมีรายจ่ายเกิน 5 แสนบาทต่อปีแน่ๆ ทุนประกันที่ 10 ล้านบาทที่คิดว่าพอนี้ ก็อาจไม่เพียงพอนะครับ ได้คำนวนหนี้สินอย่างครบถ้วนแล้วหรือยัง? หนี้สินเป็น “รายจ่ายอนาคต” ที่หลายคนมักลืมเวลาคำนวนทุนประกัน รายการหนี้สินที่ควรคำนึงถึงมีตั้งแต่ เงินกู้จากธนาคาร ไม่ว่าจะเพื่อธุรกิจ ผ่อนบ้าน หรือผ่อนรถยนต์ หนี้บัตรเครดิตค้าง หนี้ภาษีอากรค้าง ฯลฯ ทั้งหมดนี้ควรเป็นส่วนหนึ่งในการคำนวนทุนประกัน เนื่องจากเราไม่ต้องการให้คนข้างหลังต้องมาแบกภาระหนี้สิน โดยเฉพาะในกรณีที่จ่ายไม่ไหวจนอาจถูกยึดบ้านซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของพวกเขา เชื่อว่าทั้ง 3 คำถามข้างต้นคงพอจะทำให้คุณพอเห็นภาพของการคำนวนทุนประกันชีวิตที่เหมาะกับคุณคร่าวๆ ได้นะครับ เพื่อให้คุณกลับมารีเช็คตัวเองได้ว่าควรต้องเตรียมพร้อมและมองในส่วนไหนบ้างที่จะมีประกันชีวิตที่ “ลงตัวที่สุด” กับตัวคุณและครอบครัวครับ แท็กที่เกี่ยวข้อง : #ประกันชีวิต #ประกันสุขภาพ #ประกันการออม #ประกันควบการลงทุน #ประกันเกษียณ #ประกันโรคร้ายแรง #ประกันสุขภาพเด็ก #ประกันกลุ่ม คือการชดเชยรายได้ที่ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากการเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือชราภาพ โดยบริษัทประกันชีวิต (บริษัทฯ) จะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตการทำประกันชีวิตมีประโยชน์หลายประการ เช่น
1. ให้ความคุ้มครอง ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องการเงินหรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นของครอบครัว (เช่น หนี้สิน) อันเนื่องมาจากการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย 1. ความรู้เบื้องต้นผู้เกี่ยวข้องกับสัญญาประกันชีวิต ประกอบด้วย 3 ฝ่าย ได้แก่1. ผู้รับประกันภัยคือบริษัทประกันชีวิต ซึ่งหมายถึงบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิต เพื่อรับประกันต่อความสูญเสียหรือความเสียหายต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยสัญญาว่าจะจ่ายชดเชยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับผลประโยชน์เมื่อมีการเสียชีวิต และอาจมีความคุ้มครองอื่น ๆ เช่น การประกันอุบัติเหตุและสูญเสียอวัยวะ การประกันกรณีทุพพลภาพ หรือการประกันสุขภาพ (ดูรายชื่อบริษัท) 2. ผู้เอาประกันภัยคือบุคคลที่ตกลงทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทฯ โดยอาศัยสาเหตุของการมีชีวิตหรือการตายเป็นเงื่อนไขในการจ่ายเงินประกันชีวิต 3. ผู้รับประโยชน์คือบุคคลที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตว่าจะเป็นผู้รับเงินประกันชีวิตตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ประเภทของการประกันชีวิตการประกันชีวิต แยกออกได้เป็น 3 ประเภทคือ1. ประเภทสามัญ (Ordinary Life Insurance)คือการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูงตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทฯ 2. ประเภทอุตสาหกรรม (Industrial Life Insurance)คือการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำ ตั้งแต่ 10,000 - 30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือน และไม่มีการตรวจสุขภาพ ดังนั้น จึงมีระยะเวลารอคอยคือระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อพิสูจน์สุขภาพของผู้เอาประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลารอคอย บริษัทฯ จะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมด 3. ประเภทกลุ่ม (Group Life Insurance)คือการประกันชีวิตบุคคลหลายคนภายใต้กรมธรรม์ฉบับเดียว ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันภัยอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทฯ การประกันชีวิตประเภทนี้ ค่าเบี้ยประกันภัยจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภทอุตสาหกรรม เมื่อพิจารณาจากลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์ แบบการประกันชีวิตพื้นฐานมีอยู่ 4 แบบคือ 01 แบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance)คือการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ โดยบริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ วัตถุประสงค์เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือบุคคลที่อยู่ในความอุปการะเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ หรือใช้สำหรับชำระหนี้ก้อนสุดท้าย 02 แบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance)คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาเอาประกันภัย วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ และไม่มีเงินคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่น ๆ 03 แบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาเอาประกันภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ซึ่งส่วนของการออมทรัพย์คือส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับเงินคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด ความแตกต่างระหว่างประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์กับการฝากเงินกับสถาบันการเงินข้อเปรียบเทียบเงินฝากประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์วัตถุประสงค์การออมทรัพย์คุ้มครองชีวิต (และอื่น ๆ) และออมทรัพย์ผลตอบแทนเมื่อสัญญาสิ้นสุดเงินฝากและดอกเบี้ย - กรณีมีชีวิต (เงินจ่ายคืน/เงินปันผล) - กรณีเสียชีวิต (เงินผลประโยชน์มรณกรรมหรือจำนวนเงินเอาประกันภัย) ลดหย่อนภาษีลดหย่อนภาษีไม่ได้- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท ภาษีจากผลตอบแทน15% (กรณีเงินฝากออมทรัพย์ ดอกเบี้ย 20,000 บาทแรกไม่ต้องเสียภาษี)ไม่ต้องเสียภาษีการฝาก/การจ่ายเบี้ยประกันภัยไม่ต้องฝากสม่ำเสมอจ่ายเบี้ยประกันภัยแบบชำระครั้งเดียวหรือแบบรายงวดการถอนถอนได้ถอนไม่ได้ แต่ต้องยกเลิกกรมธรรม์ (การเวนคืนกรมธรรม์) แต่จะได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวนตามเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายชำระไปแล้วสภาพคล่องสูง สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายต่ำ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เมื่อกรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืน แต่จะได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวนตามเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายชำระไปแล้วความคุ้มครองได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากตามที่กฎหมายกำหนดไม่ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันประกันคุ้มครองเงินฝาก04 แบบบำนาญ (Annuities Insurance)คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือนหรือทุกปี นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไป สำหรับกำหนดเวลาการเริ่มจ่ายเงินบำนาญและระยะเวลาการจ่ายเงินบำนาญขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ ซึ่งผู้เอาประกันภัยควรพิจารณาเลือกแบบบำนาญให้ตรงกับแผนการใช้เงินในอนาคตของตน ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์แตกต่างกับการฝากเงินกับสถาบันเงินในเรื่องการถอนเงิน เนื่องจากการออมด้วยการซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ไม่สามารถถอนเงินได้เหมือนการฝากเงินได้ แต่ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์สามารถเวนคืนกรมธรรม์ได้ ซึ่งมูลค่าเวนคืนตามกรมธรรม์ที่ได้จะถูกหักค่าธรรมเนียมในการเวนคืน2. การพิจารณารูปแบบประกันชีวิตก่อนจะทำประกันชีวิต ผู้บริโภคต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ของการทำประกันชีวิต ระยะเวลาคุ้มครอง จำนวนเงินเอาประกันภัย และความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัยก่อน เช่น ความต้องการ แบบประกันภัยที่เหมาะสม
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ช่วงชีวิตก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้เอาประกันภัยควรนำมาพิจารณาด้วย เช่น ช่วงเริ่มต้นทำงาน : ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ช่วงสร้างครอบครัว เริ่มมีบุตร มีการผ่อนรถ/บ้าน ค่าเล่าเรียนบุตร : ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ก่อนเกษียณ : ประกันชีวิตแบบบำนาญ 3. คำแนะนำในการเลือกและทำสัญญาประกันชีวิต มีดังนี้1. ติดต่อบริษัทฯ โดยตรงหรือผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต2. ศึกษาแบบประกันชีวิตต่าง ๆ เพื่อเลือกแบบประกันชีวิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ โดยพิจารณาจากความเสี่ยงของตนเอง3. เลือกวงเงินเอาประกันภัยที่ต้องการและเหมาะสม โดยควรคำนึงถึงรายได้ประจำที่ได้รับ และความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัย 4. กรอกรายละเอียดในแบบคำขอเอาประกันชีวิต โดยแถลงความจริงทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติการรักษาพยาบาลและคำแถลงเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะการปิดบังในสาระสำคัญเหล่านี้จะเป็นเหตุให้ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ 5. ตรวจสอบความถูกต้องก่อนลงชื่อในแบบคำขอ และเมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว ควรตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง หากพบข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เช่น ชื่อผู้รับประโยชน์หรือชื่อผู้เอาประกันภัยผิดพลาด ให้ทักท้วงบริษัทฯ เพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง 6. จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตตามกำหนด และเก็บใบเสร็จรับเงินไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง และถ้าจ่ายเบี้ยประกันชีวิตผ่านตัวแทน ต้องเรียกใบเสร็จรับเงินชั่วคราวเสมอ 7. แจ้งให้ผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ หรือบุคคลในครอบครัวทราบถึงการทำประกันชีวิต และสถานที่เก็บกรมธรรม์ 8. เก็บรักษากรมธรรม์ให้ดี ถ้าหายต้องไปแจ้งความและขอทำใหม่ ซึ่งจะถูกเก็บค่าธรรมเนียมด้วย
4. การชำระเบี้ยประกันชีวิตประเภทการชำระเบี้ยประกันชีวิต ได้แก่1. ชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียว (single premium)2. ชำระเบี้ยประกันภัยรายงวด (level premium) ซึ่งระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยอาจสั้นกว่าระยะเวลาความคุ้มครอง เช่น ระยะเวลาความคุ้มครอง 10 ปี ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 5 ปี และสามารถกำหนดงวดการจ่ายเป็นรายปี ราย 6 เดือน ราย 3 เดือนหรือรายเดือนก็ได้
|