โรงงานอุตสาหกรรมในภาคใดของทวีปยุโรป

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

โรงงานอุตสาหกรรมในภาคใดของทวีปยุโรป

โรงงานปั่นด้ายในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

โรงงานอุตสาหกรรมในภาคใดของทวีปยุโรป

เครื่องจักรไอน้ำของเจมส์ วัตต์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการปฏิวัติอุตสาหกรรม

โรงงานอุตสาหกรรมในภาคใดของทวีปยุโรป

ภาพ เหล็กและถ่านหิน โดยวิลเลียม เบลล์ สกอตต์, ค.ศ. 1855-60

การปฏิวัติอุตสาหกรรม (อังกฤษ: Industrial Revolution) คือช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1760 ถึง ค.ศ. 1850 เมื่อการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรกรรม การผลิต การทำเหมืองแร่ การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยี ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในขณะนั้น การปฏิวัติเริ่มต้นในสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงแพร่ขยายไปยังยุโรปตะวันตก อเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น จนขยายไปทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมา

การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งส่งผลกระทบในเกือบทุกแง่มุมของชีวิตประจำวันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือการที่รายได้และจำนวนประชากรโดยเฉลี่ยเริ่มที่จะขยายตัวอย่างยั่งยืนในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้สองร้อยปีหลังจาก ค.ศ. 1800 ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อหัวของโลกขยายตัวมากกว่าสิบเท่า ในขณะที่จำนวนประชากรขยายตัวมากกว่าหกเท่า[1] ผู้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โรเบิร์ต อี. ลูคัส จูเนียร์ ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในยุคอุตสาหกรรมว่า: "เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มาตรฐานการดำรงชีวิตของประชาชนธรรมดาส่วนมากเริ่มเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งไม่เคยมีพฤติการณ์ทางเศรษฐกิจเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน"[2]

สหราชอาณาจักรได้วางรากฐานทางกฎหมายและวัฒนธรรมซึ่งเปิดโอกาสให้นายทุนสามารถริเริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรม[3] ตัวแปรหลักที่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยนี้ได้แก่

  • ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขและมั่นคงจากการรวมกันของราชอาณาจักรอังกฤษและราชอาณาจักรสกอตแลนด์
  • ไม่มีข้อกีดกันทางการค้าระหว่างอังกฤษและสกอตแลนด์
  • หลักนิติรัฐ (เคารพความศักดิ์สิทธิ์ของสัญญาการค้า)
  • ความเถรตรงของระบบกฎหมายซึ่งเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งบริษัทมหาชน
  • แนวคิดการค้าเสรี (เศรษฐกิจทุนนิยม)[4]

กระบวนการเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ด้วยการเปลี่ยนผ่านซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบพึ่งพาแรงงานคนและสัตว์เป็นหลักไปเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเครื่องจักรเป็นหลักของสหราชอาณาจักร โดยเริ่มในอุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมแรก อันเป็นผลมาจากการพัฒนากรรมวิธีการหลอมเหล็กและความนิยมในการใช้ถ่านหินโค้กที่แพร่หลายขึ้น[5] การขยายตัวของการค้าขายเป็นผลมาจากการพัฒนาคลอง ถนน และทางรถไฟ[6] ด้วยการเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเกษตรกรรมไปเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพาอุตสาหกรรมการผลิต ทำให้เกิดการไหลบ่าของประชากรจากชนบทเข้าสู่เมืองขนานใหญ่ และก่อให้เกิดการขยายตัวของจำนวนประชากร[7]

การเปลี่ยนแปลงการผลิตครั้งสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือการผลิตชิ้นส่วนซึ่งสามารถสับเปลี่ยนกันได้ เครื่องกลึงและเครื่องกลอื่น ๆ ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้การผลิตสินค้ามีความละเอียดแม่นยำสูงและสามารถผลิตซ้ำเช่นเดิมได้เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น การผลิตปืนซึ่งในอดีตผลิตได้ทีละกระบอกด้วยการนำชิ้นส่วนเข้าประกอบกันอย่างพอดีจนได้ออกมาเป็นหนึ่งกระบอก หากแต่ชิ้นส่วนในการประกอบปืนครั้งนั้นไม่สามารถใช้แทนกันกับชิ้นส่วนจากปืนกระบอกอื่นได้ ด้วยความละเอียดแม่นยำในการผลิตซ้ำจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมนี้เอง ทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของปืนสามารถแลกเปลี่ยนทดแทนกันได้ และยังก่อให้เกิดการผลิตแบบจำนวนมาก ๆ จนส่งผลให้ราคาสินค้าจากการผลิตแบบนี้ลดลงไปอย่างมาก

การกำเนิดขึ้นของเครื่องจักรไอน้ำซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก ความนิยมในอรรถประโยชน์ของกังหันน้ำ และเครื่องจักรที่ใช้พลังงานขับเคลื่อน (โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอ) เป็นตัวสนับสนุนให้กำลังการผลิตขยายตัวอย่างมาก[6] การพัฒนาเครื่องมือโลหะในช่วงสองทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการมีเครื่องจักรการผลิตที่มากขึ้นแลบะนำไปใช้ได้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ผลกระทบเกิดขึ้นแพร่ขยายออกไปทั่วยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนในที่สุดก็ได้แพร่หลายไปทั่วโลก กระบวนการที่ดำเนินไปนี้เรียกว่าการทำให้เป็นอุตสาหกรรม และทำให้เกิดผลกระทบอย่างมโหฬารต่อสังคม[8]

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกซึ่งเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถูกรวมเข้ากับการปฏิวัติครั้งที่สองในราวปี ค.ศ. 1850 เมื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้รับแรงขับเคลื่อนจากการพัฒนาเรือกลไฟ ทางรถไฟ และต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ช่วงของเวลาที่ถูกครอบคลุมด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นหลากหลายและแตกต่างกันออกไปในนักประวัติศาสตร์แต่ละคน อีริก ฮอบส์บอว์ม กล่าวว่ามันเกินขึ้นในสหราชอาณาจักรในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1780 และไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างจริงจังจนกระทั่งทศวรรษที่ 1830 หรือ 1840[9] ขณะที่ ที. เอส. แอชตัน กล่าวว่ามันเกิดขึ้นอย่างฉาบฉวยระหว่างคริสต์ทศวรรษที่ 1760 และ 1830[10]

นักประวัติศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 บางคนอย่าง จอห์น คลาแฟม และนิโคลัส คราฟต์ส ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป และเห็นว่าวาทกรรมในเชิงการปฏิวัตินั้นเป็นการเรียกที่ผิดเพี้ยน ซึ่งนี่ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์[11][12] ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวนั้นเคยนิ่งเฉยไม่มีการเปลี่ยนแปลงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการกำเนิดขึ้นของเศรษฐกิจทุนนิยมสมัยใหม่[13] การปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดยุคของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม[14] นักประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าการเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ตั้งแต่มนุษย์รู้จักการทำเกษตรกรรมและเลี้ยงปศุสัตว์[15]

ศัพท์มูลวิทยา[แก้]

การใช้คำว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งแรกสุดสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นจดหมายของราชทูตฝรั่งเศส หลุยส์-กิโยม อ็อตโต ฉบับวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1799 ประกาศว่าฝรั่งเศสได้เข้าร่วมการแข่งขันในการ อ็องดุซตรีแยลีส (การทำให้เป็นอุตสาหกรรม)[16] ในหนังสือของเรย์มอนด์ วิลเลียมส์ ในปี ค.ศ. 1976 คำหลัก: คำศัพท์แห่งวัฒนธรรมและสังคม เข้าได้กล่าวในคำนำถึงคำว่าอุตสาหกรรม: "แนวคิดด้านการจัดระเบียบสังคมใหม่โดยยึดหลักการบนการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมที่สำคัญซึ่งกระจ่างชัดในโรเบิร์ต เซาท์ธีย์ และโรเบิร์ต โอเวน ระหว่างปี ค.ศ. 1811 และ 1818 และเป็นการแน่แท้เร็วเท่ากับวิลเลียม เบลค ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1790 และวิลเลียม เวิร์ดเวิร์ธ ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษใหม่" การใช้คำว่า "การปฏิวัติอุตสาหกรรม" ใช้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้กลายมาเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1830 ที่ซึ่งเชร็อง-อะด็อฟเฟอ บล็องกิ ได้ให้นิยามไว้ใน ลาเรวอลูซียงอ็องดุซตรีแยล (La révolution industrielle)[17] ฟรีดริช เอ็นเกลส์กล่าวในหนังสือ สภาพความเป็นอยู่ของชนชั้นแรงงานในอังกฤษ ค.ศ. 1844 (The Condition of the Working Class in England in 1844) ว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือ "การปฏิวัติที่เปลี่ยนแปลงสังคมอารยชนในเวลาเดียวกัน" และอาร์โนลด์ โทยินบี คือผู้ที่ทำให้วาทกรรมนี้โด่งดังจาการเขียนรายละเอียดอรรถาธิบายเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 1881[18]

นวัตกรรม[แก้]

โรงงานอุตสาหกรรมในภาคใดของทวีปยุโรป

ตัวอย่างเดียวของเครื่องปั่นด้าย สปินนิงมูล โดยแซมมูเอล ครอมป์ตัน ที่ยังคงหลงเหลืออยู่

จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมถูกเชื่อมโยงอย่างมากกับนวัตกรรมจำนวนหนึ่ง[19] ที่ถูกคิดค้นขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ดังต่อไปนี้:

  • สิ่งทอ – การปั่นฝ้ายโดยใช้เครื่องปั่นด้ายพลังน้ำ วอเทอร์เฟรม ของริชาร์ด อาร์คไรต์, เครื่องปั่นด้าย สปินนิงเจนนี ของเจมส์ ฮาร์กรีฟส์ และเครื่องปั่นด้าย สปินนิงมูล ของแซมมูเอล ครอมป์ตัน (สิ่งประดิษฐ์ผสมผสานระหว่างวอเทอร์เฟรมและสปินนิงเจนนี) สิ่งประดิษฐ์นี้ได้รับสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1769 ก่อนจะหลุดจากสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1783 จากจุดนี้เองที่ตามมาด้วยการสร้างโรงงานปั่นฝ้ายมากมาย เทคโนโลยีนี้ยังถูกนำไปประยุกต์กับการปั่นผ้าเนื้อละเอียดและเส้นด้ายในภายหลังเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการทำผ้าลินินและสิ่งทอต่างๆ การปฏิวัติฝ้ายครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นในเมืองเดอร์บี ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในฉายาว่า "โรงไฟฟ้าแห่งภาคเหนือ"
  • เครื่องจักรไอน้ำ – เครื่องจักรไอน้ำถูกประดิษฐ์โดยเจมส์ วัตต์ และได้รับสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1775 ซึ่งจุดประสงค์หลักก็เพื่อสร้างพลังงานในการสูบน้ำออกจากเหมือง แต่เมื่อถึงยุค ค.ศ. 1780 เป็นต้นไป มันก็ถูกประยุกต์ใช้กับการสร้างพลังงานให้แก่เครื่องจักรชนิดอื่น ๆ ก่อให้เกิดการพัฒนาโรงงานกึ่งอัตโนมัติขึ้นอย่างรวดเร็วในระดับที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้คาดการณ์ไว้มาก่อน โดยเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ที่ผู้คนไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์ แรงงานสัตว์ จากลมหรือจากน้ำอีกต่อไป เครื่องจักรไอน้ำจึงถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย เช่น ใช้สูบน้ำออกจากเหมือง, ใช้ลากล้อเลื่อนบรรทุกถ่านหินขึ้นมายังผิวโลก ใช้เป่าลมเข้าสู่เตาหลอมเหล็ก ใช้บดดินในอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา และใช้สร้างพลังงานแก่โรงงานทุกประเภท กล่าวได้ว่าเป็นเวลามากกว่าหนึ่งร้อยปีที่เครื่องจักรไอน้ำครองตำแหน่งราชาแห่งบรรดาอุตสาหกรรม
  • การผลิตเหล็กกล้า – ในอุตสาหกรรมผลิตเหล็ก ถ่านหินถูกประยุกต์เข้ากับทุกขั้นตอนของการหลอมเหล็กแทนที่ถ่านฟืนจากไม้ การนำถ่านหินมาใช้นี้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมผลิตทองแดงและตะกั่วมาก่อนแล้ว เช่นเดียวกับในอุตสาหกรรมผลิตเหล็กดิบในเตาถลุงทรงสูง แต่ในขั้นที่สองของการผลิตเหล็กดัดต้องพึ่งพานวัตกรรมการขึ้นรูปและการประทับตรา (ซึ่งสิทธิบัตรหมดอายุลงในปี ค.ศ. 1786) และเตาพุดดลิงของเฮนรี คอร์ต (ได้รับสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1784)

"ภาคอุตสาหกรรมชั้นนำ" ข้างต้นทั้งสามภาคนี้คือนวัตกรรมหลักที่ก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดโดยการปฏิวัติอุตสาหกรรมมักจะกล่าวถึงอยู่เสมอ นี้ไม่ได้หมายถึงการดูแคลนนวัตกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึงอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งหากปราศจากนวัตกรรมยุคก่อนหน้าอย่าง สปินนิงเจนนี หรือ ฟลายอิงชัตเทิล หรือการหลอมเหล็กดิบด้วยถ่านฟืน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นครั้งสำคัญนี้ก็อาจจะเป็นไปไม่ได้ ส่วนนวัตกรรมยุคหลังๆ อย่าง หูกทอผ้า หรือ เครื่องจักรไอน้ำแรงดันสูง ของริชาร์ด เทรวิทิค ก็ยังเป็นส่วนสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสหราชอาณาจักร การใช้เครื่องจักรไอน้ำให้พลังงานแก่โรงงานปั่นฝ้ายและโรงงานผลิตเหล็กยังทำให้การตั้งโรงงานสามารถทำในที่ใดก็ได้ตามแต่สะดวก ไม่จำเป็นต้องตั้งใกล้แม่น้ำในการใช้พลังงานจากกังหันน้ำอีกต่อไป

นอกจากนี้การค้นพบวิธีการทำคอนกรีตอีกครั้งในปี ค.ศ. 1756 (บนพื้นฐานมาจากการทำปูนปลาสเตอร์) โดยวิศวกรชาวอังกฤษนามว่า จอห์น สมีตัน ก็ยังมีส่วนสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งความรู้ดังกล่าวสูญหายไปเป็นเวลากว่า 1,300 ปี[20]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

  • Internet Modern History Sourcebook: Industrial Revolution (อังกฤษ)
  • BBC History Home Page: Industrial Revolution (อังกฤษ)

อ้างอิง[แก้]

  1. Maddison, Angus (2003). The World Economy: Historical Statistics. Paris: Development Centre, OECD. pp. 256–62, Tables 8a and 8c.
  2. Lucas, Robert E. Jr. (2002). Lectures on Economic Growth. Cambridge: Harvard University Press. pp. 109–110. ISBN 978-0674016019.
  3. Julian Hoppit, "The Nation, the State, and the First Industrial Revolution," Journal of British Studies (April 2011) 50#2 pp p307-331
  4. "Industrial Revolution," New World Encyclopedia, (http://www.newworldencyclopedia.org/entry/Industrial_Revolution)
  5. Beck B., Roger (1999). World History: Patterns of Interaction. Evanston, Illinois: McDougal Littell.
  6. ↑ 6.0 6.1 Business and Economics. Leading Issues in Economic Development, Oxford University Press US. ISBN 0-19-511589-9 Read it
  7. Redford, Arthur (1976), "Labour migration in England, 1800-1850", p. 6. Manchester University Press, Manchester.
  8. Russell Brown, Lester. Eco-Economy, James & James / Earthscan. ISBN 1-85383-904-3 Read it
  9. Eric Hobsbawm, The Age of Revolution: Europe 1789–1848, Weidenfeld & Nicolson Ltd., p. 27 ISBN 0349104840
  10. Joseph E Inikori. Africans and the Industrial Revolution in England, Cambridge University Press. ISBN 0521010799 Google Books
  11. Berg, Maxine; Hudson, Pat (1992). "Rehabilitating the Industrial Revolution" (PDF). The Economic History Review. 45 (1): 24–50. doi:10.2307/2598327. JSTOR 2598327.
  12. Rehabilitating the Industrial Revolution Archived 9 พฤศจิกายน 2006 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน by Julie Lorenzen, Central Michigan University. Retrieved November 2006.
  13. Robert Lucas Jr. (2003). "The Industrial Revolution". Federal Reserve Bank of Minneapolis. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 November 2007. สืบค้นเมื่อ 14 November 2007. it is fairly clear that up to 1800 or maybe 1750, no society had experienced sustained growth in per capita income. (Eighteenth century population growth also averaged one-third of 1 percent, the same as production growth.) That is, up to about two centuries ago, per capita incomes in all societies were stagnated at around $400 to $800 per year.
  14. Lucas, Robert (2003). "The Industrial Revolution Past and Future". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 November 2007. [consider] annual growth rates of 2.4 percent for the first 60 years of the 20th century, of 1 percent for the entire 19th century, of one-third of 1 percent for the 18th century
  15. McCloskey, Deidre (2004). "Review of The Cambridge Economic History of Modern Britain (edited by Roderick Floud and Paul Johnson), Times Higher Education Supplement, 15 January 2004".
  16. Crouzet, François (1996). "France". ใน Teich, Mikuláš; Porter, Roy (บ.ก.). The industrial revolution in national context: Europe and the USA. Cambridge University Press. p. 45. ISBN 978-0521409407. LCCN 95025377.
  17. BLANQUI Jérôme-Adolphe, Histoire de l'économie politique en Europe depuis les anciens jusqu'à nos jours, 1837, ISBN 978-0-543-94762-8
  18. Hudson, Pat (1992). The Industrial Revolution. London: Edward Arnold. p. 11. ISBN 978-0713165319.
  19. Eric Bond; Sheena Gingerich; Oliver Archer-Antonsen; Liam Purcell; Elizabeth Macklem (17 February 2003). "The Industrial Revolution – Innovations". Industrialrevolution.sea.ca. สืบค้นเมื่อ 30 January 2011.
  20. Encyclopædia Britannica (2008) "Building construction: the reintroduction of modern concrete"

อ่านเพิ่ม[แก้]

  • Ashton, Thomas S. (1948). "The Industrial Revolution (1760–1830)". Oxford University Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 March 2017.
  • Artzrouni, Marc (1990). "Mathematical Investigations of the Escape from the Malthusian Trap". Mathematical Population Studies. 2 (4): 269–287. doi:10.1080/08898489009525313. PMID 12283330.
  • Berlanstein, Lenard R., บ.ก. (1992). The Industrial Revolution and work in nineteenth-century Europe. London and New York: Routledge.
  • Bernstein, Peter L. (1998). Against the Gods: The Remarkable Story of Risk (Reprint ed.). New York: John Wiley & Sons. pp. 135–193. ISBN 978-0471295631.
  • Chambliss, William J. (editor), Problems of Industrial Society, Reading, Massachusetts: Addison-Wesley Publishing Co, 1973. ISBN 978-0201009583
  • Chernow, Ron (2004). Alexander Hamilton. New York: Penguin Books. ISBN 978-0143034759. online
  • Cipolla, Carlo M. The Fontana Economic History of Europe, vol. 3: The Industrial Revolution (1973)
  • Cipolla, Carlo M. The Fontana Economic History of Europe: The Emergence of industrial societies vol 4 part 1 (1973) covers France, Germany, Britain, Habsburg Empire (Austria), Italy, and Low Countries. online
  • Cipolla, Carlo M. The Fontana Economic History of Europe: The Emergence of industrial societies (1973) vol 4 part 2 covers topics online
  • Clapham, J.H. (1930) An Economic History of Modern Britain: The Early Railway Age, 1820–1850 (2nd ed. 1930) online
  • Clapham, J.H. The Economic Development of France and Germany: 1815–1914 (1921) online, a famous classic, filled with details.
  • Clark, Gregory (2007). A Farewell to Alms: A Brief Economic History of the World. Princeton University Press. ISBN 978-0691121352.
  • Crafts, Nicholas. "The first industrial revolution: Resolving the slow growth/rapid industrialization paradox." Journal of the European Economic Association 3.2–3 (2005): 525–534. online
  • Craig, John (1953). The Mint: A History of the London Mint from A.D. 287 to 1948. Cambridge, England: Cambridge University Press. pp. 239–316. ASIN B0000CIHG7.
  • Daunton, M.J. (1995). "Progress and Poverty: An Economic and Social History of Britain, 1700–1850". Oxford University Press.
  • Davies, Glyn (1997) [1994]. A History of Money: From Ancient Times to the Present Day (Reprint ed.). Cardiff: University of Wales Press. pp. 283–353, 464–485. ISBN 978-0708313510.
  • Dunham, Arthur Louis (1955). "The Industrial Revolution in France, 1815–1848". New York: Exposition Press.
  • Gatrell, Peter (2004). "Farm to factory: a reinterpretation of the Soviet industrial revolution". The Economic History Review. 57 (4): 794. doi:10.1111/j.1468-0289.2004.00295_21.x.
  • Green, Constance Mclaughlin. (1939) Holyoke Massachusetts A Case History Of The Industrial Revolution In America online
  • Griffin, Emma (2010). Short History of the British Industrial Revolution. Palgrave.
  • Greenspan, Alan; Wooldridge, Adrian (2018). Capitalism in America: A History. New York: Penguin Press. pp. 29–59. ISBN 978-0735222441.
  • Haber, Ludwig Fritz (1958). The Chemical Industry During the Nineteenth Century: A Study of the Economic Aspect of Applied Chemistry in Europe and North America.
  • Haber, Ludwig Fritz (1971). The Chemical Industry: 1900–1930: International Growth and Technological Change.
  • Hunter, Louis C.; Bryant, Lynwood (1991). A History of Industrial Power in the United States, 1730–1930, Vol. 3: The Transmission of Power. Cambridge, MA: MIT Press. ISBN 978-0262081986.
  • Jacob, Margaret C. (1997). "Scientific Culture and the Making of the Industrial West". Oxford: Oxford University Press.
  • Kindleberger, Charles Poor (1993). A Financial History of Western Europe. Oxford University Press US. ISBN 978-0195077384.
  • Kisch, Herbert (1989). "From Domestic Manufacture to Industrial Revolution The Case of the Rhineland Textile Districts". Oxford University Press.
  • Kornblith, Gary. The Industrial Revolution in America (1997)
  • Kynaston, David (2017). Till Time's Last Sand: A History of the Bank of England, 1694–2013. New York: Bloomsbury. pp. 50–142. ISBN 978-1408868560.
  • Landes, David S. (1969). The Unbound Prometheus: Technological Change and Industrial Development in Western Europe from 1750 to the Present. Cambridge; New York: Press Syndicate of the University of Cambridge. ISBN 978-0521094184.
  • Maddison, Angus (2003). "The World Economy: Historical Statistics". Paris: Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD).
  • Mantoux, Paul (1961) [1928]. The Industrial Revolution in the Eighteenth Century (First English translation 1928 ed.).
  • Martin, Frederick (1876). The History of Lloyd's and of Marine Insurance in Great Britain. London: Macmillan and Company. pp. 161–374. ISBN 978-0341781240.
  • McGraw, Thomas K. (2012). The Founders of Finance: How Hamilton, Gallatin, and Other Immigrants Forged a New Economy. Cambridge, MA: Harvard University Press. ISBN 978-0674066922.
  • McNeil, Ian, บ.ก. (1990). An Encyclopedia of the History of Technology. London: Routledge. ISBN 978-0415147927.
  • Milward, Alan S. and S.B. Saul. The Development of the Economies of Continental Europe: 1850–1914 (1977)
  • Milward, Alan S. and S.B. Saul. The Economic Development of Continental Europe 1780–1870 (1973)
  • Mokyr, Joel (1999), The British Industrial Revolution: An Economic Perspective
  • Olson, James S. Encyclopedia of the Industrial Revolution in America (2001)
  • Pollard, Sidney (1981). "Peaceful Conquest: The Industrialization of Europe, 1760–1970". Oxford University Press.
  • Rappleye, Charles (2010). Robert Morris: Financier of the American Revolution. New York: Simon & Schuster. ISBN 978-1416570912.
  • Rider, Christine, ed. Encyclopedia of the Age of the Industrial Revolution, 1700–1920 (2 vol. 2007)
  • Roe, Joseph Wickham (1916). English and American Tool Builders. New Haven, Connecticut: Yale University Press. LCCN 16011753.. Reprinted by McGraw-Hill, New York and London, 1926 (LCCN 27024075-{{{3}}}); and by Lindsay Publications, Inc., Bradley, Illinois, (ISBN 978-0917914737).
  • Smelser, Neil J. Social Change in the Industrial Revolution: An Application of Theory to the British Cotton Industry (U of Chicago Press, 1959).
  • Staley, David J. ed. Encyclopedia of the History of Invention and Technology (3 vol 2011), 2000 pp แม่แบบ:ISBN?
  • Stearns, Peter N. (1998). "The Industrial Revolution in World History". Westview Press.
  • Smil, Vaclav (1994). "Energy in World History". Westview Press.
  • Snooks, G.D. (2000). "Was the Industrial Revolution Necessary?". London: Routledge.
  • Szostak, Rick (1991). "The Role of Transportation in the Industrial Revolution: A Comparison of England and France". Montreal: McGill-Queen's University Press.
  • Timbs, John (1860). Stories of Inventors and Discoverers in Science and the Useful Arts: A Book for Old and Young. Harper & Brothers.
  • Toynbee, Arnold (1884). Lectures on the Industrial Revolution of the Eighteenth Century in England. ISBN 978-1419129520. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 March 2016. สืบค้นเมื่อ 12 February 2016.
  • Uglow, Jenny (2002). "The Lunar Men: The Friends who made the Future 1730–1810". London: Faber and Faber.
  • Usher, Abbott Payson (1920). "An Introduction to the Industrial History of England". University of Michigan Press.
  • Zmolek, Michael Andrew. Rethinking the industrial revolution: five centuries of transition from agrarian to industrial capitalism in England (2013)

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]