�ȡѳ�����Ǵ�������ʹ�� ���;�й����� �,��� �ͧ��й���³� �����������ö�ʹ�鹨ҡ��������� � ���� ��С�����ª�ǧ��� �ӡ�ä�ѡ�ǧ㨢ͧ�� �͡��������㹡��ͧ��� ���ŧ�Ҥ��ӡѺ��� ���բ������ ��� ���㨹�� �������ö�Ҩ�����ҷ����������ͧ�ѹ �֧��ͧ���ѡ����������ҧ��Ǣͧ�ȡѳ�� �ȡѳ��֧�ҡ���������⤺ص� �繼����š��ͧ�ǧ� Show
�ȡѳ���ʧ�������Ѻ������ ����ѡ���� �������¤��� ����㴷���Ҵ��� ��ȡѳ�������¶֧�Ѻ����ѡ�������� ������֡ʧ�����״����� ����ͧ���µ�ҧ¡�ͧ�Ѿ��Ѻ ���ǡ������ú�ѹ������ѹ�Ѵ� �ؤ�վ �����͡�ͧ������ �繾���ҹ������ͧ������õ�� �ա����ᴧ ���١��¢ͧ����ҷԵ��Ѻ�ҧ����Ѩ�� �繷����͡�ͧ������ ���Ѻ��������ҧ��з�¨ҡ����������繼��Ѵ��áͧ�Ѿ ����͵���������⤴����բͧ�ҧ�Ҩ�Ѩ�� ��������ԧ�ҡ�ҧ���������ؤ�վ������١�ͧ�������١��� �֧�һ���������ԧ������Ѻ���ռ���繾���«�����١���Ѻ����Թ��� ������������һ��� ����Ҩ֧�龺�Ѻ������ ���㹷���ش�ؤ�վ��������繷����͡�ͧ������ �ؤ�վ�͡ú���Ѻ�ͧ�Ѿ�ͧ�ȡѳ�� ������ͧ��اŧ������ء���ú ���������֡��اŧ�� �ؤ�վ���Ѻ�觵���� ������ǧ��������പ ��ͧ��ا�մ�Թ ����ѡ�����͡ú�Ѻ�ȡѳ�� ������ú�����ҧ�ͧ�Ѿ�ԧ ��� �ͧ�Ѿ�ѡ�� �ѡ�״����� ��ͧ¡�Ѿ��Ѻ ��������ú�ѹ�����ѹ��觢�� �ȡѳ�� ���ú �Ѻ�������ա���� �ȡѳ�� ���ú�Ѻ ����ѡ���� ����ѡ���� ú�Ѻ �ȡѳ�� ������ú�����ҧ������ ����ѡ���� ��зȡѳ�� 㹡���ʴ�⢹ ������õ�� �¡ú ���Ҩ�㹪�ǧ��� �������ŧ�����ȡѳ�� ��ȡѳ�������� �ȡѳ���ͻҡ��ͤӡѺ�ͧ�Ѿ������ ����ѡ���� ��������ͧ��� � Ẻ�Ǻ�Ѵ ���е��������㹪ش����ʴ�㹤��駹�� ������ʧ�����ҷ����÷���ԧ���ȡѳ�� ���Ƿȡѳ������� �Ѵ�ҷ����ú���駹�� 㹪�ǧ���˹��ҹ���ҡ��ͧ�ǧ㨢ͧ�ȡѳ�� ˹��ҹ���仨ҡ�ͧ�Ѿ�����ҹҹ ���Ǿ͡�Ѻ�Ҫ���ú ��������ѡ�����Դ�������ǧ㹵��˹��ҹ ��з�šѺ��������� ���������㹵��˹��ҹ ��ǹ��������ǧ���֧Ἱ�ͧ˹��ҹ��˹�ҹ������ ��µͺ���� �ҡ˹��ҹ���� ��Ц��˹��ҹ������ การแสดงโขนชุด”ยกรบ”นี้เป็นการทำสงครามกันระหว่าง พระราม พระลักษณ์ ไพร่พลวานรกับทศกัณฐ์ พญายักษ์แห่งกรุงลงกา การรบของสองฝ่ายเต็มไปด้วยชั้นเชิงลีลาท่ารำ กระบวนการรบและความสามารถที่มีเอกลักษณ์ประณีตงดงาม ประวัติกระบี่กระบอง กระบี่กระบอง เป็นศิลปะการป้องกันตัวของไทย ซึ่งสืบทอดมาจากสมัยบรรพบุรุษหลาย ชั่วคน จนไม่สามารถที่จะหาแหล่งที่มา และบุคคลผู้เป็นต้นคิดได้ อย่างไรก็ตามกระบี่กระบอง ก็ได้แพร่หลายไปในหมู่คนไทย ปัจจุบันกระบี่กระบองได้กลายเป็นศิลปการกีฬาประจําชาติ ไทยอย่างหนึ่ง มนุษย์เป็นสัตว์ที่อ่อนแอ ธรรมชาติไม่ได้ให้อาวุธสําหรับการป้องกันตัวมาแต่กําเนิด เหมือนอย่างสัตว์อื่นทั้งหลาย ซึ่งสัตว์เหล่านั้นจะมีเขี้ยว เล็บ งา เขา ความสามารถในการดม กลิ่น ตลอดจนความว่องไวและอื่น ๆ เป็นเครื่องมือในการหาอาหารและป้องกันตัว แต่ร่างกาย ของมนุษย์ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจนได้ระดับที่พอดี เหนือกว่าสัตว์ทั่ว ๆ ไป และที่สําคัญที่สุด คือ มนุษย์มีมันสมองมากกว่าสัตว์อื่นทั้งหมดจึงทําให้อยู่รอดได้ ดังจะเห็นว่ามนุษย์สามารถ สร้างภาษาพูด มีความจําที่ดี รู้จักดัดแปลงธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ รู้จักทําการเพาะปลูก และใช้อาวุธล่าสัตว์ แต่อาวุธของชนแต่ละหมู่เหล่าย่อมแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อม และวัสดุที่เอื้ออํานวย เช่น บางพวกรู้จักใช้ก้อนหินและไม้ บางพวกรู้จักใช้โลหะ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีภัยอีกหลายอย่างที่มนุษย์ต้องเผชิญ และต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ภัยเหล่านี้มี 1. ภัยธรรมชาติ ซึ่งเกิดจาก น้ําท่วม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ ฯลฯ จากภัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาทําให้มนุษย์เริ่มรู้จักใช้อาวุธเพื่อการป้องกันตัวและทําลาย ด้วย การผลิตอาวุธใหม่ ๆ ทุกครั้งได้เพิ่มประสิทธิภาพของการทําลายให้มากขึ้น ๆ โดยเริ่มจากการใช้ ไม้และก้อนหินขว้างปากัน ซึ่งทําให้มีคนตายและบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็ได้เปลี่ยนไป เป็นการใช้ ธนู ดาบ ปืน จนในที่สุดใช้ระเบิด และระเบิดปรมาณู ซึ่งมีอานุภาพในการทําลายมหาศาล ประวัติกระบี่กระบอง ของไทยสมัยก่อน การรบแต่ละครั้ง มนุษย์จะยกพวกเข้าตะลุมบอนกัน อาวุธที่ใช้จึงเป็นพวกที่ ใช้ในระยะใกล้ประชิดตัว ของไทยเราก็รู้จักใช้กระบี่กระบองเป็นอาวุธ และในยามบ้านเมือง
เมื่อกล่าวถึงชาติไทยของเรา เป็นชนชาติที่มีการต่อสู้ ศึกสงครามเพื่อป้องกันประเทศ รักษาความเป็นเอกราชของแผ่นดินที่ยาวนานชนชาติหนึ่ง คนไทยในยุคแรก ๆ ที่เริ่มก่อตั้งแผ่นดินสุวรรณภูมิแหลมทองมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ บรรพบุรุษในยุคดังกล่าวได้อาศัยสติปัญญา ความกล้าหาญ และใช้อาวุธนานาชนิดที่มีอยู่ในท้องถิ่นและกองทัพเข้าต่อสู้ป้องกันมาโดยตลอด เริ่มจากกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ ชาติไทยเป็นชาติที่รักสงบมากกว่าที่จะคิดเบียดเบียนใคร ความที่เป็นชาติที่รักสงบจึงมักถูกรังแกอยู่เรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้เองทำให้ผู้คนในชาติสมัยก่อนต้องดิ้นรนช่วยตัวเองทั้งชายและหญิง บรรดาทหารกล้าตลอดจนชาวบ้านต่างฝึกฝน เสาะหาเรียนวิชาฟันดาบ และการต่อสู้ด้วยอาวุธนานาชนิด จึงเกิดมีการฝึกซ้อมอยู่เป็นประจำ จนถึงขั้นประลองฝีมือ ในสมัยก่อน การประลองแบบแรกเป็นเรื่องจริงจังอาศัยหลักวิชาการต่อสู้เป็นหลัก จึงมีคนนิยมเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าประลองกับชาวต่างชาติ หรือชาวตะวันตกที่ใช้อาวุธของเขาเป็นหลักก็ยิ่งทำให้เป็นที่สนใจมากขึ้น (ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ยังมีการประลองมวย และการต่อสู้ด้วยอาวุธหน้าพระที่นั่งเหมือนกัน) และแบบที่สอง เป็นพัฒนาการเล่นด้วยการแสดง ทำเลียนแบบ นัดแนะลูกไม้ แต่ไม่มีอันตรายใด ๆ นอกจากบาดเจ็บเมื่อพลาดพลั้งในบางครั้ง ซึ่งมีคนนิยมดูมากขึ้นเช่นกัน เมื่อถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 1 – 2 มักจะเรียกว่า การประลองดาบ การประลองหอก การประลองยิงธนู เป็นต้น และเรียกบรรดาผู้คนที่มีวิชาความรู้เรื่องฟันดาบว่า นักดาบ นำหน้าสำนักหรือหมู่บ้านชุมชนนั้น ๆ เช่น นักดาบจากบ้านบางระจันนักดาบจากกรุงศรีอยุธยา นักดาบจากพุกาม ทหารจากพม่า ลาว เขมร แต่จะไม่มีใคร เรียกว่า นักกระบี่กระบอง เพราะคำว่า กระบี่กระบอง เกิดหลังรัชสมัยของรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กระบี่กระบองนี้เป็นที่สนใจมากในหมู่ผู้ชายไทย ทั้งในราชสํานักและสามัญชน ตามที่กล่าวไปบ้างแล้วในข้างต้น ดังจะ เห็นได้จากในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงโปรดกระบี่กระบองเป็นพิเศษ ทรงเคยศึกษาวิชามวยและวิชากระบี่กระบอง ฟันดาบกับหลวงมล โยธานุโยค ในรัชกาลของพระองค์ จึงโปรดให้มีการตีกระบี่กระบอง และชกมวยไทยหน้าพระที่นั่งในงานสมโภชอยู่เนือง ๆ และโปรดเสด็จทอดพระเนตรและพระราชทานรางวัลแก่ผู้ที่รู้จักกันมากมายในกรุง ทําให้กระบี่กระบองมีกันดาษดื่นและมีมากคณะด้วยกัน นอกจากนี้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอหลายพระองค์ ด้วยกันทรงหัดกระบี่กระบองจนครบวง ในปีขาล พุทธศักราช 2409 เป็นปีที่กําหนดให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงผนวชเป็นสามเณรตามราชประเพณี ครั้นเมื่อทรงผนวชแล้ว โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ แต่พระองค์อย่างราชกุมาร ซึ่งเล่นกระบี่กระบอง เป็นการสมโภชที่หน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เจ้านายที่ทรงกระบี่กระบองในครั้งนั้นคือ คู่ที่ 1 กระบี่ การเล่นกระบี่กระบองในสมัยรัชกาลนี้ เล่นกันแพร่หลายมากทั้งในงานโกนจุก งานบวชนาค งานทอดกฐินทาน งานทอดผ้าป่า ฯลฯ ครั้งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงสนพระทัย ในวิชานาฏศิลป์ และทรงเข้าพระทัยในศิลปของวิชากระบี่กระบองก็ตาม แต่ก็ไม่ทรงโปรดปราน มากเท่ากับพระราชบิดาของพระองค์ดังนั้น ความนิยมในการเล่นกระบี่กระบองจึงเริ่มลดลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีการจัดกีฬาชนิดนี้ขึ้นถวายเพื่อให้ทอดพระเนตรบ้างเป็นครั้งคราว เช่น ในปีพุทธศักราช 2460 กับ 2462 กระทรวงศึกษาธิการได้จัดการแสดงกระบี่กระบองขึ้นถวายทอดพระเนตร ที่สนามหน้าสามัคยาจารยสมาคม เนื่องในงานกรีฑาประจําปี ครั้นมาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) กระบี่กระบองค่อย ๆ หมดไป ๆ จนเกือบจะหาดูไม่ค่อยได้ นับวัน แต่จะสูญสิ้นไปทุกที อนึ่ง นับแต่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเก่ามาเป็นระบอบ ประชาธิปไตยเมื่อปี 2475 รัฐบาลได้พยายามฟื้นฟูประเพณีโดยจัดให้มีงานฉลองวันขึ้นปีใหม่ อย่างครึกครื้น กระบี่กระบองก็ได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยได้จัดให้มีการแสดงกระบี่กระบอง ขึ้นที่สนามหลวงเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2482 ปรากฏว่าประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จนกระทั่ง ปี 2484 ได้มุ่งฟื้นฟูกีฬาประเภทนี้อย่างแท้จริง ปรากฏว่ามีจํานวนคณะกระบี่กระบอง เพิ่มขึ้นมาก วิชากระบี่กระบอง ได้ถูกนำมาทดลองสอน นักเรียนพลศึกษากลาง ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2478 โดยขณะนั้น อาจารย์ นาค เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้มีความสนใจและมีความรู้ทางด้านนี้มากคนหนึ่ง เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนพลศึกษากลาง ได้ทดลองสอนอยู่ 1 ปี ได้ผลเป็นที่พึงพอใจของท่านผู้ใหญ่ จึงได้กําหนดวิชากระบี่กระบองเข้าไว้ในหลักสูตรของประโยคผู้สอนพลศึกษา เมื่อปี 2479 พวกนักเรียนที่จบไปก็ได้รับราชการเป็นครูสอนวิชาพลศึกษาตามจังหวัดต่าง ๆ ได้นําวิชานี้ไปเผยแพร่ ปรากฏว่าประชาชนคนไทยได้ให้ความสนใจในวิชาศิลปของชาติชนิดนี้มาก อาจารย์ นาค เทพหัสดิน ณ อยุธยา บรมครูแห่งวิชากระบี่กระบอง เมื่อมาถึง พ.ศ.2518 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายใหม่ และได้มีการกำหนดให้วิชากระบี่กระบองเป็นส่วนหนึ่งของวิชาพลศึกษา ในรายวิชาบังคับ ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 และต่อมาในปี พ.ศ.2521 กระทรวงศึกษาฯได้ประกาศหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นตามแนวแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2520 และได้กำหนดวิชากระบี่ 1 เป็นวิชาบังคับเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นับแต่นั้นมา ประวัติกระบี่กระบอง รวบรวมข้อมูลโดย Educatepark.com ที่มาของคำว่า กระบี่กระบองคำว่า กระบี่กระบอง มีคำกล่าวถึงที่มาของคำนี้อยู่หลายประการ แต่ยังมีเหตุผลที่น่าคิดและน่าเชื่อถือได้อีก ประการหนึ่ง กล่าวคือ เรื่องรามเกียรติ์ กระบี่ หมายถึง หัวหน้าฝ่ายลิง (หนุมาน) ถือตรีหรือสามง่ามสั้น ๆ เป็นอาวุธ ลิงรูปร่างเล็กเคลื่อนไหวเร็ว แคล่วคล่องว่องไว ลูกน้องพลลิงทั้งหลายบางตัวก็ใช้พระขรรค์เป็นอาวุธ กระบอง หมายถึง พวกยักษ์ที่พกกระบองเป็นอาวุธ ยักษ์มีรูปร่างใหญ่โต เคลื่อนไหวช้า ฉะนั้นคำว่า กระบี่ จึงถูกนำมาเป็นคำเรียกแยกให้รู้ว่าอาวุธสั้นทั้ง หลายจะรวมเรียกว่า กระบี่ ซึ่งมี ดาบ โล่ ดั้ง เขน ไม้ศอกสั้น มีดสั้น พระขรรค์ เคียว ขวาน ตรี สามง่ามสั้น และ สีโหล่ ส่วน กระบอง มาจาก ยักษ์ ที่ถือกระบองเป็นอาวุธยักษ์รูปร่างใหญ่โตและ การเคลื่อนไหวไม่ไวเท่าลิง อาวุธนี้จึงถูกจัดเรียกว่า กระบอง ไม่ว่าสั้นหรือยาวเป็นหัวหน้า ให้ความหมายรวมเป็นของยาวทั้งมวล ถ้าพูดตามความ จริงแล้วการเคลื่อนไหวการต่อสู้จะทำได้ดีซึ่งส่วนมากจะเป็นวงนอก ส่วนของสั้นจะทำได้ทั้งวงนอกและวงใน ฉะนั้นคำว่า กระบอง จึงถูกแยกเรียกเป็นที่รวมของอาวุธยาวที่ใช้แสดงทั้งหมด เช่น พลอง กระบอง ง้าวทุกชนิด โตมร ทวน หอก เป็นต้น การเรียกกระบี่กระบองยังมีหลักฐานให้เห็นชัดในเรื่องอาวุธที่นิยมใช้แสดงและเล่นกัน คือ คู่ของไม้ศอกสั้นกับพลอง นั่นคือความหมายที่ถูกจัดให้เห็นว่า อาวุธสั้นคือลิง ผู้แสดงจะแสดงถึงหลักวิชาความคล่องแคล่วว่องไว ส่วนพลองหรือกระบองคือตัวแทนของยักษ์เป็นประเภทอาวุธยาว ประวัติกระบี่กระบอง จบลงตรงนี้ ในส่วนต่อไป เป็นประโยชน์ของกระบี่กระบอง และการรำกระบี่กระบอง ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคปฏิบัติของวิชากระบี่กระบอง และศิลปะวัฒนธรรมของไทย ประโยชน์ของการเล่น กีฬากระบี่กระบองกระบี่กระบองย่อมมีคุณประโยชน์ต่อผู้เล่นเอนกประการ แต่สามารถสรุปรวมเป็นข้อ ใหญ่ ๆ ได้ 5 ข้อด้วยกันดังนี้ คือ 1. เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการป้องกันตัว ผู้ที่ได้ร่ําเรียนทางด้านนี้มาสามารถนํามาใช้ได้ใน ยามคับขัน เช่นในกรณีที่มีศัตรูจะทําร้ายเราเราก็สามารถนําวิชากระบี่กระบองมาใช้ป้องกันตัว ผ่อนหนักให้เป็นเบา คือแทนที่จะเจ็บตัวมากก็กลายเป็นเจ็บตัวน้อยลง หรืออาจจะไม่เป็นอะไร เลย และในขณะเดียวกันก็ยังสามารถทําร้ายคู่ต่อสู้ได้อีกด้วย หรือในกรณีที่อาวุธของเราเสียเปรียบ เช่น เขามีดาบแต่เรามีไม้ เข้ามีไม้ยาวแต่เรามีไม้สั้น ราก็ยังเอาชนะได้ และ ขณะเดียวกันก็มีวิธีทำให้อาวุธของศัตรูเป็นประโยชน์แก่เราโดยกลับไปทำลายเจ้าของ ๆ มันเอง 2. กระบี่กระบองเป็นพลศึกษาที่ดีอย่างหนึ่ง กล่าวคือเป็นการออกกําลังกายโดยใช้ทุก ส่วนของร่างกาย คือ มีทั้ง ยืน เดิน วิ่ง นั่ง กระโดด ฯลฯ ต้องใช้กําลังพอสมควร เป็นกีฬา ที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ไม่จําเป็นต้องเหมาะกับผู้ชายเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นกีฬาที่สร้าง ความสนุกสนานให้ทั้งผู้เล่นและผู้ดใช้อุปกรณ์น้อยหาง่าย ทนทาน และการเล่นไม่เปลืองสถานที่ แต่ก็มีอันตรายบ้างในกรณีที่พลาดพลั้ง 3. กระบี่กระบองเป็นกีฬาที่ฝึกน้ําใจอย่างดีเลิศ ความกล้าหาญในเวลาเผชิญกับศัตรู ให้มีสติมั่นคง ฝึกความทรหดอดทนของร่างกาย เพราะในเวลาฝึกซ้อมไม่มีการใส่เกราะป้องกัน ตัว ผู้ฝึกอาจได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เช่น ฟกช้ําดําเขียว แตกหรือหักบ้าง เนื่องจากในการฝึก กระบี่กระบองไม่มีกติกาห้ามหรือให้เว้นจากการตีส่วนนั้นส่วนนี้ของร่างกาย แต่ให้ตีได้ทุกที่เมื่อ มีโอกาส เพราะในการเผชิญหน้ากับศัตรูจริง ๆ นั้นก็ไม่มีกติกาเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ ผู้เล่นที่จะต้องป้องกันตัวเอง และจะต้องมีน้ําใจเป็นนักกีฬา จะถือโทษโกรธเคืองไม่ได้ใน กรณีที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้เล่นจะต้องมีใจยุติธรรมและมีความรับผิดชอบ กล่าวคือต้องไม่ใช้วิชานี้ ไปในทางที่ผิด สรุป ประวัติกระบี่กระบอง 4. ช่วยฝึกปฏิภาณไหวพริบความว่องไว เพราะการเล่นกระบี่กระบอง ผู้เล่นจะเผลอ ตัวไม่ได้เลย การเผลอตัวเท่ากับเป็นการเปิดช่องว่างให้ศัตรู สมองจะต้องสั่งการอยู่ตลอดเวลา อวัยวะทุกส่วนของร่างกายจะต้องทํางานสัมพันธ์กัน หูตาต้องไว ศัตรูจะเคลื่อนไหวทางไหน ต้องเห็นและรับรู้เสมอ แขน ขา มือ เท้า จะต้องเคลื่อนไหวให้สอดคล้องรวดเร็ว มิฉะนั้น จะพลั้งพลาดได้ 5. วิชากระบี่กระบองเป็นศิลปการป้องกันตัวประจําชาติไทย มีทั้งประโยชน์ ความ สนุกสนานและความสวยงามทางด้านศิลปรวมอยู่ด้วย จึงทําให้กระบี่กระบองเป็นศิลปการแสดง ที่เชิดหน้าชูตาของไทย สามารถอวดชาวต่างชาติได้ จึงนับว่าเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของไทย เราที่ควรจะได้รับการฟื้นฟูและรักษาไว้ การรำกระบี่กระบอง ขึ้นพรหมนั่งกระบี่การรำขึ้นพรหมสี่หน้า ถือเป็นประเพณีเบื้องต้นก่อนที่จะรำไม้รำ หรือฝึกตีไม้ต่าง ๆ มี 2 ท่า การขึ้นพรหมนั่ง
การขึ้นพรหมยืน
. ท่ารำกระบี่กระบอง ไม้รำกระบี่กระบองไม้รำกระบี่กระบอง 12 ไม้รำ 1. ไม้รำที่ 1 ลอยชาย ทิศในการเดิน เดินเฉียงแบบสลับฟันปลาเริ่มจากท่าคุมรำ
2. ไม้รำที่ 2 ควงทัด ทิศทางในการเดินสลับปลาจากท่าคุมรำ
3. ไม้รำที่ 3 เสือลากหาง ทิศทางในการเดิน เดินตรงไปข้างหน้าเริ่มจากท่าคุม
4. ไม้รำที่ 4 ตั้งศอก ทิศทางในการเดิน เดินเฉียงสลับฟันปลา เริ่มจากท่าคุม
5. ไม้รำที่ 5 จ้วงหน้าจ้วงหลัง ทิศทางการเดินตรงไปข้างหน้า เริ่มจากท่าคุมรำ
6. ไม้รำที่ 6 ปกหน้าปกหลัง ทิศทางเดิน เดินตรงไปข้างหน้า เริ่มจากท่าคุมรำ
7. ไม้รำที่ 7 ท่ายักษ์ ทิศทางการเดิน เดินตรงไปข้างหน้า เริ่มจากท่าคุมรำ
8. ไม้รำที่ 8 สอยดาว ทิศทางการเดิน เดินตรงไปข้างหน้า เริ่มจากท่าคุมรำ
9. ไม้รำที่ 9 ควงแตะ ทิศทางการเดินตรงไปข้างหน้า เริ่มจากท่าคุมรำ
10. ไม้รำที่ 10 หนุมานแหวกฟองน้ำ ทิศทางเดิน เดินตรงไปข้างหน้า, กลับหลังหัน, ขวาหัน เริ่มจากท่าคุมรำ
11. ไม้รำที่ 11 ลดล่อ ทิศทางเดิน เดินตรงไปข้างหน้าโดยการพลิกตัวขวา – ซ้าย เริ่มจากท่าคุมรำ
12. ไม้รำที่ 12 เชิญเทียน ทิศทางเดิน เดินสลับฟันปลาเฉียงขวา เฉียงซ้าย เริ่มจากท่าคุมรำ
ท่าไม้รำทั้ง 12 ไม้รำ (youtube extenal) ท่ารำ 12 ไม้รำ youtube | ประวัติกระบี่กระบอง หมวดอุปกรณ์การเล่นกระบี่กระบอง1. สนาม ไม่จํากัดขอบเขต บริเวณ จะเล่นในที่แจ้งหรือที่ร่มก็ได้ แต่ควรจะมีบริเวณ กว้างพอสมควร ไม่มีสิ่งกีดขวาง เพราะการเล่นกีฬาชนิดนี้มีทั้งรุกและรับ ถ้าบริเวณแคบจะ ทําให้เล่นได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งที่อยู่ใกล้เคียงได้ด้วย 2. เครื่องกระบี่กระบอง เครื่องกระบี่กระบองได้จําลองดัดแปลงมาจากเครื่องอาวุธ ของไทยในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้ในระยะประชิดตัวหรือขั้นตะลุมบอน อันได้แก่ กระบี่ ดาบ กั้นหยัน หอก ทวน ง้าว ของ้าว โตมร แหลน หลาว ตะบอง พลอง มีด และกริช ส่วน เครื่องป้องกันอาวุธนั้นมี ดั้ง เขน และโล่ห์ ส่วนเครื่องกระบี่กระบองนั้นมี กระบี่ ดาบ ง้าว พลอง ดั้ง เขน โล่ห์ และไม้สั้น แต่เครื่องกระบี่ที่จําลองจากอาวุธจริง ๆ นั้นมีเพียง กระบี่ ดาบ ง้าว และพลองเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็เอาของจริงมาเล่น อุปกรณ์เหล่านี้ นักกระบี่กระบอง มักเรียกว่า เครื่องไม้ อุปกรณ์กระบี่กระบองที่ใช้ในการเรียน เครื่องกระบี่ทั้งหมดแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ1. เครื่องไม้รำ ได้แก่เครื่องกระบี่ที่จําลองมาจากอาวุธจริง มุ่งทางด้านสวยงาม มี ลวดลายวิจิตร บอบบางไม่แข็งแรง ใช้สําหรับคําอวดกันเวลารําจะต้องระวังไม่ให้เครื่องไม้ กระทบกัน จะต้องระวังที่สุด แต่บางครั้งใช้อาวุธจริงแทนก็มี 2. เครื่องไม้ตี ได้แก่เครื่องกระบี่ที่จําลองมาจากอาวุธจริง แต่เอาไว้สําหรับตี ดังนั้น ต้องทําให้เหนียว แข็งแรง เบา และทนทาน เครื่องกระบี่กระบองที่จะอธิบายต่อไปนี้ จะแยกเป็นลักษณะของอาวุธจริง ลักษณะ จําลองมาเป็นเครื่องไม้ และลักษณะจําลองมาเป็นเครื่องไม้ตี กระบี่กระบี่กระบี่จริง มีลักษณะแบนตรง และปลายแหลม ยาวประมาณ 90 ซ.ม. ทําด้วย เหล็ก ใช้สําหรับฟันและแทง น้ําหนักไม่สู้มาก พอเหมาะสําหรับถือมือเดียว โดยมากมักทําให้ พอเหมาะกับมือผู้ใช้เพื่อจะได้ใช้ได้คล่องและถนัดมือ กระบี่ประกอบด้วย ตัวกระปี ด้ามกระบี โกร่งกระบี และฝักกระบี่ ตัวกระบี่ มีรูปตรง แบน ปลายแหลม น้ําหนักส่วนมากไปตกอยู่ที่ด้าม และเพื่อให้ น้ําหนักมีน้อยในตอนปลายและตอนกลางในระหว่างคมและสันจึงทําเป็นร่องทั้งสองข้าง ริม ของร่องตอนบนจึงนูนเป็นสันขึ้นมาและตอนท้ายของตัวกระบีนี้ได้บากเนื้อเหล็กเรียวลงไป เพื่อทํากันสําหรับติดกับด้าม กระบี่ มีรูปร่างลักษณะเหมือนกระบี่จริง ยาวประมาณ 100 ซ.ม. โดยมากตัว กระบี่ทําด้วยหวายเทศ ใหญ่กว่าหัวแม่มือเล็กน้อย ส่วนปลายเล็กเรียว และถักด้วยเชือกเส้น เล็ก ๆ โดยรอบ แล้วลงรักปิดทอง ด้ามถักและหุ้มด้วยกํามะหยี โกร่งทําด้วยหนังทึบทั้งแผ่น ลงรักปิดทอง ซึ่งเขียนลวดลายไทย เช่น ลายเทพพนม หรือลายลดน้ํา เป็นต้น กระบี่รํานี้ บางทีเขาก็ทําด้วยไม้ แล้วประดับด้วยกระจกชิ้นเล็ก ๆ เป็นลวดลายตลอดวัน กระบี่ดี ทําเช่นเดียวกันกับกระบี่รําทุกประการ ส่วนตอนที่ถักและโกร่งทําด้วยรักโดย ตลอด การที่ทําด้วยหวายเทศนี้ก็เพราะหวายชนิดนี้เบาและเหนียวดีมาก แต่ถ้าหวายเทศหาไม่ ได้จริง ๆ แล้วจะใช้หวายโปร่งแทนก็ได้ แต่ไม่ดีเท่า เพื่อให้กีฬานี้สนุกสนานเผ็ดร้อนยิ่งขึ้น จึงมีคณะกระบี่กระบองหลายคณะจัดทํากระบี่รบขึ้นเป็นพิเศษ คือ ตัว ด้าม และโกร่งยังคง เหมือนเดิม แต่ส่วนปลายของตัวกระบี่ต่อด้วยหนังควายที่ควั่นไว้เป็นเกลียวแล้วถักหุ้มด้วยเชือก เส้นเล็ก ๆ แล้วทาด้วยรัก ปลายกระบี่ก็จะโอนอ่อนไปมาดุจแซ่ ผู้เล่นจะต้องตั้งรับให้ดี ถ้าผู้เล่น รับลึกให้ถูกตรงปลายหวายเข้า ปลายแส้ก็จะตวัดไปถูกตัว และถ้ารับตรงปลายแส้ แส้ก็จะรับ ไว้ไม่อยู่ จะหลุดเลื่อนไปโดนตัวจนได้ ผู้ที่จะเล่นแบบนี้ต้องรู้จักอดทนต่อความเจ็บปวด ดาบดาบดาบจริง เป็นอาวุธใช้สําหรับฟันและแทง ตัวด้ามทําด้วยเหล็กอย่างดี มีรูปแบน และโค้งตอนปลายเล็กน้อย โดยทั่ว ๆ ไปของดาบนั้นตอนโคนเล็กแล้วค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นตามลําดับ ตรงกลางจะป๋องและใหญ่แล้วค่อย ๆ เล็กลงจนปลายแหลม ยาวประมาณ 90 ซ.ม. น้ําหนัก ส่วนมากไปตกอยู่ตอนปลาย ทั้งนี้ก็เพราะต้องการให้เป็นการเพิ่มกําลังในเวลาฟัน ดาบประกอบไปด้วย ตัวดาบ กะบังดาบ และฝักดาบ ดาบรำ มีลักษณะคล้ายดาบจริง แต่ปลายตัด ทําด้วยไม้เบา ๆ แล้วลงรักปิดทอง หรือประดับด้วยกระจกเล็ก ๆ เพื่อความสวยงาม ง้าวง้าวง้าวจริง เป็นอาวุธสําหรับฟันและแทง ตัวจ้าวทําด้วยเหล็กอย่างดี มีรูปแบนและ โค้งตอนปลายเล็กน้อย ยาวประมาณ 220 ซ.ม. ใช้ต่อสู้ในระยะไกลเพราะมีด้ามยาวมาก นอกจาก จะใช้ต่อสู้กันบนพื้นดินแล้ว เขามักสู้กันบนหลังช้าง ซึ่งเติมขอเข้าไปที่โคนตัวจ้าวสําหรับใช้บังคับช้างที่เราเรียกกันว่า “ของ้าว” ง้าวประกอบด้วย ตัวง่าย ด้ามง้าว และกะบังข้าว ง้าวรำ มีลักษณะเช่นเดียวกับง้าวจริง แต่ทําให้งดงามขึ้น พลอง หรือ สี่ศอกพลอง หรือ สี่ศอกพลองจริง เป็นอาวุธใช้สําหรับตี เป็นท่อนกลมยาว 4 ศอก ใหญ่เท่ากันตลอดด้าม ทําด้วยไม้หรือ โลหะก็มี เวลาใช้ให้จับตรงกลางแล้วใช้ได้ทั้ง 2 ด้าน พลองรำ ลักษณะคล้ายพลองจริง โดยมากทําด้วยรากไทรย้อย เพราะมีคุณสมบัติ ตรง เบา เหนียว เลือกเอาที่มีลายสวย ๆ ขัดให้ขึ้นเงา ตอนปลายหุ้มด้วยผ้ากํามะหยี่ ผ้ายก หรือผ้าแพรสวย ๆ ตั้งตั้งตั้งเป็นเครื่องป้องกันอาวุธชนิดหนึ่ง ใช้คู่กับดาบ ใช้ป้องกันเวลาข้าศึกฟันหรือแทง มาเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาว ๆ โอ้ง กว้างประมาณ 15 ซ.ม. ยาวประมาณ 100 ซ.ม. ทําด้วยหนังสัตว์ หรือหวาย หรือไม้ปนกัน ประกอบด้วยตัวตั้งและมือถือ เขนเขนเป็นเครื่องป้องกันตัวใช้คู่กับดาบ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบน ๆ ทําด้วยหนังดิบ ด้าน นอกมักลงรักปิดทอง ทําลายสวยงาม ด้านในมีมือถือเช่นเดียวกับตั้ง โล่ห์โล่ห์เป็นอาวุธป้องกันตัว มีลักษณะกลม ตรงกลางนูนคล้ายกะทะ ทําด้วยหนังสัตว์ดิบ หรือหวายสานหรือโลหะ ด้านในมีห่วงติดอยู่ 2 ห่วง ห่วงหนึ่งใช้สําหรับสอดแขนเข้าไป อีก ห่วงหนึ่งใช้สําหรับจับกําให้แน่น โล่ห์นี้ใช้คู่กับดาบ ไม้สั้นไม้สั้นใช้สวมเข้ากับแขนท่อนปลายทั้งสองเวลาสู้กับพลอง เป็นท่อนไม้ไทรยาวประมาณ 45 ซ.ม. กว้างและสูงประมาณ 7 ซ.ม. ด้านในทําโค้งเพื่อติดแนบกับแขนท่อนปลายตั้งแต่มือ ขึ้นไปถึงข้อศอก ถ้าผู้เล่นไม้สั้นมีฝีมือดีก็จะสามารถเอาชนะพลองได้ . เครื่องดนตรีประกอบการเล่น | ประวัติกระบี่กระบอง เครื่องดนตรีประกอบการเล่นกระบี่กระบองการมีเครื่องดนตรีประกอบการแสดงกระบี่กระบองและมวยไทยนี้ เราได้รับอิทธิพลมาจากพวกแขกชวา โดยพวกแขกชวาจะใช้เครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการเล่น กริช หอกซัด และมวย เครื่องดนตรีที่ใช้ก็มี “ปีชวาและกลองแขก” เท่านั้น เมื่อไทยเราเห็นดีจึงนํามาใช้บ้าง แต่ได้เพิ่มนิ่งเข้าไป ซึ่งช่วยให้ดนตรีฟังสนุกสนานและเร้าใจขึ้น ฉะนั้นเครื่องดนตรีประกอบการเล่นกระบี่กระบองทั้งหมดจึงมี ประโยชน์ของเครื่องดนตรีประกอบการเล่น1. เพิ่มความสนุกสนานครึกครื้นให้แก่ทั้งผู้เล่นและคนดู นับตั้งแต่เริ่มโหมโรง จะ ทําให้ผู้เล่นมีความกระปรี้กระเปร่าและมีกําลังใจ ผู้ดูก็กระตือรือร้นอยากจะดู และในขณะมี การแสดงดนตรีประกอบ จะช่วยเพิ่มรสชาติให้สนุกยิ่งขึ้น การบรรเลงปีชวา กลองแขก ก็เป็นศิลปอย่างหนึ่ง กล่าวคือ การบรรเลงเพลงต้องให้เหมาะกับ ช่วงเวลาและอาวุธ เพลงที่จะใช้บรรเลงก็ต้องเลือกให้เหมาะกับการแสดง ซึ่งตามนิยมแล้ว ต้องแยกบรรเลงเป็น 3 ตอนดังนี้คือ 1. บรรเลงประกอบการไหว้ครู ซึ่งเป็นประเพณีที่นิยมกัน ผู้ที่เป็นหัวหน้าจะต้อง นําดอกไม้ธูปเทียนขึ้นทําการสักการะบูชาอาจารย์กระบี่กระบองหน้าเครื่องไม้ซึ่งมีผู้แสดงล้วน แต่เป็นศิษย์ห้อมล้อมอยู่ ปีกลองที่บรรเลงประกอบตอนนี้จะใช้เพลง ชมสมุทร เพลงโฉลก เพลงเกาะ หรือเพลงระกําก็ได้ เครื่องแต่งกายของผู้เล่นกระบี่กระบองในสมัยโบราณ นักกระบี่กระบองแต่งตัวแบบนักรบ คือสวมเสื้อยันต์ ไม่มีแขนเสื้อ กางเกงขากว้างยาวครึ่งน่อง ต่อมาในสมัยกลางเปลี่ยนจากกางเกงขากว้างมาเป็นนุ่งผ้าแบบเขมร ซึ่งไม่สะดวกแก่ผู้เล่นนัก เพราะเวลารําจะยกแข้งยกขาได้ไม่ถนัดนัก ปัจจุบันจึงเปลี่ยนมาแต่งกาย แบบนักกีฬาทั่วไป คือใส่กางเกงขาสั้นส่วนเสื้อนั้นจะมีแขนหรือไม่มีแขนก็ได้ สิ่งสําคัญที่สุดในจํานวนเครื่องแต่งกายทั้งหมด ซึ่งจะขาดเสียไม่ได้ คือ “มงคล” รามเกียรติ์ ตอน ยก รบ สื่อ ถึง อะไรเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายทศกัณฐ์ (ยักษ์) และฝ่ายพระราม (พระและกองทัพวานร) การรบที่ทำให้ดูสมจริง และ สื่อให้เห็นการได้เปรียบ เสียเปรียบของคู่ต่อสู้ จึงจำเป็น ต้องมีการใช้การต่อตัวโดยให้ฝ่ายได้เปรียบอยู่เหนือฝ่าย ที่เสียเปรียบ ซึ่งการต่อตัวในลักษณะนี้ ภาษาทางนาฏศิลป์
การแสดงโขน มีเรื่องอะไรบ้างเรื่องที่ใช้แสดงโขน เรื่องที่ใช้แสดงโขน คือเรื่องรามเกียรติ์ มีบางสมัยที่นำเอาวรรณกรรมเรื่องอื่นมาแสดงโขน แต่ไม่ได้รับความนิยม มีข้อถามชวนคิดว่า ทำไมโขนจึงแสดงแต่เรื่องรามเกียรติ์เพียงเรื่องเดียว
ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนยกรบควรบรรเลงดนตรีลักษณะใด๑. โขนกลางแปลง เป็นการแสดงโขนบนพื้นกลางสนาม ไม่ต้องสร้างโรง ใช้ภูมิประเทศ ธรรมชาติเป็นฉากในการแสดง ผู้แสดงเป็นชายล้วน ตัวละครทุกตัวต้องสวมหัวโขน นิยมแสดงตอนยกทัพรบกันเป็นพื้น จึงแบ่งผู้แสดงออกเป็น ๒ ฝ่ายผลัดกันออกมาแสดงดำเนินเรื่องดังนั้นจึงต้องใช้วงปี่พาทย์ประกอบการแสดงพร้อมกัน ๒ วง ไม่มีบทร้อง มีแต่บทพากย์และเจรจา ...
สรุปเรื่องโขนเป็นอย่างไรโขน เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่มีความสง่างาม อลังการและอ่อนช้อย การแสดงประเภทหนึ่งที่ใช้ท่ารำตามแบบละครใน แตกต่างเพียงท่ารำที่มีการเพิ่มตัวแสดง เปลี่ยนทำนองเพลงที่ใช้ในการดำเนินเรื่องไม่เหมือนกับละคร แสดงเป็นเรื่องราวโดยลำดับก่อนหลังเหมือนละครทุกประการ ซึ่งไม่เรียกการแสดงเหล่านี้ว่าละครแต่เรียกว่าโขนแทน มีประวัติ ...
|