การจัดเก็บภาษีอากรในสมัยกรุงธนบุรี (พ.ศ. 2311 - พ.ศ. 2324) และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1-รัชกาลที่ 3 ระหว่างพ.ศ. 2325-พ.ศ. 2394) Show
การจัดเก็บส่วยสาอากรทั้ง 4 ประเภท ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ถูกกำหนดเป็นรูปแบบการจัดเก็บต่อเนื่องมาจนถึงสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี และตอนต้นรัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 3 พระบามสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ รัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องการใช้เงินในราชการมากกว่าแต่ก่อนพระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเป็นผลให้เกิดการจัดเก็บภาษีขึ้นใหม่ 38 ประเภท ทั้งนี้โดยเป็นภาษีที่เก็บจากการพนัน และจากผลผลิตประเภทต่างๆ จำแนกได้ดังนี้
และในสมัยรัชกาลที่ 3 นี้ พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกอากรซึ่งเคยมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา 2 ชนิดคือ อากรรักษาเกาะ และอากรค่าน้ำ นอกจากการกำหนดให้มีการปรับปรุงการจัดเก็บภาษี โดยการเพิ่มประเภทภาษีอากรที่จัดเก็บ 38 ประเภทข้างต้น พระองค์ยังได้กำหนดให้มีการปรับปรุงรูปแบบการจัดเก็บโดยการนำระบบเจ้าภาษีนายอากรมาใช้กล่าวคือ ให้มีการจัดเก็บภาษีเป็นการผูกขาดโดยเอกชน ทั้งนี้เอกชนผู้ใดประสงค์จะรับเหมาผูกขาดการจัดเก็บภาษีประเภทใด ก็จะเข้ามาร่วมประมูล ผู้ให้ราคาสูงสุดจะเป็นผู้ผูกขาดจัดเก็บ ซึ่งจะเรียกว่า เจ้าภาษีนายอากรรัฐบาลจะมอบอำนาจสิทธิขาดในการจัดเก็บภาษีอากรชนิดนั้นให้ไปดำเนินการ เมื่อถึงเวลากำหนด ผู้ประมูลจะต้องนำเงินภาษีอากรที่จัดเก็บมาส่งให้ครบจำนวนตามที่ประมูลไว้ ดังนั้น คำว่า ภาษี จึงเข้าใจว่าคงเกิดขึ้น ในรัชกาลที่ 3 นี้เอง โดยคาดคะเนกันว่า น่าจะมาจาก คำในภาษาแต้จิ๋วว่า บู้ซี อันหมายถึง สำนักเจ้าพนักงาน ทำการเก็บผลประโยชน์แผ่นดินซึ่งตั้งขึ้นจากระบบเจ้าภาษีนายอากรนี่เอง คำว่าภาษีนี้ จะใช้กับอากรที่เกิดขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 เพื่อให้ฟังดู แตกต่างจากอากรเก่าที่เคยจัดเก็บมาแต่โบราณ ดังที่ปรากฎในหนังสือพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายว่า "...เกิดอากร ขึ้นใหม่ๆ ได้เงินใช้ในราชการแผ่นดิน ดีกว่ากำไรค้าสำเภา อากรเหล่านั้นให้เรียกว่า ภาษี เพราะเป็นของที่เกิดขึ้นใหม่เหมือนหนึ่งเป็นกำไร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะให้เห็นว่าเงินเก่าเท่าใด เกิดขึ้นในรัชกาลของท่านเท่าใด... การบังคับบัญชาอากรเก่าใหม่เหล่านี้ จึงได้แยกออกเป็นสองแผนก อากรเก่าอยู่ในพระคลังมหาสมบัติ อากรใหม่ซึ่งเรียกว่า ภาษี อยู่ในกรมพระคลังสินค้า คงเรียกชื่อว่าอากรอยู่ แต่หวยจีนก.ข. ซึ่งเป็นของเกิดใหม่แต่คล้ายกับอากรบ่อนเบี้ยของเดิม จึงคงเรียกว่าอากร แต่ก็คงยกมาไว้ในพวกภาษีเหมือนกัน" ที่มา ::หนังสือที่ระลึกในการเปิดอาคารกรมสรรพากร 2 กันยายน 2540 ����ѵ���ʵ�� ������ʵ�� �ؤ���Ӥѭ �������з�ջ >> �ѵ���Թ����� (�Ѫ��ŷ�� 1-�Ѫ��ŷ�� 3) ��кҷ���稾�оط��ʹ��Ҩ����š����Ҫ���ʶһ�ҡ�ا�ѵ���Թ������Ҫ�ҹ� ��û���ͧ�ͧ�������ѵ���Թ��� ��������С����� ���ɰ�Ԩ�����ѵ���Թ����� ��Ҿ�ѧ����С���֡�� �����ʹ���Т�������������ླ� ��ó��������Իš��� ��û�ͧ�ѹ�͡�Ҫ�ͧ����� ��������ѹ��Ѻ����ȵ��ѹ��������ѵ���Թ����� ���ɰ�Ԩ�����ѵ���Թ�������ä�ҡѺ��ҧ����� ������ѵ���Թ����� ���ա�ä�Ң�¡Ѻ��ҧ����ȴѧ���
�����ҡ� �������ǹ˹�觢ͧ����ȷ�����������Ѻ��Ѻ��ا����� �͡�ҡ��ä�Ң������ �ѧ��ҡ������¡�������ҡèҡ��ЪҪ� ���͡�� 2 ������ �����ҡ÷�������㹻���� �� 4 ��Դ ���
�����ҡ÷����ҡ��¹͡�����
˹��§ҹ �Թ��Ҽ١�Ҵ �Թ��ҵ�ͧ���� �Թ��Ҽ١�Ҵ ��� �Թ��ҷ��ҧ�Ҫ��õ�ͧ�����ФԴ������ѹ�����ҡ��ͤ�Ҩзӡ�õԴ��ͫ��͢�¡ѹ�µç ���� ���ظ ����ع� �ѧ����Ѱ�֧�١�Ҵ��ë��͢�������ͧ �Թ��ҵ�ͧ���� ��� �Թ��ҷ�����ҡ������Ҥ�ᾧ ��ɮõ�ͧ���Ң�����ҧ�Ҫ��� ���ͷҧ�Ҫ��è����仢������ͤ�ҵ�ҧ����� �����繡�����������������Ѱ �Թ��ҵ�ͧ���� ���� �Ҫ�ҧ �ѧ�� �ҧ ��ɳ� ��� �Թ���
รายได้แผ่นดินหลักในสมัยรัตนโกสินทร์มาจากแหล่งใดประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ กล่าวถึงการค้าสำเภาหลวงที่เป็นแหล่งรายได้หลักในสมัย รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ ๒ พระมหากษัตริย์ทรงใช้เงินที่ได้มาในการแจกเบี้ยหวัด หากปี ใดการค้าสำเภาได้กำไรน้อยไม่พอแจก จะทรงนำผ้าลายมาตีราคาแทนเบี้ยหวัด บางปีก็ ให้ทองคำบางตะพานหรือทองคำจีนแก่ขุนนางแทนแต่หลักฐานก็ชี้ไปที่สมเด็จเจ้าฟ้า กรม หลวงเสนา ...
ภาษีอากรในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นประกอบด้วยอะไรบ้างภาษีของต้องห้ามหกอย่าง (ได้แก่ อากรรังนก, ไม้กฤษณา, นอแรด, งาช้าง, ไม้จันทร์, ไม้หอม) ภาษีพริกไทย (เก็บจากผู้ซื้อลงสำเภา) ภาษีพริกไทย (เก็บจากชาวไร่ที่ปลูกพริกไทย) ภาษีฝาง
ผลผลิตทางการเกษตรที่สําคัญในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีอะไรบ้างสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญได้แก่ข้าว อ้อย และพริกไทยข้าวเป็นสินค้าจัดอยู่ ในลำดับที่ 5 ของสินค้าที่ส่งออกมากตามลำดับ อันได้แก่ น้ำตาล ฝ้าย ไม้หอมและดีบุก ข้าวถือได้ว่าเป็นผลิตผล ทางการเกษตรที่ส่งเป็นสินค้าออกของสยาม แต่ปริมาณการส่งออกไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาวะตามธรรมชาติ ภายในประเทศและความต้องการ ...
วัด มีความสำคัญกับการศึกษาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นอย่างไรตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การศึกษาของคนไทยจะอาศัยวัดเป็นสถานที่อบรมสั่งสอนกุลบุตรทั้งหลาย เช่น การสอนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้และการสอนวิชาช่างต่างๆ เป็นต้น ดังนั้น ผู้ชายไทยทุกคนเมื่อครบ 20 ปี ก็จะต้องเข้าสู่เพศบรรพชิต โดยขณะที่บวชเป็นพระจำพรรษาอยู่ที่วัดก็จะได้รับการอบรมสั่งสอนในด้านการ ...
|