Business analyst จบใหม่ pantip

สวัสดีครับ พอดีตอนนี้ผมเพิ่งเริ่มทำงาน Business Analyst ที่ใหม่ และเพิ่งผ่านมา 1 อาทิตย์ในช่วงที่เขียนพอดี เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ช่วงปรับตัวในที่ทำงานใหม่ให้แบบสดๆร้อนๆฮะ เผื่อจะใช้เป็นตัวช่วยตัดสินใจในการเดินสาย Career Path โดยขอย้ำนะครับ อันนี้เป็นแค่ความรู้สึกช่วงอาทิตย์แรกนะครับ พอผ่านไปอีกสักเดือน สักปี อาจจะเป็นคนละแบบ 55+ ซึ่งถ้าผมกลับมาอ่านอีกที ก็อาจรู้สึกว่า ใช่หรอ!? งั้นใครพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยครับ

“หนัก แต่ก็สนุก เป็นตำแหน่งที่ต้องใช้ความสามารถ ถ้าใครที่ต้องการความ Challenge ก็น่าจะชอบ”

Business Analyst แบบทั่วๆไปเขาทำอะไรหนอ..?

ขอเริ่มจากชื่อตำแหน่งงานที่ผมทำก่อนนะครับ ชื่องานตำแหน่งที่ผมทำอยู่คือ Business Analyst ที่เป็นของฝั่ง IT นะครับ เพื่อนๆอาจจะเคยได้ยินตำแหน่งนี้จากฝั่ง Consult ทางฝั่ง Business หรือทางฝั่ง Data มันไม่เหมือนกันนะครับ เพราะ พวก Scope งานที่ทำนี่ต่างกันลิบลับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องลองศึกษาให้ดีๆก่อนไปสมัครงานและเข้าไปทำครับ

แล้วงานของ Business Analyst ของฝั่ง IT หรือที่เขาชอบเรียกสั้นในวงการว่า BA ปกติเขาทำอะไรกัน? คือ งานหลักของ BA คือการเป็นตัวกลางระหว่าง User กับ Dev ครับ หรือถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆก็คือการที่เราเป็นล่ามแปลภาษาสิ่งที่ User ต้องการ ออกมาให้ Dev ให้เข้าใจได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อนไปถึงมือ Dev จะต้องมีกลั่นกลองคิดวิเคราะห์หลายชั้น จึงบอกได้เลยว่าคนทำตำแหน่งนี้ต้องมีทักษะที่เข้าใจทั้งฝั่ง Business และ Dev ได้ครับ ซึ่งเอาเข้าจริงพวก Business ทางฝั่ง User เราไม่มีทางรู้ทั้งหมดมาก่อนก่อนได้หรอก ดังนั้นทักษะหลักที่ต้องมีของ BA คือ ทักษะที่เราทำยังไงก็ให้ได้ให้เราเรียนรู้สิ่งใหม่จาก User ให้เข้าใจให้ได้เท่ากับ User หรือเอาจริงควรมากกว่า ให้ได้เร็วมากที่สุดครับ

บางคนอาจสงสัยดีเทลลงลึกมากกว่านี้ว่า BA ทำอะไร ซึ่งผมบอกได้เต็มปากเลยว่าอาจบอกแบบชัดเจนไม่ได้ เพราะ ในแต่ละบริษัท Scope ของงาน BA อาจจะไม่เหมือนกัน บางที่อาจจะทำเฉพาะรับ Requirement ของ User และมาทำเอกสารสรุป หรือบางที่อาจจะลงไปถึงทั้งกระบวนการทั้งทำ Test หรือทำจนไปถึงฝั่งขาย โดยบริษัทใหม่ที่ทำผมนี่จะเป็นทำเฉพาะช่วงรับ Requirement ของ User และมีส่วนที่ผมให้ทำเพิ่มเติมคือทำส่วน UX UI ระบบ เพราะ อยู่ในช่วงคนขาด โดยเคสของผมที่จะเล่านี้ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่เป็นเคสแปลกๆอย่างดี

แล้วบริษัทใหม่ที่ผมทำละเป็นบริษัทอะไร อันนี้ขอไม่บอกชื่อครับ เอาเป็นว่าบอกแค่ว่าเป็นบริษัทกลุ่มการเงินไทยที่ผมคิดว่าน่าจะอยู่ระดับท๊อปๆของประเทศไทยแล้วละ และเป็นสเกลที่ใหญ่สุดที่ไม่น่าจะมีใหญ่กว่านี้แล้ว องค์กรก็แบบ Hierarchy สไตล์การทำงานก็มีผสมขึ้นอยู่กับทีม มีทั้งทำแบบ Agile และ Waterfall แล้วแต่โชคว่าจะได้แนวอะไร โดยก่อนหน้านี้ผมก็เคยแต่ทำบริษัทไซส์ Startup จนถึงระดับกลาง สเกลขนาดนี้ก็บอกได้เลยว่าเป็นครั้งแรกครับ โอเคร งั้นมาเริ่มดูประสบการณ์งานวันแรกของผมกันเลยดีกว่า

งานวันแรก

เข้ามาวันแรกในยุคช่วง Covid ก็นึกว่าวันแรกแค่มานั่งที่โต๊ะ ฟังคำแนะนำของรุ่นพี่ชิวๆ กินข้าวฉลองกับเพื่อนใหม่แล้วกลับบ้าน แต่ไม่เลยครับ ในเคสของผมนี่ มาถึงก็เข้ามาในช่วงโปรเจคด่วนพอดี ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย มาตัวเปล่าๆคอมอะไรก็ยังไม่มาให้เลย มาถึงก็บอกว่าให้มาช่วยเติมเต็มด้าน UX UI หน่อย พอดีทีมขาด แล้วก็โดนจับเข้าห้องประชุมเลยครับ

ในห้องประชุมที่มีคนมากกว่า 10 พร้อมกับสมองเปล่าๆของผมที่ไม่ได้กะเตรียมตัวมาทำงานแบบเต็มที่มาอะไรทั้งสิ้น บอกได้เลยว่า “อึน” ครับ ปรับโหมดไม่ทัน

โห! ใครไม่รู้ เต็มไปหมด มีทั้งทีม Outsource ทีม Internal มันอะไรกันหว่า โดยช่วงที่ผมเข้ามาคือช่วงที่ทางทีม BA ได้รับ Requirement จาก User ของผู้ว่าจ้างมาเบื้องต้นแล้ว และกำลังมาอธิบายให้ Dev เข้าใจ เพื่อนำไปพัฒนาต่อ

ช่วงตอนประชุมก็มีตกลงพวกวิธีการทำงานกัน และก็มีคนทำ UI หลักอยู่คนหนึ่ง และผมที่จะเป็นคนมาช่วย Support ซึ่งหลังจากที่ตกลงวันส่งมอบงานอะไรเสร็จ ก็เริ่มมีอะไรแปลกๆ โดยคนที่ทำ UI บอกขอเวลาไป Research จะไม่ทำทันทีเลย และขอแยกตัวไปทำเองก่อน ซึ่งผมก็คิดในใจว่า เอ๊ะ มันยังไง แล้วนี่เราได้เวลา Research เหมือนเขาด้วยไหมเนี่ย? สรุปนี่เราทำบทบาทเป็น Design หรือ BA หว่า?

พอฟังประชุมจบ ผมก็เข้าใจภาพรวมระบบที่ต้องทำรวมๆ แต่เราก็คิดว่าเราเพิ่งเข้าใหม่ เขาคงยังไม่ให้เริ่มทำอะไรหรอกมั่ง ปรากฏว่าอยู่ดีๆก็มี Dev Lead เดินเข้ามา แล้วก็ถามว่า “น้องทำ UI ใช่ไหม” ผมก็ตอบว่า “ใช่ครับ” แบบมึนงง (ในใจคิดว่า “ใช่ปะวะ เราทำ BA นี่หว่า แต่พี่ข้างนอกกับในที่ประชุมบอกทำ UI อะ งั้นใช่ก็ได้ 55+”)

หลังจากที่ผมตอบว่า ใช่ ชีวิตผมก็เปลี่ยน เพราะ เขาได้มาเล่า Scope งานให้ผมแบบจัดเต็ม และผมก็รู้ตัวว่าผมต้องทำหน้า UI ของระบบหลังบ้านทั้งระบบ (ส่วนพี่ UI อีกคนทำระบบหน้าบ้าน) แล้วบอกว่าทาง Dev ขอแบบคร่าวๆใน 2 วัน ในใจของผมตอนนั้นก็อยากจะอุทานว่า WTF

งานเข้าละตู Design ไม่ได้แตะมานาน แถมโปรเจคที่ทำนี่ก็เคยทำแต่แบบเป็นคนคุม Project เล็กๆ เก็บ Requirement เอง Design เอง ตัดสินใจเอง พอมาทำงานรับช่วงต่อจากคนเยอะๆนี่มันเหมือนกันเปล่าหว่า แถมไอ้ที่ฟังตอนประชุมที่เข้าใจระบบคร่าวๆเยอะๆ เขาพูดถึงระบบหลังบ้านด้วยไหมเนี่ย? ทำไมจำได้ว่าเขาพูดแต่ระบบหน้าบ้าน Scope หลังบ้านนี่มันขนาดไหนหนอ?

คิดในแง่ดีละกัน เดี๋ยวเราใช้เครื่องมือของเราเอง แล้วพี่ๆเขาก็คงเป๊ะ Requirement จาก User และดีไซน์ User Journey อะไรมา Support เราหมดแล้วแหละ ทุกอย่างของเขาคงคิดมาดีแล้ว เราก็คงเอาสมองแค่ไปคิดเรื่องดีไซน์ใหม่แล้วดูเรื่อง UX UI ให้ดีเท่านั้น พอได้คอมใหม่ที่ลงโปรแกรมพวก Design ให้ แล้วไปลื้อฟิ้อโปรแกรม Design สักแปป แล้วค่อยเริ่มทำละกัน

ป๊าบ!แล้วสิ่งที่คิดไม่เหมือนกับโลกแห่งความจริง อยู่ดีๆพี่ก็เดินเข้ามานั่งประกบ และไปยืมคอมมาจากทางฝั่ง Support ที่เป็นคอมเปล่าๆลงแต่ Microsoft Office และผมก็ต้องอุทาน WTF อีกครั้ง เพราะ เราจะวาด UI ยังไง Adobe XD, Sketch อะไรก็ไม่มี ซึ่งทางพี่ Dev Lead บอกไม่ต้องห่วง งั้นน้องใช้ Figma วาดออนไลน์เลย พี่จะได้คอย Monitor ทุกฝีก้าวได้ด้วย (มาเหนือนะพี่ 55) ก็ตามนั้น เป็นเหตุให้ผมต้องเริ่มลงมือทำงานทันที

บอกได้เลยครับว่า “ล้ก” จนทำไรไม่ถูก คอมที่ไม่คุ้นเคยของใครก็ไม่รู้ Tool ใหม่พร้อมกับทักษะดีไซน์ที่ยังไม่ลื้อฟื้น ตอนทำนี่แบบมือสั่น ยังดีมีหน้าจอ Mock up ที่ทีม BA วาดไว้ใน PWP ทำให้พอมีโครงพอจะไปวัดไปวากับเขาได้

เหมือนจะง่าย แต่เวลาการทำงานไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะ ขณะที่ทำงาน มีพี่ช่วยจ้องหน้าจอกดดันและพยายามขายไอเดียการดีไซน์ให้ตลอดเวลา ด้วยการที่เราปกติรับข้อมูลมาเยอะตั้งแต่วันแรกอยู่แล้ว มาเจอข้อมูลที่ได้เพิ่มมาอีก ทำให้หัวสมองเรายิ่งมึนจนเกือบต้องชัทดาวน์ปิดฟังก์ชั่น แค่ศึกษาวิธีใช้ Tool ให้คล่องได้ก็เต็มที่แล้ว ต้องแยกสมองมาอัพเดทไอเดียอีก พวกรีส่ง Research แบบพี่อีกคนที่ทำ UI นี่บอกเลยว่าต้องบาย

สรุปสุดท้ายด้วยความล้ก กับสมองที่ไม่มีเวลาคิดอะไรทั้งสิ้น เขาบอกอะไรก็ใส่ตามไปนั้นหมด จัด Margin อะไรให้เรียบร้อย ไม่มีทั้งนั้น ทำงานหยาบให้พอมีของปล่อยออกไปก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิด ขนาดงานหยาบ วันแรกที่ทำงานก็โดนพี่ประกบทำที่ออฟฟิศจนไปถึง 2 ทุ่ม แล้วกลับไปทำงานที่บ้านต่อจนถึงตี 3 แล้วไม่ไหวต้องนอน เพราะ ต้องตื่นเช้าตั้งแต่ตี 5 กว่าออกจากบ้านไปทำงานต่อ ก็นับได้ว่าเป็นประสบการณ์ทำงานวันแรกที่หฤโหดจริงๆ

Garbage In Garbage Out!!

วันที่ 2 ก็ยังทำแบบเดิมโงหัวไม่ขึ้น จนสมองไม่มีเวลาคิดอะไร แถมต้องมาคอยนั่งประชุมแยกทีมกับทีม Dev และ BA ที่ทางทั้ง 2 ทีม มีสไตล์การทำงานต่างไปอีก โดย Dev เป็น Agile ส่วน BA เปน Waterfall ส่วนผมเป็นตัวกลางที่ทำงานจนหัวหมุน และนี่คือสถานการณ์ของผม

เหมือนผมเป็นปากขวดที่อยู่ระหว่างทีม Dev และทีม BA 5 คน ทางทีม Dev ก็จะเร่ง เพื่อจะได้มีงานรีบเอาไปทำ ส่วนทาง BA ก็จะงานที่มีปริมาณจากคนทำ 5 คน มาส่งให้ทาง UX UI ทำ ก็นับว่างานหนักครับ

มาถึงวันที่ 3 ที่เราได้คอมจากบริษัทเป็นของตัวเองเสียที ซึ่งตัวเราสองวันก่อนที่เคยจินตนาการว่าขอแค่มีคอมตนเอง ชีวิตอะไรก็คงดีขึ้น แต่ปรากฎว่าคอมใหม่ก็ไม่ได้มีอะไรต่างกับคอมยืมครับ มีแต่ Microsoft Office ไม่มีโปรแกรม Design อะไรลงมาให้ทั้งสิ้น ก็ได้บทเรียนว่าเราไม่ควรหวังอะไรมาก ไม่ต้องรอ ใช้ Resource ของปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็พอแล้ว

ถึงวันที่ 3 ที่เป็นเวลาส่งมอบงานดีไซน์ให้ทีม Dev ซึ่งแน่นอนว่าไม่เสร็จทั้งหมด และผมก็ไม่ได้มีเวลาลงดูรายละเอียด แต่เขาก็รับไป ซึ่งหลังจากนั้น ทำให้ผมได้พอมีเวลาพักหายใจ และได้ลงมาดูรายละเอียดการไหลของ Flow และตัว Business จริงๆ

พอมาดูจริงๆก็รู้ว่า โอ้! ซวยละ Flow ที่ดีไซน์มาตาม PWP แบบไม่ลืมหูลืมตา มันเดิน Flow ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ ดังนั้น Design ที่ผมทำมากว่า 2 วันต้องลื้อใหม่หมด โดยหลังจากที่คุยกับทางทีม BA ก็รู้ว่าการดีไซน์มันมาจากการแยกกันทำของหลายคน และยังไม่มีใครดูภาพรวมทั้งระบบจริงๆ ทำให้เวลาประกอบร่างกันมันอาจก่อให้เกิดให้ความไม่สอดคล้องของระบบกันได้

ดังนั้นก่อนที่จะทำอะไรเลย มันจะต้องมีสเตปที่รวบรวมสิ่งเหล่านี้มาเป็นจิกซอว์แผ่นเดียวกัน โดยที่คนรวบรวมต้องเป็นคนที่เข้าใจทั้งระบบ ทุกสิ่งที่มาประกอบร่างกันควรมีกลั่นกรองและมีคิดล่วงหน้าหลายสเตปเป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งนั้นเป็นข้อคิดที่ผมได้จากประสบการณ์นี้เลยว่า ก่อนดีไซน์เราควรมีการ Research ก่อนครับ คนดีไซน์ควรเป็นคนที่เป็นคุยกับ User เอง เพื่อให้เห็น Pain และความต้องการของเขาแบบตรงๆ แบบที่พี่ UI อีกคนแยกไปทำ มีใครบอกอะไรมา อย่าไปตามน้ำเขาเริ่มทำแบบไม่คิดชีวิต

แต่ถ้าไม่สามารถเข้าไปคุยกับ User ได้แบบเคสของผม อย่างน้อยควรมี System Flow และ User Journey มาก่อนที่จะลงมือวาด UI ได้ เพราะ ถ้าไม่ดีตั้งแต่ต้นทาง เดิน Flow ไม่ได้ สิ่งที่ทำมาไม่ตรงกับความต้องการ User ต่อให้ทำหน้าจอ UX UI ดีขนาดไหน ก็ต้องโล๊ะทำใหม่หมด ดั่งประโยคที่ว่า

Garbage In Garbage Out

แต่ต่อให้รู้สิ่งเหล่าทั้งหมดแล้ว ทางเดินต่อไปก็ใช่จะไร้ขวากหนาม เพราะ ในโลกความเป็นจริงไม่ได้สวยอย่างที่คิด สิ่งที่ได้มามันไม่เคย Perfect แม้ BA จะพยายามรับ Requirement ให้ตรงกับความต้องการของ User ที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายสิ่งที่ BA คิดว่าใช่มันอาจจะไม่ใช่ หรือ Requirement จาก User ที่มันอาจมีเพิ่มมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันกระทบเรื่อง Design จึงเป็นเรื่องที่ทำตามให้สำเร็จได้ยาก โดยหัวหน้าผมก็สอนผมโดยใช้วีดีโอด้านล่างนี้เลย

เพื่อไม่ให้เป็นตามวีดีโอ หน้าที่เราคือต้องทำยังไงก็ได้ให้ลด Error และจัดการต้นทางก่อนให้ได้ดีที่สุด ด้วยเหตุนี้ผมจึงเลิกทำหน้า UI และหันไปทำ User Journal แล้วคุยเรื่อง Business กับทีม BA ให้ชัวๆก่อนแทน เพื่อให้แน่ใจ UI ที่เราทำมามันจะตอบโจทย์จริงๆ และไม่ต้องโล๊ะใหม่หลายรอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี่ผมก็วนทำทั้งอาทิตย์ และก็ยังคงทำต้องวนต่อไป ซึ่งก็ต้องมารอดูต่อไปครับว่าโปรเจคนี้จะสำเร็จไหม

สรุปส่งท้าย

เป็นอย่างไรบ้างครับ แนวงาน BA ซึ่งที่ผมเล่ามาช่วงที่ผมทำงานผ่านมาอาทิตย์นึงนี้ อาจจะไม่ค่อยตรงนะครับ เพราะ มันจะออกไปแนวเป็น UX Designer ค่อนข้างมากละ แต่เอาจริงผมก็เชื่อว่า สองตำแหน่งนี้มันก็มันมีสิ่งใกล้เคียงกัน ซึ่ง BA ที่อื่นก็อาจจะมีทำแนวๆนี้ ซึ่งสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการ์นี้เนอะ คือ อย่าไปตามน้ำคนอื่นมาก อย่างน้อยควรมีการไป Research และเข้าใจ User อย่างถ่องแท้ก่อน นำจิกซอว์ทุกชิ้นมาประกอบกัน สร้าง User Journey แล้วค่อยเริ่มทำครับ เริ่มจากมองภาพกว้าง ไม่ใช่นั่งสัปปะหงกทำแบบไม่รู้จุดหมายไปเรื่อยๆ โดยความรู้สึกภาพรวมของการทำ BA ในหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ก็คือรู้สึกว่าหนักครับ แต่ก็สนุก เป็นตำแหน่งที่ต้องใช้ความสามารถ ถ้าใครที่ต้องการความ Challenge ก็น่าจะชอบครับ เดี๋ยวใครอยากติดตามประสบการณ์ BA ของผมต่อ สามารถอ่านต่อได้ในตอนที่ 2 ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยครับ