เฉลย วิทยาศาสตร์ ป.4 บท ที่ 2

You're Reading a Free Preview
Pages 9 to 14 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 18 to 24 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 28 to 31 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 35 to 56 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Page 65 is not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 69 to 70 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 74 to 83 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 87 to 93 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 103 to 117 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 122 to 132 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 137 to 148 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 153 to 157 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 167 to 173 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 178 to 181 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 186 to 212 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 217 to 218 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 230 to 253 are not shown in this preview.

You're Reading a Free Preview
Pages 257 to 263 are not shown in this preview.

คคูมูมือือคครรู รูายายวชิวชิาพาพ้นื น้ื ฐฐานาน วทิ ยาศาสตร เลม ๒ ตตาามมมมาาตตรรฐฐาานนกกาารรเเรรยีียนนรรแููแลละะตตัวัวชชี้วี้วัดดั กกลลมุมุ สสาารระะกกาารรเเรรยียี นนรรวููว ทิิทยยาาศศาาสสตตรร ((ฉฉบบบัับปปรรับับปปรรงุุง พพทุทุ ธธศศกักั รราาชช ๒๒๕๕๖๖๐๐)) ตตาามมหหลลักกั สสูตูตรรแแกกนนกกลลาางงกกาารรศศกึึกษษาาขขั้นนั้ พพน้ื้นื ฐฐาานน พพุทุทธธศศกัักรราาชช ๒๒๕๕๕๕๑๑

คู่มอื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๔ เล่ม ๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชวี้ ัด กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศกั ราช ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ จดั ทาโดย สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ

คําชี้แจง สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (สสวท.) ไดจัดทําตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู แกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเนนเพื่อตองการพัฒนาผูเรียนใหมีความรูความสามารถท่ี ทัดเทียมกับนานาชาติ ไดเรียนรูวิทยาศาสตรท่ีเชื่อมโยงความรูกับกระบวนการในการสืบเสาะหาความรูและ การแกปญหาที่หลากหลาย มีการทํากิจกรรมดวยการลงมือปฏิบัติเพ่ือใหผูเรียนไดใชทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตรและทักษะแหงศตวรรษที่ ๒๑ ซ่ึงในปการศึกษา ๒๕๖๑ เปนตนไปนี้ โรงเรียนจะตองใชหลักสูตร กลุมสาระการเรยี นรูวทิ ยาศาสตร (ฉบับปรับปรงุ พทุ ธศักราช ๒๕๖๐) สสวท. จึงไดจัดทําหนังสือเรียนที่เปนไป ตามมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชี้วดั ของหลกั สตู รเพ่ือใหโรงเรยี นไดใ ชสาํ หรับจดั การเรียนการสอนในชนั้ เรยี น คูม อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร ช้ันประถมศึกษาปที่ ๔ เลม ๑ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร เลมน้ี สสวท. ไดพัฒนาข้ึน เพ่ือนําไปใชประกอบหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษา ปท ี่ ๔ เลม ๑ โดยภายในคูมอื ครูประกอบดวยผังมโนทัศน ตัวชี้วัด ขอแนะนําการใชคูมือครู ตารางแสดงความ สอดคลอ งระหวางเนอ้ื หาและกจิ กรรมในหนังสือเรียนกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัด กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ตลอดจนแนวการจัดกิจกรรมการเรียนรูที่มุงเนนการพัฒนาทักษะรอบดาน ท้ังการอาน การฝก ปฏิบัติ การสาํ รวจตรวจสอบ การปฏิบตั ิการทดลอง การสบื คน ขอมูล และการอภิปราย โดยมีเปาหมาย ใหนักเรียนพัฒนาท้ังดานความรู ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร ทักษะแหงศตวรรษท่ี ๒๑ จิตวิทยาศาสตร กระบวนการสืบเสาะหาความรู ทักษะการคิด การอาน การส่ือสาร การแกปญหา ตลอดจน การนาํ ความรไู ปใชในชีวติ ประจําวันอยา งมีคุณธรรมและคานิยมท่ีเหมาะสม สามารถดํารงชีวิตอยูในสังคมแหง การเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ ๒๑ อยางมีความสุข ในการจัดทําคูมือครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร ชั้นประถมศึกษาปที่ ๔ เลม ๑ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรเลมนี้ ไดรับความรวมมืออยางดีย่ิงจาก คณาจารย ผูท รงคณุ วุฒิ นกั วชิ าการ และครูผสู อน จากสถาบนั การศึกษาตา ง ๆ จึงขอขอบคณุ ไว ณ ที่นี้ สสวท. หวังเปนอยางยิ่งวาคูมือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ช้ันประถมศึกษาปท่ี ๔ เลม ๑ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรเลมน้ี จะเปนประโยชนแกครูและผูเกี่ยวของทุกฝาย ที่จะชวยใหการจัด การศึกษาดานวิทยาศาสตรมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล หากมีขอเสนอแนะใดที่จะทําใหคูมือครูเลมนี้ สมบูรณย่งิ ข้นึ โปรดแจง สสวท. ทราบดว ย จกั ขอบคณุ ยงิ่ (ศาสตราจารยชกู ิจ ลมิ ปจ ํานงค) ผูอํานวยการ สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร

สารบญั หน้า คาช้ีแจง เปา้ หมายของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ก คุณภาพของผเู้ รยี นวิทยาศาสตร์เม่ือจบชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ข ทกั ษะท่ีสาคญั ในการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ง ผังมโนทัศน์รายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 เล่ม 1 ซ ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลางวทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 เล่ม 1 ฌ ขอ้ แนะนาการใช้คมู่ อื ครู ฎ การจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตรใ์ นระดบั ประถมศกึ ษา น การจดั การเรียนการสอนทเ่ี นน้ การสืบเสาะความร้ทู างวิทยาศาสตร์ น การจดั การเรียนการสอนที่สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตรแ์ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พ การวดั ผลและประเมนิ ผลการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ม ตารางแสดงความสอดคล้องระหวา่ งเน้อื หาและกิจกรรม ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เล่ม 1 ล กับหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พุทธศกั ราช 2560) รายการวัสดอุ ุปกรณว์ ิทยาศาสตร์ ศ หนว่ ยที่ 1 การเรยี นร้สู ิง่ ตา่ ง ๆ รอบตัว 1 ภาพรวมการจัดการเรียนรปู้ ระจาหน่วยที่ 1 การเรยี นรสู้ ่งิ ต่าง ๆ รอบตวั 1 บทท่ี 1 การเรียนรแู้ บบนกั วิทยาศาสตร์ 3 บทนีเ้ รมิ่ ตน้ อยา่ งไร 6 เรื่องที่ 1 การสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ 10 กิจกรรมท่ี 1 ถว่ั เตน้ ระบาได้อยา่ งไร 15 เร่อื งที่ 2 การวัดและการใช้จานวนของนกั วิทยาศาสตร์ 28 กจิ กรรมท่ี 2.1 การวดั ทาได้อย่างไร 32 กจิ กรรมที่ 2.2 การใชจ้ านวนทาไดอ้ ยา่ งไร 46 เรื่องท่ี 3 การทดลองของนักวิทยาศาสตร์ 56 กิจกรรมท่ี 3 การทดลองทาได้อยา่ งไร 60 กจิ กรรมทา้ ยบทท่ี 1 การเรยี นรแู้ บบนักวทิ ยาศาสตร์ 74

แนวคาตอบในแบบฝึกหดั ทา้ ยบท สารบญั หน่วยท่ี 2 ส่งิ มชี วี ติ หนา้ 77 ภาพรวมการจัดการเรียนรูป้ ระจาหน่วยท่ี 2 สง่ิ มีชวี ติ 81 บทที่ 1 สิ่งมชี ีวติ รอบตวั 81 บทนีเ้ รม่ิ ต้นอย่างไร 83 เร่อื งที่ 1 การจดั กล่มุ สิ่งมชี ีวิต 86 90 กจิ กรรมท่ี 1.1 เราจาแนกสิง่ มชี ีวิตไดอ้ ย่างไร 94 กจิ กรรมที่ 1.2 เราจาแนกสัตวไ์ ด้อย่างไร 112 กจิ กรรมท่ี 1.3 เราจาแนกสัตว์มกี ระดูกสันหลังได้อย่างไร 129 กิจกรรมท่ี 1.4 เราจาแนกพืชไดอ้ ยา่ งไร 147 กจิ กรรมท้ายบทท่ี 1 สิ่งมีชวี ิตรอบตวั 161 แนวคาตอบในแบบฝกึ หัดทา้ ยบท 163 บทที่ 2 สว่ นตา่ ง ๆ ของพืชดอก 165 เรือ่ งท่ี 1 หนา้ ทสี่ ว่ นต่าง ๆ ของพืชดอก 173 กจิ กรรมท่ี 1.1 รากและลาตน้ ของพชื ทาหน้าทอี่ ะไร 178 กจิ กรรมที่ 1.2 ใบของพืชทาหนา้ ทอี่ ะไร 193 กิจกรรมที่ 1.3 ดอกของพชื ทาหน้าท่ีอะไร 208 กจิ กรรมทา้ ยบทท่ี 2 ส่วนต่าง ๆ ของพชื ดอก 221 แนวคาตอบในแบบฝกึ หัดทา้ ยบท 223 226 หน่วยท่ี 3 แรงและพลังงาน 226 228 ภาพรวมการจัดการเรียนร้ปู ระจาหนว่ ยที่ 3 แรงและพลังงาน 231 บทท่ี 1 มวลและนา้ หนกั 234 บทนเี้ ริ่มต้นอย่างไร 239 เรือ่ งที่ 1 มวลและแรงโน้มถว่ งของโลก กจิ กรรมท่ี 1.1 วตั ถเุ คลื่อนทอี่ ยา่ งไรเมอื่ ถูกปล่อยจากมอื

สารบญั กิจกรรมที่ 1.2 มวลและนา้ หนกั สมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร หน้า กจิ กรรมท่ี 1.3 มวลมผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลงการเคลอื่ นที่ของวตั ถอุ ยา่ งไร 251 กิจกรรมท้ายบทที่ 1 มวลและนา้ หนกั 267 แนวคาตอบในแบบฝึกหัดทา้ ยบท 280 บทท่ี 2 ตัวกลางของแสง 282 บทนเ้ี รม่ิ ตน้ อยา่ งไร 286 เรอ่ื งท่ี 1 การมองเห็นสง่ิ ต่าง ๆ ผ่านวัตถทุ ่นี ามากน้ั 289 กิจกรรมท่ี 1 ลกั ษณะการมองเหน็ ต่างกนั อย่างไรเม่ือมีวัตถุมาก้ันแสง 292 กจิ กรรมท้ายบทท่ี 2 ตวั กลางของแสง 297 แนวคาตอบในแบบฝึกหัดทา้ ยบท 310 แนวคาตอบในแบบทดสอบทา้ ยเล่ม 313 บรรณานกุ รม 316 คณะทางาน 325 326

ก คมู่ อื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 เปา้ หมายของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สารวจ ตรวจสอบ และการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและนาผลท่ีได้มาจัดระบบหลักการ แนวคิด และทฤษฎี ดังนั้นการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากท่ีสดุ นั่นคอื ใหไ้ ดท้ งั้ กระบวนการและองค์ความรู้ การจดั การเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรใ์ นสถานศึกษามเี ปา้ หมายสาคัญ ดังนี้ 1. เพื่อให้เข้าใจแนวคดิ หลกั การ ทฤษฎี กฎและความรู้พ้ืนฐานในวทิ ยาศาสตร์ 2. เพื่อใหเ้ ขา้ ใจขอบเขตของธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์ และข้อจากดั ของวทิ ยาศาสตร์ 3. เพ่อื ให้มีทักษะท่ีสาคัญในการสบื เสาะหาความรแู้ ละพฒั นาเทคโนโลยี 4. เพ่ือให้ตระหนักการมีผลกระทบซึ่งกันและกันระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ สภาพแวดล้อม 5. เพ่ือนาความรู้ในแนวคิดและทักษะต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ สังคมและการดารงชีวิต 6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการ แก้ปัญหาและการจัดการ ทักษะใน การสื่อสาร และความสามารถใน การประเมินและตัดสินใจ 7. เพ่ือให้เป็นผู้ทีม่ จี ิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และคา่ นยิ มในการใช้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างสร้างสรรค์  สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ค่มู อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 ข คุณภาพของนกั เรียนวทิ ยาศาสตร์ เมอื่ จบช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 6 นักเรียนท่ีเรียนจบช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ควรมีความรู้ ความคิด ทักษะ กระบวนการ และจิตวิทยาศาสตร์ ดังน้ี 1. เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต รวมท้ังความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตใน แหล่งทอ่ี ยู่ การทาหนา้ ท่ีของส่วนต่าง ๆ ของพืช และการทางานของระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย์ 2. เข้าใจสมบัติและการจาแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลาย การเปลีย่ นแปลงทางเคมี การเปล่ยี นแปลงทผี่ นั กลบั ได้และผนั กลับไมไ่ ด้ และการแยกสารอย่างงา่ ย 3. เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรงต่างๆ ผลที่ เกิดจากแรงกระทาต่อวัตถุ ความดัน หลักการท่ีมีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์เบ้ืองต้น ของเสียง และแสง 4. เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปล่ียนแปลงรปู รา่ งปรากฏของดวงจนั ทร์ องค์ประกอบ ของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การขึ้น และตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชน์ของเทคโนโลยี อวกาศ 5. เข้าใจลักษณะของแหล่งน้า วัฏจักรน้า กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าค้าง น้าค้างแข็ง หยาดน้าฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดาบรรพ์ การเกิดลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบของ ปรากฏการณเ์ รือนกระจก 6. ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสทิ ธิภาพและประเมนิ ความน่าเช่ือถือ ตัดสนิ ใจเลือกขอ้ มลู ใช้เหตุผลเชิงตรรกะ ในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการทางานร่วมกัน เข้าใจสิทธิและหน้าท่ี ของตน เคารพสทิ ธิของผอู้ นื่ 7. ต้ังคาถามหรือกาหนดปัญหาเก่ียวกับส่ิงท่ีจะเรียนรู้ตามท่ีกาหนดให้หรือตามความสนใจ คาดคะเน คาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานท่ีสอดคล้องกับคาถามหรือปัญหาที่จะสารวจตรวจสอบ วางแผนและสารวจตรวจสอบโดยใชเ้ คร่ืองมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการ เกบ็ รวบรวมข้อมูลท้งั เชงิ ปริมาณและคุณภาพ 8. วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการสารวจตรวจสอบใน รูปแบบที่เหมาะสม เพื่อส่ือสารความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบได้อย่างมีเหตุผลและหลักฐาน อา้ งองิ 9. แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในส่ิงที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับเร่ืองที่จะศึกษาตามความ สนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลท่ีมีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ คิดเหน็ ผอู้ ่ืน สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 

ค คมู่ ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 10. แสดงความรับผิดชอบด้วยการทางานท่ีได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จน งานลลุ ่วงเปน็ ผลสาเรจ็ และทางานร่วมกับผอู้ ่นื อย่างสร้างสรรค์ 11. ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรูแ้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการดารงชีวิต แสดงความช่ืนชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้นและศึกษาหาความรู้ เพม่ิ เตมิ ทาโครงงานหรอื ชิ้นงานตามที่กาหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ 12. แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมอยา่ งรู้คุณค่า  สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คมู่ อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ง ทกั ษะท่ีสาคญั ในการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ ทักษะสาคัญทคี่ รูผู้สอนจาเปน็ ต้องพฒั นาใหเ้ กดิ ข้ึนกบั นกั เรยี นเมื่อมีการจัดการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เชน่ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process Skills) การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์จาเป็นต้องใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพ่ือนาไปสู่ การสืบเสาะค้นหาผ่านการสังเกต ทดลอง สร้างแบบจาลอง และวิธีการอ่ืนๆ เพื่อนาข้อมูล สารสนเทศและ หลักฐานเชิงประจักษ์มาสร้างคาอธิบายเก่ียวกับแนวคิดหรือองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย ทกั ษะการสงั เกต (Observing) เป็นความสามารถในการใชป้ ระสาทสัมผัสอย่างใดอยา่ งหนึ่ง หรอื หลายอย่างสารวจวัตถุหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติหรือจากการทดลอง โดยไม่ลงความคิดเห็นของ ผ้สู งั เกตลงไปดว้ ย ประสาทสมั ผสั ทง้ั 5 อย่าง ได้แก่ การดู การฟงั เสียง การดมกลน่ิ การชิมรส และการสมั ผัส ทักษะการวัด (Measuring) เป็นความสามารถในการเลือกใช้เคร่ืองมือในการวัดปริมาณต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงความสามารถในการหาปริมาณของส่ิงต่าง ๆ จากเครื่องมือที่เลือกใช้ออกมาเป็น ตวั เลขได้ถูกตอ้ งและรวดเร็ว พร้อมระบหุ น่วยของการวดั ไดอ้ ย่างถูกต้อง ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) เป็นความสามารถในการคาดการณ์อย่างมี หลักการเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ โดยใช้ข้อมูล (Data) หรือสารสนเทศ (Information) ที่เคย เกบ็ รวบรวมไวใ้ นอดตี ทกั ษะการจาแนกประเภท (Classifying) เปน็ ความสามารถในการแยกแยะ จดั พวกหรือจัดกลุ่ม สิ่งต่าง ๆ ท่ีสนใจ เช่น วัตถุ สิ่งมีชีวิต ดาว และเทหะวัตถุต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ท่ีต้องการศึกษาออกเป็น หมวดหมู่ นอกจากนี้ยังหมายถึงความสามารถในการเลือกและระบุเกณฑ์หรือลักษณะร่วมลักษณะใดลักษณะ หนงึ่ ของส่งิ ตา่ ง ๆ ท่ีตอ้ งการจาแนก ทักษะการหาความสัมพันธ์ของสเปซกับเวลา (Relationship of Space and Time) สเปซ คือ พื้นท่ีที่วัตถุครอบครอง ในท่ีนี้อาจเป็นตาแหน่ง รูปร่าง รูปทรงของวัตถุ ส่ิงเหล่านี้อาจมีความสัมพันธ์กัน ดงั นี้ การหาความสมั พันธร์ ะหว่างสเปซกับสเปซ เป็นความสามารถในการหาความเกี่ยวข้อง สั ม พั น ธ์ กั น ร ะ ห ว่ า ง พื้ น ท่ี ที่ วั ต ถุ ต่ า ง ๆ (Relationship between Space and Space) ครอบครอง สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 

จ คมู่ ือครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 การหาความสมั พันธร์ ะหว่างสเปซกับเวลา เป็นความสามารถในการหาความเก่ียวข้อง (Relationship between Space and Time) สัมพันธ์กันระหว่างพื้นท่ีท่ีวัตถุครอบครอง เมอ่ื เวลาผา่ นไป ทักษะการใช้จานวน (Using Number) เป็นความสามารถในการใช้ความรู้สึกเชิงจานวน และ การคานวณเพ่ือบรรยายหรอื ระบุรายละเอียดเชิงปรมิ าณของสงิ่ ท่ีสังเกตหรือทดลอง ทักษะการจัดกระทาและสื่อความหมายข้อมูล (Organizing and Communicating Data) เป็นความสามารถในการนาผลการสงั เกต การวดั การทดลอง จากแหลง่ ตา่ ง ๆ มาจดั กระทาให้อยู่ในรูปแบบที่ มคี วามหมายหรือมคี วามสัมพันธ์กนั มากข้นึ จนง่ายตอ่ การทาความเขา้ ใจหรอื เหน็ แบบรูปของข้อมูล นอกจากนี้ ยังรวมถึงความสามารถในการนาข้อมูลมาจัดทาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ สมการ การเขยี นบรรยาย เพ่ือส่อื สารให้ผ้อู ่ืนเขา้ ใจความหมายของข้อมลู มากขึ้น ทักษะการพยากรณ์ (Predicting) เป็นความสามารถในบอกผลลัพธ์ของปรากฏการณ์ สถานการณ์ การสังเกต การทดลองท่ีได้จากการสังเกตแบบรูปของหลักฐาน (Pattern of Evidence) การพยากรณ์ท่ี แม่นยาจึงเป็นผลมาจากการสังเกตท่ีรอบคอบ การวัดท่ีถูกต้อง การบันทึก และการจัดกระทากับข้อมูลอย่าง เหมาะสม ทักษะการต้ังสมมติฐาน (Formulating Hypotheses) เป็นความสามารถในการคิดหาคาตอบ ล่วงหน้าก่อนจะทาการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็นพ้ืนฐานคาตอบที่คิด ล่วงหน้าท่ียังไม่รู้มาก่อน หรือยังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือ ทฤษฎีมาก่อน การตั้งสมมติฐานหรือคาตอบท่ีคิดไว้ ล่วงหน้ามักกล่าวไว้เป็นข้อความท่ีบอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม ซึ่งอาจเป็นไปตามท่ี คาดการณ์ไวห้ รือไมก่ ็ได้ ทักษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally) เป็นความสามารถในการ กาหนดความหมายและขอบเขตของสง่ิ ต่าง ๆ ทอ่ี ยใู่ นสมมตฐิ านของการทดลอง หรอื ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับการทดลอง ใหเ้ ข้าใจตรงกนั และสามารถสงั เกตหรือวัดได้ ทักษะการกาหนดและควบคุมตัวแปร (Controlling Variables) เป็นความสามารถในการ กาหนดตัวแปรต่าง ๆ ทั้งตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรท่ีต้องควบคุมให้คงท่ี ให้สอดคล้องกับสมมติฐาน ของการทดลอง รวมถึงความสามารถในการระบุและควบคุมตัวแปรอ่ืน ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้น แต่อาจ ส่งผลต่อผลการทดลอง หากไม่ควบคุมให้เหมือนกันหรือเท่ากัน ตัวแปรท่ีเก่ียวข้องกับการทดลอง ได้แก่ ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรท่ีตอ้ งควบคุมให้คงท่ี ซ่ึงลว้ นเป็นปัจจยั ที่เกี่ยวข้องกับการทดลอง ดงั น้ี ตัวแปรต้น สิ่งท่เี ป็นต้นเหตุทาให้เกิดการเปล่ียนแปลง จงึ ต้องจดั (Independent Variable) สถานการณ์ให้มีสง่ิ นี้แตกต่างกัน  สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ค่มู อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ฉ ตวั แปรตาม สงิ่ ทเ่ี ป็นผลจากการจัดสถานการณ์บางอย่างให้ (Dependent Variable) แตกตา่ งกัน และเราตอ้ งสังเกต วดั หรือตดิ ตามดู ตวั แปรทตี่ ้องควบคุมให้คงท่ี ส่งิ ตา่ ง ๆ ทอี่ าจส่งผลต่อการจัดสถานการณ์ จงึ ต้องจดั (Controlled Variable) สงิ่ เหลา่ นี้ใหเ้ หมือนกนั หรือเท่ากนั เพื่อให้มน่ั ใจว่าผล จากการจัดสถานการณ์เกิดจากตวั แปรตน้ เท่าน้ัน ทักษะการทดลอง (Experimenting) การทดลองประกอบดว้ ย 3 ข้ันตอน คือ การออกแบบการ ทดลอง การปฏิบัติการทดลอง และการบันทึกผลการทดลอง ทักษะการทดลองจึงเป็นความสามารถในการ ออกแบบและวางแผนการทดลองได้อย่างรอบคอบ และสอดคล้องกับคาถามการทดลองและสมมตฐิ าน รวมถึง ความสามารถในการดาเนินการทดลองได้ตามแผน และความสามารถในการบันทึกผลการทดลองได้ละเอียด ครบถว้ น และเที่ยงตรง ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (Interpreting and Making Conclusion) ความสามารถ ในการแปลความหมาย หรือการบรรยาย ลักษณะและสมบัติของข้อมูลที่มีอยู่ ตลอดจน ความสามารถในการสรุปความสมั พนั ธข์ องข้อมลู ท้ังหมด ทักษะการสร้างแบบจาลอง (Formulating Models) ความสามารถในการสร้างและใช้ส่ิงท่ีทา ข้ึนมาเพ่ือเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณ์ท่ีศึกษาหรือสนใจ เช่น กราฟ สมการ แผนภูมิ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว รวมถึงความสามารถในการนาเสนอข้อมูล แนวคิด ความคิดรวบยอดเพ่ือให้ผู้อื่นเข้าใจในรูป ของแบบจาลองแบบตา่ ง ๆ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) ราชบัณฑิตยสถานได้ระบุทักษะท่ีจาเป็นแห่งศตวรรษท่ี 21 ท่ีสอดคล้องกับสมรรถนะท่ีควรมีในพลเมือง ยุคใหม่รวม 7 ด้าน (สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2558; ราชบัณฑิตยสถาน, 2557) ในระดับประถมศึกษาจะเน้นให้ครผู ้สู อนส่งเสริมใหน้ ักเรยี นมีทักษะ ดงั ตอ่ ไปน้ี การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) หมายถึง การคิดโดยใช้เหตุผลท่ีหลากหลาย เหมาะสมกบั สถานการณ์ มกี ารคิดอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ และประเมินหลักฐานและขอ้ คดิ เหน็ ดว้ ยมุมมองท่ี หลากหลาย สังเคราะห์ แปลความหมาย และจัดทาข้อสรุป สะท้อนความคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้ ประสบการณ์และกระบวนการเรยี นรู้ การแก้ปัญหา (Problem Solving) หมายถงึ การแก้ปัญหาทไี่ มค่ ุ้นเคย หรอื ปัญหาใหม่ได้ โดยอาจ ใช้ความรู้ ทักษะ วธิ กี ารและประสบการณ์ท่ีเคยรู้มาแล้ว หรอื การสบื เสาะหาความรู้ วธิ กี ารใหมม่ าใชแ้ ก้ปัญหา ก็ได้ นอกจากน้ยี งั รวมถงึ การซกั ถามเพอ่ื ทาความเขา้ ใจมมุ มองท่ีแตกต่าง หลากหลายเพ่อื ใหไ้ ด้วิธแี ก้ปัญหาที่ดี มากข้ึน สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

ช คูม่ อื ครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 การสื่อสาร (Communications) หมายถึง ความสามารถในการส่ือสารได้อย่างชัดเจน เชื่อมโยง เรียบเรียงความคิดเเละมุมมองต่าง ๆ แล้วสื่อสารโดยการใช้คาพูด ไม่ใช้คาพูดหรือการเขียน เพื่อให้ผู้อ่ืนเข้าใจ ได้หลากหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์นอกจากน้ียังรวมไปถึงการฟังอย่างมีประสิทธิภาพเพ่ือให้เข้าใจ ความหมายของผู้สง่ สาร ความร่วมมือ (Collaboration) หมายถึง การแสดงความสามารถในการทางานร่วมกับคนกลุ่มต่าง ๆ ที่หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพและให้เกียรติ มีความยืดหยุ่นและยินดีที่จะประนีประนอม เพ่ือให้บรรลุ เป้าหมาย การทางาน พร้อมท้ังยอมรับและแสดงความรับผิดชอบต่องานท่ีทาร่วมกัน และเห็นคุณค่าของ ผลงานที่พัฒนาข้ึนจากสมาชิกแตล่ ะคนในทีม การสร้างสรรค์ (Creativity) หมายถึง การใช้เทคนิคที่หลากหลายในการสร้างสรรค์แนวคิด เช่น การระดมพลังสมอง รวมถึงความสามารถในการพัฒนาต่อยอดแนวคิดเดิม หรือได้แนวคิดใหม่ และ ความสามารถในการกล่ันกรอง ทบทวน วิเคราะห์ และประเมินแนวคิด เพ่ือปรับปรงุ ให้ได้แนวคดิ ที่จะส่งผลให้ ความพยายามอย่างสร้างสรรค์น้ีเป็นไปไดม้ ากทีส่ ดุ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology (ICT)) หมายถึง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพ่ือเป็นเคร่ืองมือในการสืบค้น จัดกระทา ประเมนิ และสือ่ สารขอ้ มูลความร้ตู ลอดจนรู้เทา่ ทนั ส่ือโดยการใชส้ อ่ื ต่าง ๆ ได้อยา่ งเหมาะสมมปี ระสทิ ธภิ าพ  สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คมู่ อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 ซ ผังมโนทัศน์ (concept map) รายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 เล่ม 1 เนอื้ หาการเรยี นรวู้ ิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 เล่ม 1 ประกอบด้วย หนว่ ยที่ 1 การเรียนรสู้ ิ่งต่าง ๆ หนว่ ยท่ี 2 สิ่งมีชีวติ หน่วยที่ 3 แรงและพลงั งาน รอบตัว ไดแ้ ก่ ไดแ้ ก่ ไดแ้ ก่ การจัดกล่มุ สง่ิ มีชีวติ มวลและแรงโนม้ ถ่วง การสืบเสาะหาความรู้ ของโลก ทางวิทยาศาสตร์ หนา้ ท่สี ่วนต่าง ๆ ของพืชดอก การมองเหน็ สิ่งต่าง ๆ การวดั และการใช้จานวน ผา่ นวตั ถุที่นามากั้น ของนกั วิทยาศาตร์ การทดลองของ นกั วิทยาศาสตร์ สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 

ฌ คู่มอื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง วทิ ยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ตัวชี้วดั ช้นั ปี สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ว 1.2 ป.4/1  ส่วนต่าง ๆ ของพืชดอกทาหน้าท่แี ตกต่างกนั บรรยายหนา้ ที่ของราก ลาต้น ใบ และดอก  รากทาหน้าทีด่ ดู นา้ และธาตุอาหารขน้ึ ไปยังลาต้น ของพชื ดอก โดยใช้ข้อมูลท่รี วบรวมได้  ลาต้นทาหน้าท่ีลาเลียงน้าต่อไปยังส่วนต่าง ๆ ของพชื  ใบทาหน้าที่สร้างอาหาร อาหารที่พืชสร้างขึ้น คือ นา้ ตาลซึง่ จะเปลยี่ นเปน็ แป้ง  ดอกทาหน้าที่สืบพันธุ์ ประกอบด้วยส่วนประกอบ ต่าง ๆ ได้แก่ กลีบเล้ียง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และ เกสรเพศเมยี ซ่ึงส่วนประกอบแต่ละส่วนของดอกทา หนา้ ทีแ่ ตกตา่ งกัน ว 1.3 ป.4/1  ส่ิงมีชีวิตมีหลายชนิด สามารถจัดกลุ่มได้ โดยใช้ จาแนกส่ิงมีชีวิตโดยใช้ความเหมอื น และ ความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะต่าง ๆ ความแตกต่างของลักษณะของส่ิงมีชีวิต เช่น กลุ่มพืชสร้างอาหารเองได้ และเคลื่อนที่ด้วย ออกเปน็ กลุม่ พชื กลมุ่ สัตว์ และกลมุ่ ที่ ตนเองไม่ได้ กลุ่มสัตว์กินส่ิงมีชีวิตอ่ืนเป็นอาหาร ไม่ใช่พชื และสัตว์ และเคล่ือนที่ได้ กลุ่มที่ไม่ใช่พืชและสัตว์ เช่น เห็ด รา จลุ ินทรีย์ ว 1.3 ป.4/2  การจาแนกพืช สามารถใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ จาแนกพชื ออกเป็นพชื ดอกและพชื ไม่มี ในการจาแนก ไดเ้ ป็นพชื ดอกและพืชไม่มดี อก ดอกโดยใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใช้ ข้อมลู ที่รวบรวมได้ ว 1.3 ป.4/3  การจาแนกสัตว์ สามารถใช้การมีกระดูกสันหลัง จาแนกสัตว์ออกเปน็ สัตวม์ ีกระดกู สนั หลัง เป็นเกณฑ์ในการจาแนก ได้เป็นสัตว์มีกระดูกสัน และสัตวไ์ มม่ ีกระดกู สนั หลัง โดยใชก้ ารมี หลงั และสตั วไ์ ม่มกี ระดูกสนั หลัง กระดูกสนั หลังเปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มูลที่ รวบรวมได้  สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ค่มู อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 ญ ตัวชีว้ ัดช้นั ปี สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ว 1.3 ป.4/4  สัตว์มีกระดูกสันหลังมีหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปลา บรรยายลักษณะเฉพาะท่ีสงั เกตได้ของสตั ว์ กลุ่มสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก กลุ่มสัตว์เล้ือยคลาน มกี ระดูกสนั หลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์ กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม ซ่ึงแต่ละ สะเทนิ นา้ สะเทินบก กลมุ่ สตั ว์เล้ือยคลาน กลุม่ จะมีลักษณะเฉพาะท่ีสงั เกตได้ กลุ่มนก และกล่มุ สัตว์เลีย้ งลกู ดว้ ยนา้ นม และยกตัวอย่างสงิ่ มชี วี ติ ในแต่ละกลมุ่ ว 2.2 ป.4/1  แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดูดท่ีโลกกระทาต่อ ระบผุ ลของแรงโนม้ ถว่ งท่ีมตี ่อวัตถจุ าก วัตถุ มีทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางโลก และเป็นแรงไม่ หลักฐานเชิงประจักษ์ สัมผัส แรงดึงดูดท่ีโลกกระทากับวัตถุหน่ึง ๆ ทาให้ วัตถุตกลงสู่พ้ืนโลก และทาให้วัตถุมีน้าหนัก วัด ว 2.2 ป.4/2 น้าหนักของวัตถุได้จากเคร่ืองช่ังสปริง น้าหนักของ ใชเ้ คร่อื งชั่งสปรงิ ในการวัดน้าหนักของ วัตถุ วัตถุข้ึนกับมวลของวัตถุ โดยวัตถุท่ีมีมวลมากจะมี น้าหนักมาก วตั ถุท่ีมีมวลนอ้ ยจะมีนา้ หนกั นอ้ ย ว 2.2 ป.4/3  มวล คือ ปริมาณเน้ือของสสารทั้งหมดท่ีประกอบ บรรยายมวลของวตั ถุที่มีผลต่อการ กันเป็นวัตถุ ซึ่งมีผลต่อความยากง่ายในการ เปลี่ยนแปลงการเคล่ือนที่ของวัตถุจาก เปลีย่ นแปลงการเคลอื่ นท่ีของวัตถุ วตั ถุที่มีมวลมาก หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ จะเปล่ยี นแปลงการเคล่ือนที่ไดย้ ากกว่าวตั ถทุ ่ีมีมวล น้อย ดังนั้นมวลของวัตถุนอกจากจะหมายถึงเน้ือ ทั้งหมดของวัตถุน้ันแล้วยังหมายถึงการต้านการ เปลยี่ นแปลงการเคลือ่ นที่ของวตั ถุน้นั ดว้ ย ว 2.3 ป.4/1  เมื่อมองสิ่งต่าง ๆ โดยมีวัตถุต่างชนิดกันมากั้นแสง จาแนกวัตถุเปน็ ตัวกลางโปร่งใส ตัวกลาง- จะทาให้ลักษณะการมองเห็นสิ่งน้ัน ๆ ชัดเจนต่างกนั โปรง่ แสง และวัตถุทบึ แสง จากลักษณะ การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ผ่านวัตถนุ น้ั เป็น จึงจาแนกวัตถุที่มากั้นออกเป็น ตัวกลางโปร่งใส ซึ่ง เกณฑ์โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจักษ์ ทาให้มองเห็นส่ิงต่าง ๆ ได้ชัดเจน ตัวกลางโปร่งแสง ทาให้มองเห็นสงิ่ ต่าง ๆ ไดไ้ ม่ชดั เจน และวัตถทุ ึบแสง ทาให้มองไมเ่ หน็ สิ่งต่าง ๆ น้ัน สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 

ฎ คมู่ อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ข้อแนะนาการใชค้ ู่มือครู คู่มือครูเลม่ นจี้ ัดทาขึ้นเพ่ือใชเ้ ปน็ แนวทางการจดั กิจกรรมสาหรับครู ในแตล่ ะหน่วยการเรยี นรนู้ ักเรียน จะได้ฝึกทกั ษะจากการทากจิ กรรมตา่ ง ๆ ทัง้ การสงั เกต การสารวจ การทดลอง การสืบคน้ ข้อมูล การอภิปราย การทางานร่วมกัน ซง่ึ เปน็ การฝึกให้นักเรยี นชา่ งสงั เกต รู้จักตัง้ คาถาม ร้จู ักคิดหาเหตผุ ล เพ่ือตอบปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ให้นักเรียนได้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากท่ีสุด ดังน้ันในการจัดการเรียนรู้ครูจึงเป็นผู้ ช่วยเหลอื ส่งเสริม และสนับสนนุ นกั เรยี นให้รจู้ ักสบื เสาะหาความรู้และมีทักษะจากการศกึ ษาหาความร้จู ากส่ือ และแหลง่ การเรยี นร้ตู า่ ง ๆ และเพ่ิมเติมขอ้ มลู ทถ่ี ูกต้องแกน่ กั เรียน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากคู่มือครูเล่มนี้มากท่ีสุด ครูควรทาความเข้าใจในรายละเอียดของแต่ละหัวข้อ และขอ้ เสนอแนะเพมิ่ เตมิ ดังน้ี 1. สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง เป็นสาระการเรียนรู้เฉพาะกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ปรากฏในมาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวช้ีวัด ฯ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกาหนดไว้เฉพาะสว่ นที่จาเป็นสาหรับเป็นพ้ืนฐานเกี่ยวข้องกับชวี ติ ประจาวนั และเป็นพ้ืนฐานในการศึกษาต่อในระดับท่ีสูงข้ึน โดยสอดคล้องกับสาระและความสามารถ ความถนัด และความสนใจของนักเรียน และในทุกกิจกรรมจะมีสาระสาคัญ ซ่ึงเป็นเนื้อหาสาระที่ปรากฏอยู่ตาม สาระการเรียนรูโ้ ดยสถานศึกษาสามารถพัฒนาเพ่ิมเติมได้ตามความเหมาะสม สาหรับสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด ฯ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้เพ่ิมสาระเทคโนโลยี ซ่ึงประกอบด้วยการออกแบบและเทคโนโลยี และวิทยาการคานวณ ทั้งน้ีเพื่อเอ้ือต่อการจัดการเรียนรู้ บูรณาการสาระทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กับกระบวนการเชิงวิศวกรรมตามแนวคิด สะเตม็ ศึกษา 2. ภาพรวมการจัดการเรยี นรปู้ ระจาหน่วย เป็นภาพรวมการจัดการเรียนรู้ประจาหน่วยมีไวเ้ พื่อเชอ่ื มโยงเน้ือหาสาระกับมาตรฐานการเรยี นรู้ และตัวชี้วัดท่ีจะได้เรียนในแต่ละกิจกรรมของหน่วยนั้น ๆ และเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนนาไปปรับปรงุ และเพิ่มเตมิ ตามความเหมาะสม 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ในแตล่ ะหนว่ ยการเรียนรนู้ ักเรยี นจะได้ทากิจกรรมอย่างหลากหลาย ในแตล่ ะสว่ นของหนังสือเรียนท้ัง ส่วนนาบท นาเร่ือง และกิจกรรมมีจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับตัวช้ีวัดชั้นปีเพื่อให้ นักเรียนเกิด การเรียนรู้ โดยยึดหลักให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ สืบเสาะหาความรู้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการแก้ปัญหา การส่ือสาร และความสามารถในการตัดสินใจ การนาความรู้ไปใช้ในชีวิตและ  สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู่ ือครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ฏ ในสถานการณ์ใหม่ มีทักษะในการใช้เทคโนโลยี มีเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม สามารถอย่ใู นสงั คมไทยได้อยา่ งมีความสุข 4. บทนีม้ อี ะไร เป็นส่วนท่ีบอกรายละเอียดในบทนั้น ๆ ซ่ึงประกอบด้วยช่ือเรื่อง คาสาคัญ และช่ือกิจกรรม เพ่ือ ครูจะได้ทราบองคป์ ระกอบโดยรวมของแตล่ ะบท 5. สอ่ื การเรียนรูแ้ ละแหลง่ เรยี นรู้ เปน็ ส่วนที่บอกรายละเอียดสื่อการเรยี นรู้และแหล่งเรยี นรู้ทีต่ ้องใช้สาหรับการเรียนในบท เร่ือง และ กิจกรรมน้ัน ๆ โดยส่ือการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ประกอบด้วยหน้าหนังสือเรียนและแบบบันทึกกิจกรรม และอาจมีโปรแกรมประยุกต์ เว็บไซต์ ส่ือสิ่งพิมพ์ ส่ือโสตทัศนูปกรณ์หรือตัวอย่างวีดิทัศน์ปฏิบัติการ ทางวทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื เสรมิ สร้างความม่ันใจในการสอนปฏบิ ตั ิการวทิ ยาศาสตรส์ าหรับครู 6. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 เป็นทักษะที่นักเรียนจะได้ฝึกปฏิบัติในแต่ละกิจกรรม โดยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นทักษะท่ีนักวิทยาศาสตร์นามาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ในการสืบเสาะหาความรู้ ส่วนทักษะแห่ง ศตวรรษที่ 21 เป็นทักษะท่ีช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ เพือ่ ใหท้ ันตอ่ การเปลยี่ นแปลงของโลก สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 

ฐ ค่มู ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ตัวอยา่ งวดี ิทศั นป์ ฏบิ ัตกิ ารวิทยาศาสตร์เพ่ือฝึกฝนทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรต์ ่าง ๆ มีดังน้ี รายการตัวอย่างวีดิทัศน์ ทกั ษะกระบวนการทาง Short link QR code ปฏบิ ตั กิ าร วิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ วดี ทิ ัศน์ การสงั เกตและการลง การสังเกตและการลง http://ipst.me/8115 ความเหน็ จากข้อมูล ทา ความเหน็ จากข้อมลู ไดอ้ ยา่ งไร วีดิทศั น์ การวดั ทาได้อย่างไร การวดั http://ipst.me/8116 วดี ทิ ศั น์ การใชต้ ัวเลขทาได้ การใช้จานวน http://ipst.me/8117 อย่างไร วดี ิทัศน์ การจาแนกประเภททา การจาแนกประเภท http://ipst.me/8118 ได้อย่างไร วีดทิ ศั น์ การหาความสมั พนั ธ์ การหาความสมั พันธ์ http://ipst.me/8119 ระหวา่ งสเปซกบั สเปซ ระหว่างสเปซกบั สเปซ http://ipst.me/8120 ทาได้อยา่ งไร http://ipst.me/8121 วีดิทัศน์ การหาความสัมพันธ์ การหาความสัมพันธ์ ระหว่างสเปซกบั เวลา ระหวา่ งสเปซกับเวลา ทาได้อย่างไร วีดทิ ศั น์ การจดั กระทาและสือ่ การจดั กระทาและสือ่ ความหมายข้อมลู ทา ความหมายข้อมูล ได้อย่างไร  สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู่ ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 ฑ รายการตัวอยา่ งวดี ิทัศน์ ทักษะกระบวนการทาง Short link QR code ปฏบิ ตั ิการ วิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ การพยากรณ์ http://ipst.me/8122 วดี ิทัศน์ การพยากรณ์ทาได้ อย่างไร วดี ิทศั น์ ทาการทดลองได้ การทดลอง http://ipst.me/8123 อย่างไร วดี ิทศั น์ การตั้งสมมตฐิ านทาได้ การต้งั สมมติฐาน http://ipst.me/8124 อย่างไร วดี ิทศั น์ การกาหนดและ การกาหนดและควบคุมตวั http://ipst.me/8125 ควบคมุ ตวั แปร และ แปร และ การกาหนดนยิ ามเชิง การกาหนดนิยามเชิง http://ipst.me/8126 ปฏิบตั กิ ารทาได้ ปฏบิ ตั กิ าร http://ipst.me/8127 อย่างไร การตีความหมายข้อมลู และ วีดทิ ัศน์ การตีความหมายของ ลงขอ้ สรุป ขอ้ มูลและลงข้อสรุป ทาได้อย่างไร การสร้างแบบจาลอง วีดิทศั น์ การสรา้ งแบบจาลอง ทาได้อยา่ งไร สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

ฒ คมู่ ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 7. แนวคิดคลาดเคลื่อน เป็นความเชื่อ ความรู้ หรือความเข้าใจท่ีเกิดขึ้นกับนักเรียน ซ่ึงอาจเกิดข้ึนจากประสบการณ์ใน การเรียนรู้ท่ีรับมาผิดหรือนาความรู้ที่ได้รับมาสรุปความเข้าใจของตนเองผิด แล้วไม่สามารถอธิบาย ความเข้าใจนั้นได้ โดยเมื่อเรียนจบบทน้ีแล้วครูควรแก้ไขแนวคิดคลาดเคลื่อนน้ันให้เป็นแนวคิดที่ ถูกตอ้ ง 8. บทนเี้ ริม่ ต้นอยา่ งไร เปน็ แนวทางสาหรบั ครูในการจดั การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมให้นกั เรยี นรจู้ ักคิดด้วยตนเอง รู้จักค้นคว้าหาเหตุผล โดยครูกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจในบทเรียนน้ัน ๆ และให้นักเรียนตอบ คาถามสารวจความรู้ก่อนเรยี น จากนน้ั ครสู งั เกตการตอบคาถามของนักเรยี นโดยครูยังไม่เฉลยคาตอบ ที่ถูกต้อง เพื่อใหน้ ักเรียนไปหาคาตอบจากเรื่องและกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในบทนน้ั 9. เวลาทใี่ ช้ เป็นการเสนอแนะว่าในแต่ละส่วนควรใช้เวลาประมาณก่ีชั่วโมง เพ่ือช่วยให้ครูผู้สอนได้จัดทา แผนการจัดการเรียนรูไ้ ด้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามครูอาจปรับเปล่ียนเวลาได้ตามสถานการณ์และ ความสามารถของนกั เรยี น 10. วัสดุอุปกรณ์ เป็นรายการวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทั้งหมดในการจัดกิจกรรม โดยอาจมีทั้งวัสดุสิ้นเปลือง อุปกรณ์ สาเร็จรูป อุปกรณ์พื้นฐาน หรอื อืน่ ๆ 11. การเตรยี มตวั ลว่ งหน้าสาหรบั ครู เพ่ือจัดการเรียนรูใ้ นคร้งั ถดั ไป เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าสาหรบั ครูสาหรับการจัดการเรยี นรใู้ นครัง้ ถัดไป เพ่ือครูจะได้เตรียมส่ือ อุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในกิจกรรมให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีและมีจานวนที่เพียงพอกับ นักเรียน โดยอาจมีบางกิจกรรมต้องทาล่วงหน้าหลายวัน เช่น การเตรียมถุงปริศนาและข้าวโพดคั่ว หรอื สงิ่ ทีก่ ินได้ ข้อเสนอแนะเพม่ิ เตมิ นักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษา มีกระบวนการคิดที่เป็นรูปธรรม จึงควรจัดการเรียนการสอนที่ มุ่งเน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติหรือทาการทดลองซึ่งเป็นวิธีหน่ึงท่ีนักเรียนจะได้มีประสบการณ์ตรง ดังนั้น ครผู สู้ อนจงึ ตอ้ งเตรยี มตัวเองในเรอ่ื งต่อไปน้ี 11.1 บทบาทของครู โดยครูจะต้องเปลี่ยนแปลงบทบาทจากการเป็นผู้ชี้นาหรือผู้ถ่ายทอด ความรู้เป็นผู้ช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนนักเรียนในการแสวงหาความรู้จากส่ือและ แหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่นักเรียน เพ่ือนาข้อมูลเหล่าน้ันไปใช้ สรา้ งสรรคค์ วามรขู้ องตนเอง  สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ณ 11.2 การเตรียมตัวของครูและนักเรียน โดยครูควรเตรียมนักเรียนให้พร้อมอยู่เสมอในการทา กจิ กรรมตา่ ง ๆ บางครัง้ นักเรยี นไมเ่ ขา้ ใจและอาจจะทากจิ กรรมไม่ถกู ตอ้ ง ดังนัน้ ครูจงึ ต้อง เตรียมตวั เอง โดยทาความเขา้ ใจในเร่ืองต่อไปนี้ การสบื คน้ ขอ้ มูลหรือการค้นควา้ เป็นการหาความรูด้ ว้ ยตนเอง โดยวธิ ีการตา่ ง ๆ เช่น การสอบถามจากผู้รู้ในท้องถ่ิน การดูจากรูปภาพแผนภูมิ การอ่านหนังสือหรือเอกสาร เท่าที่หาได้ น่ันคือการให้นักเรียนเป็นผู้หาความรู้และพบความรู้หรือข้อมูลด้วยตนเอง ซ่ึง เป็นการเรยี นรู้วธิ ีแสวงหาความรู้ การนาเสนอ มีหลายวิธี เชน่ การใหน้ กั เรยี นหรือตัวแทนกล่มุ ออกมาเลา่ เรื่องที่ได้รับ มอบหมายให้ไปสารวจ สังเกต หรือทดลองหรืออาจให้เขียนเป็นคาหรือเป็นประโยคลงใน แบบบันทึกกิจกรรมหรือสมุดอ่ืนตามความเหมาะสม นอกจากน้ีอาจให้วาดรูป หรือตัด ขอ้ ความจากหนงั สอื พมิ พ์ แลว้ นามาตดิ ไว้ในหอ้ ง เปน็ ตน้ การสารวจ ทดลอง สืบค้นข้อมูล สร้างแบบจาลองหรืออื่น ๆ เพ่ือสร้างองค์ความรู้ เป็นส่ิงสาคัญยิ่งต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ครูผู้สอนสามารถให้นักเรียนทากิจกรรมได้ทั้ง ในห้องเรยี น นอกห้องเรยี นหรือท่ีบ้าน โดยไมจ่ าเปน็ ต้องใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ราคาแพง ซึ่งอาจดัดแปลงจากสิ่งของเหลือใช้ หรือใช้วัสดุธรรมชาติมาทากิจกรรมได้ ข้อสาคัญ คือ ครผู สู้ อนตอ้ งใหน้ ักเรยี นทราบว่า ทาไมจงึ ตอ้ งทากิจกรรมนัน้ และจะต้องทาอะไร อยา่ งไร ผลจากการทากิจกรรมจะสรุปผลอย่างไร ซึ่งจะทาให้นักเรียนได้ความรู้ ความคิด และ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์พร้อมกับเกิดค่านิยม คุณธรรม เจตคติทาง วิทยาศาสตรด์ ้วย 12. แนวการจัดการเรยี นรู้ เป็นแนวทางสาหรับครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมุ่งส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคิด ด้วยตนเอง รู้จักค้นคว้าหาเหตุผลและสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการนาเอาวิธีการต่าง ๆ ของกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ สสวท. เห็นว่าเหมาะสมที่จะนานักเรียนไปสู่เป้าหมายท่ี กาหนดไว้ก็คือ วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีองค์ประกอบที่สาคัญ คือ การมองเห็นปัญหา การ สารวจตรวจสอบ และอภปิ รายซักถามระหว่างครกู ับนักเรยี นเพ่ือนาไปสู่ข้อมลู สรุป ข้อเสนอแนะเพมิ่ เติม นอกจากครูจะจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามคู่มือครูนี้ ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามบริบทของ ตนเองให้บรรลุจุดมงุ่ หมาย โดยจะคานึงถึงเร่อื งตา่ ง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี 12.1 การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน โดยครูควรให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมใน กิจกรรมการเรียนรู้ตลอดเวลาด้วยการกระตุ้นให้นักเรยี นลงมือทากิจกรรมและอภิปรายผล โดยใชเ้ ทคนคิ ต่าง ๆ ของการสอน เช่น การใชค้ าถาม การเสรมิ พลังมาใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์ ที่ จะทาใหก้ ารเรยี นการสอนนา่ สนใจและมชี ีวิตชวี า สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

ด คมู่ ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 12.2 การใชค้ าถาม โดยครูควรวางแผนการใชค้ าถามอย่างมีประสิทธภิ าพ เพอ่ื จะนานักเรียนเข้าสู่ บทเรียนและลงข้อสรปุ ได้โดยท่ีไม่ใช้เวลานานเกินไป ซ่ึงครูควรเลอื กใช้คาถามที่มคี วามยาก งา่ ยพอเหมาะกับความสามารถของนักเรยี น 12.3 การสารวจตรวจสอบซ้า เป็นส่ิงจาเป็นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเช่ือถือ ดังน้ันในการจัดการเรียนรู้ ครู ควรเน้นยา้ ให้นกั เรยี นได้สารวจตรวจสอบซา้ เพอ่ื นาไปสขู่ อ้ สรปุ ทถี่ ูกต้องมากข้ึนและเช่ือถือได้ 13. ข้อเสนอแนะเพม่ิ เติม เป็นข้อเสนอแนะสาหรับครูท่ีอาจเป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ เช่น ตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์ที่ เหมาะสม หรือใช้แทน ข้อควรระวัง วิธีการใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมและปลอดภัย วิธีการทากิจกรรม เพอ่ื ลดข้อผิดพลาด ตัวอยา่ งตาราง และเสนอแหล่งเรียนรู้เพ่อื การคน้ คว้าเพ่มิ เติม 14. ความรู้เพิ่มเตมิ สาหรบั ครู เป็นความรู้เพิ่มเติมในเนื้อหาที่สอนซึ่งจะมีรายละเอียดที่ลึกขึ้น เพ่ือเพิ่มความรู้และความมั่นใจ ให้กับครูในเร่ืองท่ีจะสอนและแนะนานักเรียนท่ีมีความสามารถสูง แต่ครูต้องไม่นาไปสอนนักเรียน เพราะไมเ่ หมาะสมกบั วยั และระดับชน้ั 15. อย่าลมื นะ เป็นส่วนที่เตือนไม่ให้ครูเฉลยคาตอบท่ีถูกต้องให้กับนักเรียน หรือครูรับฟังความคิดและ เหตุผลของนักเรียนก่อน โดยครูควรให้คาแนะนาที่จะช่วยให้นักเรียนหาคาตอบได้ด้วยตนเองและให้ ความสนใจตอ่ คาถามของนกั เรียนทุกคน เพื่อให้นักเรียนได้คิดดว้ ยตนเองและครูจะได้ทราบวา่ นักเรียน มีความรูค้ วามเขา้ ใจในเรื่องน้นั อยา่ งไรบา้ ง 16. แนวการประเมินการเรยี นรู้ เป็นการประเมินการเรียนรู้ของนักเรียนท่ีได้จากการอภิปรายในช้ันเรียน คาตอบของนักเรียน ระหว่างการจัดการเรียนรู้และในแบบบันทึกกิจกรรม รวมท้ังการฝึกทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 จากการทากจิ กรรมของนักเรียน 17. กจิ กรรมทา้ ยบท เปน็ สว่ นท่ใี หน้ ักเรียนไดส้ รปุ ความรู้ ความเขา้ ใจ ในบทเรยี น และได้ตรวจสอบความรใู้ น เน้ือหาท่เี รียนมาทง้ั บท หรอื อาจต่อยอดความรใู้ นเรอ่ื งนนั้ ๆ ขอ้ แนะนาเพิ่มเตมิ 1. การสอนการอา่ น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของคาว่า “อ่าน” หมายถึง ว่าตาม ตัวหนังสือ ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ หรืออีกความหมาย ของคาว่า “อ่าน” หมายถึง สังเกตหรือพิจารณาดูเพ่ือให้เข้าใจ เช่น อ่านสีหน้า อ่านริมฝีปาก อ่านใจ ตีความ เชน่ อา่ นรหสั อา่ นลายแทง  สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คมู่ ือครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 ต เม่ือปีพุทธศักราช 2541 กรมวิชาการ ได้กล่าวถึงความสาคัญของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็นทักษะท่ี สาคัญ จาเป็นต้องเน้นและฝึกฝนให้แกน่ ักเรียนเป็นอย่างมาก เน่อื งจากการอ่านเป็นกระบวนการสาคัญที่ทาให้ ผู้อา่ นสรา้ งความหมายหรือพฒั นาการวิเคราะห์ ตคี วามในระหวา่ งอ่าน ผอู้ ่านจะตอ้ งรู้หัวเรื่อง รูจ้ ุดประสงค์การ อ่าน มีความรู้ทางภาษาใกล้เคียงกับภาษาที่ใช้ในหนังสือที่อ่านและจาต้องใช้ประสบการณ์เดิมท่ีเป็น ประสบการณ์พื้นฐานของผู้อ่าน ทาความเข้าใจเร่ืองที่อ่าน ทั้งน้ีนักเรียนแต่ละคนอาจมีทักษะในการอ่านที่ แตกต่างกัน ข้ึนกับองค์ประกอบหลายอยา่ ง เช่น ประสบการณ์เดิมของนักเรยี น ความสามารถด้านภาษา หรือ ความสนใจเร่ืองท่ีอ่าน ครูควรสังเกตนักเรียนว่านักเรียนแต่ละคนมีความสามารถในการอ่านอยู่ในระดับใด ซ่ึง ครูจะต้องพิจารณาทั้งหลักการอ่าน และความเข้าใจในการอ่านของนักเรียน ท้ังน้ี สสวท. ขอเสนอแนะวิธีการ สอนแบบตา่ ง ๆ เพอ่ื เปน็ การฝึกทักษะการอ่านของนักเรียน ดังน้ี  เทคนิคการสอนแบบ DR-TA (The directed reading-thinking activity) เป็นการสอนอ่านที่มุ่งเน้นให้นักเรียนได้ฝึกกระบวนการคิด กลั่นกรองและตรวจสอบข้อมูลท่ีได้จากการ อ่านด้วยตนเอง โดยให้นักเรียนคาดคะเนเนื้อหาหรือคาตอบล่วงหน้าจากประสบการณ์เดิมของนักเรียน โดยมี ข้ันตอนการจัดการเรียนการสอน ดงั นี้ 1. ครจู ดั แบง่ เนอื้ เรือ่ งทจ่ี ะอ่านออกเป็นส่วนยอ่ ย และวางแผนการสอนอา่ นของเนอ้ื เร่อื งทงั้ หมด 2. ในการนาเข้าสู่บทเรยี น ครชู กั ชวนให้นกั เรียนคิดว่านักเรยี นร้อู ะไรเกีย่ วกบั เรอื่ งท่จี ะอ่านบ้าง 3. ครูใหน้ ักเรียนสังเกตรูปภาพ หัวข้อ หรืออื่น ๆ ที่เกยี่ วกบั เนือ้ หาท่จี ะเรียน 4. ครูต้ังคาถามให้นักเรียนคาดคะเนเน้ือหาของเรื่องที่กาลังจะอ่าน ซ่ึงอาจให้นักเรียนคิดว่าจะได้เรียน เกยี่ วกบั อะไร โดยครูพยายามกระต้นุ ใหน้ กั เรยี นได้แสดงความคิดเหน็ หรือคาดคะเนเนื้อหา 5. ครูอาจให้นักเรียนเขียนสิ่งท่ีตนเองคาดคะเนไว้ โดยจะทาเป็นรายคนหรือเป็นคู่ก็ได้ หรือครูนา อภปิ รายแลว้ เขียนแนวคิดของนกั เรียนแต่ละคนไวบ้ นกระดาน 6. นักเรียนอ่านเนื้อเร่ือง จากนั้นประเมินหรือตรวจสอบ และอภิปรายว่าการคาดคะเนของตนเองตรง กับเนื้อเร่ืองท่ีอ่านหรือไม่ ถ้านักเรียนประเมินว่าเร่ืองที่อ่านมีเน้ือหาตรงกับท่ีคาดคะเนไว้ให้นักเรยี น แสดงขอ้ ความท่สี นบั สนนุ การคาดคะเนของตนเองจากเนื้อเรื่อง 7. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูวิเคราะห์ว่านักเรียนแต่ละคนสามารถใช้การคาดคะเนด้วย ตนเองอยา่ งไรบา้ ง 8. ทาซ้าขั้นตอนเดิมในการอ่านเน้ือเร่ืองส่วนอ่ืน ๆ เม่ือจบท้ังเรื่องแล้ว ครูปิดเรื่องโดยการทบทวน เนือ้ หาและอภปิ รายถึงวธิ ีการคาดคะเนของนักเรียนทค่ี วรใช้สาหรับการอา่ นเร่ืองอนื่ ๆ  เทคนิคการสอนแบบ KWL (Know – Want – Learning) เป็นการสอนอ่านที่มุ่งเน้นให้นักเรียนได้เชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่อย่างเป็น รูปธรรมและเป็นระบบ โดยผ่านตาราง 3 ช่อง คือ K-W-L (นักเรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเร่ืองที่จะอ่าน นักเรียน ต้องการรอู้ ะไรเกี่ยวกบั เร่ืองท่ีจะอา่ น นักเรียนได้เรียนรอู้ ะไรบ้างจากเรื่องท่ีอ่าน) โดยมขี นั้ ตอนการจัดการเรียน การสอน ดังนี้ สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

ถ คมู่ ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 1. ครูนาเข้าสู่บทเรียนด้วยการกระตุ้นความสนใจของนักเรียนเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เร่ืองท่ีจะอ่าน เช่น การใชค้ าถาม การนาด้วยรปู ภาพหรือวีดิทัศน์ทเ่ี กี่ยวกับเนอ้ื เรือ่ ง 2. ครูทาตารางแสดง K-W-L และอธิบายข้ันตอนการทากิจกรรมโดยใช้เทคนิค K-W-L ว่ามีข้ันตอน ดงั น้ี ขั้นท่ี 1 กิจกรรมก่อนการอ่าน เรียกว่า ข้ัน K มาจาก know (What we know) เป็นขั้นตอนที่ให้ นักเรียนระดมสมองแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเรื่องท่ีจะอ่าน แล้วบันทึกส่ิงท่ีตนเองรู้ลงใน ตารางช่อง K ขั้นตอนน้ีช่วยให้นักเรียนรู้ว่าตนเองรู้อะไรแล้วต้องอ่านอะไร โดยครูพยายาม ต้งั คาถามกระตุ้นใหน้ กั เรยี นไดแ้ สดงความคดิ เห็น ขัน้ ที่ 2 กิจกรรมระหว่างการอ่าน เรียกว่า ข้ัน W มาจาก want (What we want to know) เป็น ข้ันตอนที่ให้นักเรียนต้ังคาถามเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการรู้เก่ียวกับเรื่องที่กาลังจะอ่าน โดยครูและ นกั เรยี นรว่ มกนั กาหนดคาถาม แลว้ บนั ทกึ ส่งิ ทต่ี ้องการรู้ลงในตารางช่อง W ข้นั ที่ 3 กิจกรรมหลงั การอา่ น เรียกว่า ขน้ั L มาจาก learn (What we have learned) เปน็ ข้ันตอน ท่ีสารวจว่าตนเองได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการอ่าน โดยหลังจากอ่านเนื้อเร่ือง นักเรียนหา ข้อความมาตอบคาถามท่ีกาหนดไว้ในตารางช่อง W จากนั้นนาข้อมูลที่ได้จากการอ่านมา จัดลาดับความสาคญั ของข้อมูลและสรปุ เนื้อหาสาคัญลงในตารางช่อง L 3. ครูและนกั เรยี นรว่ มกันสรปุ เนอ้ื หา โดยการอภปิ รายหรือตรวจสอบคาตอบในตาราง K-W-L 4. ครแู ละนักเรยี นอาจร่วมกันอภปิ รายเกีย่ วกับการใช้ตาราง K-W-L มาช่วยในการเรียนการสอนการอ่าน  เทคนิคการสอนแบบ QAR (Question-answer relationship) เป็นการสอนอ่านท่ีมุ่งเน้นให้นักเรียนมีความเข้าใจในการจัดหมวดหมู่ของคาถามและตั้งคาถาม เพ่ือจะ ได้มาซ่ึงแนวทางในการหาคาตอบ ซ่ึงนักเรียนจะได้พิจารณาจากข้อมูลในเน้ือเร่ืองที่จะเรียนและประสบการณ์ เดมิ ของนักเรยี น โดยมีข้นั ตอนการจัดการเรยี นการสอน ดงั น้ี 1. ครูจัดทาชุดคาถามตามแบบ QAR จากเร่ืองท่ีนักเรียนควรรู้หรือเรื่องใกล้ตัวของนักเรียน เพื่อช่วยให้ นักเรยี นเขา้ ใจถึงการจัดหมวดหมู่ของคาถามตามแบบ QAR และควรเชอื่ มโยงกบั เรื่องทจ่ี ะอา่ นต่อไป 2. ครูแนะนาและอธิบายเกี่ยวกับการสอนแบบ QAR โดยครูควรช้ีแจงนักเรียนในการอ่านและตั้งคาถาม ตามหมวดหมู่ ได้แก่ คาถามท่ีตอบโดยใช้เน้ือหาจากสิ่งท่ีอ่าน คาถามทต่ี ้องคิดและค้นคว้าจากสิ่งที่อ่าน คาถามที่ไม่มีคาตอบโดยตรงในเน้ือหาซึ่งนักเรียนใช้ความรู้เดิมและส่ิงทีผ่ ู้เขียนเขียนไว้ และคาถามที่ ใช้ความรู้เดิมของนกั เรียนในการตอบคาถาม 3. นักเรียนอ่านเนื้อเร่ือง ต้ังคาถามและตอบคาถามตามหมวดหมู่ และร่วมกันอภิปรายเพื่อสรุปคาตอบ ของคาถาม 4. ครูและนักเรียนร่วมกันอภปิ รายเก่ยี วกับการใช้เทคนิคนีด้ ้วยตนเองไดอ้ ย่างไร 5. ครแู ละนักเรยี นอาจรว่ มกนั อภปิ รายเก่ียวกับการใช้ตาราง K-W-L มาช่วยในการเรียนการสอนการอ่าน 2. การใช้งานส่อื QR CODE  สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คู่มอื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ท QR CODE เป็นรหัสหรือภาษาท่ีต้องใช้โปรแกรมอ่านหรือสแกนข้อมูลออกมา ซ่ึงต้องใช้งานผ่าน โทรศัพท์เคล่ือนที่หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ท่ีติดต้ังกล้องไว้ แล้วอ่าน QR Code ผ่านโปรแกรมต่าง ๆ เช่น LINE (สาหรับโทรศัพท์เคล่ือนท่ี) Code Two QR Code Reader (สาหรับคอมพิวเตอร์) Camera (สาหรับ ผลติ ภัณฑ์ของ Apple Inc.) ขั้นตอนการใช้งาน 1. เปิดโปรแกรมสาหรบั อ่าน QR Code 2. เลือ่ นอปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศพั ท์เคล่ือนที่ แท็บเลต็ เพ่อื ส่องรูป QR Code ไดท้ ้ังรูป 3. เปิดไฟล์หรือลิงกท์ ี่ขน้ึ มาหลังจากโปรแกรมได้อ่าน QR CODE **หมายเหตุ อปุ กรณท์ ่ีใช้อา่ น QR CODE ต้องเปิด Internet ไว้เพอ่ื ดึงขอ้ มูล 3. การใชง้ านโปรแกรมประยุกตค์ วามจรงิ เสริม (ภาพเคล่ือนไหว 3 มติ ิ) โปรแกรมประยุกต์ความจริงเสริม (AR) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสอ่ื เสรมิ ช่วยใหน้ ักเรียนเข้าใจ เน้ือหาสาระของแต่ละช้ันปีอย่างเป็นรูปธรรมมากข้ึน ซึ่งสาหรับระดับประถมศึกษาปีท่ี 4 จะใช้งานผ่าน โปรแกรมประยุกต์ “วทิ ย์ ป.4” ซ่ึงสามารถดาวน์โหลดได้ทาง Play Store หรอื Apps Store **หมายเหตุ เนื่องจากโปรแกรมมีขนาดไฟล์ท่ีใหญ่ประมาณ 150 เมกะไบต์ หากพ้ืนท่ีจัดเก็บไม่เพียงพออาจ ตอ้ งลบขอ้ มลู บางอย่างออกก่อนตดิ ตั้งโปรแกรม ขน้ั ตอนการตดิ ต้งั โปรแกรม 1. เขา้ ไปที่ Play Store ( ) หรอื Apps Store ( ) 2. คน้ หาคาว่า “วทิ ย์ ป.4” 3. กดเขา้ ไปท่โี ปรแกรมประยกุ ตท์ ่ี สสวท. พัฒนา 4. กด “ตดิ ตง้ั ” และรอจนติดตั้งเรียบร้อย 5. เข้าสู่โปรแกรมจะปรากฏหน้าแรก จากน้ันกด “วิธีการใช้งาน” เพื่อศึกษาการใช้งานโปรแกรม เบ้อื งต้นด้วยตนเอง 6. หลังจากศึกษาวิธีการใช้งานด้วยตนเองแล้ว กด “สแกน AR” และเปิดหนังสือเรยี นหนา้ ทีม่ ีสัญลกั ษณ์ AR 7. ส่องรูปท่ีอยู่บริเวณสัญลักษณ์ AR โดยมีระยะห่างประมาณ 10 เซนตเิ มตร และเลือกดูภาพในมมุ มองต่าง ๆ ตามความสนใจ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

ธ คมู่ อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 การจัดการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ในระดบั ประถมศึกษา นกั เรยี นในระดบั ประถมศกึ ษาตอนตน้ (ป.1 - ป.3) ตามธรรมชาตแิ ล้วมคี วามอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับ ส่ิงต่างๆ รอบตัว และเรียนรู้ได้ดีท่ีสุดด้วยการค้นพบ จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองโดยอาศัยประสาทสัมผัส ทั้งห้า ส่วนนักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4 - ป.6) มีพัฒนาการทางสติปัญญาจากข้ันการคิดแบบ รูปธรรมไปสู่ขั้นการคิดแบบนามธรรม มีความสนใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และสนใจว่าส่ิงต่าง ๆ ถูกประกอบเข้า ดว้ ยกนั อยา่ งไร และสง่ิ เหลา่ นนั้ ทางานกันอยา่ งไร นกั เรยี นในชว่ งวัยนส้ี ามารถทางานรว่ มกันเป็นกลุ่มได้ ดังนน้ั การจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนต้น คือ การให้โอกาสนักเรียนมีส่วนร่วมใน การลงมือปฏิบัติ การสารวจตรวจสอบ การค้นพบ ตามด้วยการตั้งคาถามเพื่อนาไปสู่การอภิปราย มีการ แลกเปล่ียนผลการทดลองด้วยคาพูด หรือวาดภาพ และมีการอภิปรายเพ่ือสรุปผลร่วมกัน สาหรับนักเรียนใน ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายต้องการโอกาสที่จะมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมกลุ่มโดยการทางานแบบ ร่วมมือ ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้นักเรียนทาโครงงานวิทยาศาสตร์ร่วมกันซึ่งจะเป็นการสร้างความสามัคคี และ ประสานสัมพนั ธร์ ะหวา่ งนักเรยี นในระดับนี้ดว้ ย การจัดการเรยี นการสอนที่เนน้ การสืบเสาะหาความร้ทู างวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ หมายถึงวิธีการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เพื่อศึกษาสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่าง เป็นระบบ และเสนอคาอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่ศึกษาด้วยข้อมูลท่ีได้จากการทางานทางวิทยาศาสตร์ มีวิธีการอยู่ หลากหลาย เชน่ การสารวจ การสืบค้น การทดลอง การสรา้ งแบบจาลอง นกั เรยี นทุกระดบั ชนั้ ควรไดร้ ับโอกาสในการสบื เสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาความสามารถในการ คิดและแสดงออกด้วยวิธีการท่ีเชื่อมโยงกับการสืบเสาะหาความรู้ซ่ึงรวมทั้งการตั้งคาถาม การวางแผนและดาเนินการ สืบเสาะหาความรู้ การใช้เคร่ืองมือและเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมในการรวบรวมข้อมูล การคิดอย่างมีวิจารณญาณและมี เหตุผลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพยานหลักฐานและการอธิบาย การสร้างและวิเคราะห์คาอธิบายที่หลากหลาย และการสื่อสารขอ้ โตแ้ ยง้ ทางวิทยาศาสตร์ การจัดการเรียนการสอนที่เนน้ การสืบเสาะหาความรู้ เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีใหน้ ักเรียนมีส่วนรว่ มใน กระบวนการทานาย จัดกระทาและตีความหมายข้อมูล และส่ือสารเก่ียวกับผลท่ีได้โดยใช้คาศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ วิธีการน้ีมีศักยภาพสูงในการจูงใจนักเรียนและทาให้นักเรียนตื่นตัว เป็นการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับ สิ่งต่างๆ รอบตัวนักเรียน และในขณะเดียวกันก็พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วย การนาวิธีนี้ไปใช้ได้ อย่างประสบความสาเรจ็ ต้องอาศัยการเตรียมตัวและการคิดลว่ งหน้าของครูผูส้ อน การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นการ สืบเสาะหาความรู้ ควรมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีความต่อเนื่องกันจากท่ีเน้นครูเป็นสาคัญไปจนถึงเน้นนักเรียน เป็นสาคัญ ดังน้ี การสืบเสาะหาความรแู้ บบครูเป็นผู้กาหนดแนวทาง (Structured Inquiry) การสืบเสาะหาความรูแ้ บบ ทั้งครูและนักเรียนเป็นผ้กู าหนดแนวทาง (Guided Inquiry) การสืบเสาะหาความรู้แบบนักเรียนเป็นผู้กาหนดแนวทาง  สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คูม่ ือครูรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 น (Open Inquiry) นักเรียนทากิจกรรมตามที่ครูกาหนด นักเรียนพัฒนาวธิ ี ดาเนินการสารวจ ตรวจสอบจากคาถามท่ีครู ตัง้ ขนึ้ นักเรียนต้ังคาถามในหวั ขอ้ ท่ีครเู ลอื ก พร้อมท้ังออกแบบการสารวจตรวจสอบด้วยตนเอง การสบื เสาะหาความรแู้ บบครเู ปน็ ผู้กาหนดแนวทาง (Structured Inquiry) การสืบเสาะหาความรู้ด้วยวิธีน้ีครูเป็นผู้ตั้งคาถามและบอกวิธีการให้นักเรียนค้นหาคาตอบ ครูช้ีแนะ นักเรียนทุกข้ันตอนโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เน้ือหาบางเรื่องในสาระการเรียนรู้เหมาะท่ีจะใช้การ สืบเสาะด้วยวิธีนี้ โดยเฉพาะเร่ืองทีเ่ กย่ี วข้องกับคาถามตามมาตรฐานการเรียนรทู้ ่ีต้องใช้เคร่ืองมือทดลองพิเศษ เช่น  พชื สญู เสยี นา้ โดยผา่ นทางใบใช่หรือไม่  อะไรบ้างทีจ่ าเป็นต่อการเผาไหม้  อะไรคอื ความสัมพันธร์ ะหว่างแรงและการเคลือ่ นที่ ประโยชนข์ องการสืบเสาะหาความรโู้ ดยวธิ นี คี้ ือ ทาให้นกั เรียนคุ้นเคยกบั วธิ กี ารสบื เสาะหาความรู้ เพ่ือนาไปสู่ การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เน่ืองจากนักเรียนจะไดร้ ับการฝึกฝนเทคนิคบางอย่าง เช่น การทดสอบ ค่า pH หรือการคานวณหาค่าความหนาแน่น ซ่ึงครูสามารถทราบล่วงหน้าถึงคาถามท่ีนักเรียนจะต้ังข้ึนเพ่ือหาคาตอบ จึงทาใหค้ รูมคี วามพร้อมในส่ิงท่ตี อ้ งอภิปรายร่วมกนั การสืบเสาะหาความรู้แบบครูเป็นผู้กาหนดแนวทางอาจไม่ได้ทาให้นักเรียนมีส่วนร่วมท้ังหมดหรือไม่ได้ พฒั นาทักษะการคิดวิจารณญาณขั้นสงู เหมือนอย่างสองรปู แบบถดั ไป การสบื เสาะหาความรู้แบบทั้งครแู ละนักเรียนเปน็ ผ้กู าหนดแนวทาง (Guided Inquiry) การสืบเสาะหาความรู้ด้วยวิธีนี้ครูเป็นผู้ตั้งคาถามและจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการสารวจตรวจสอบ ให้กับนักเรียน นักเรียนจะเป็นผู้ออกแบบการทดลองด้วยตัวเอง หัวข้อเรื่องตามมาตรฐานการเรียนรู้หลายหัวข้อ สามารถใช้การสบื เสาะหาความรู้แบบนี้ คาถามท่ีครอู าจใช้ถามนักเรียน เช่น ● จะเกิดอะไรข้นึ กบั บอลลูนถ้าบอลลูนลอยจากบริเวณทม่ี ีอากาศร้อนไปสูบ่ ริเวณท่มี ีอากาศเยน็ ● พืชโดยท่วั ไปมโี ครงสรา้ งอะไรที่เหมือนกนั ● จะเกดิ อะไรข้นึ เมื่อหย่อนวตั ถทุ ี่มีมวลต่างกันลงในน้า การสืบเสาะหาความรู้แบบทั้งครูและนักเรียนเป็นผูก้ าหนดแนวทางต้องการให้นักเรียนคุ้นเคยกับขั้นตอน หลักของการสืบเสาะหาความรู้ ครูมีความรับผิดชอบในการเตรียมการประเมินที่เน้นการสืบเสาะหาความรู้และ ติดตามประเมินนักเรยี น การสบื เสาะหาความรู้แบบนักเรียนเป็นผกู้ าหนดแนวทาง (Open Inquiry) การสืบเสาะหาความรู้ด้วยวิธีน้ีครูเป็นผู้จดั หาวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการสารวจตรวจสอบให้กับนักเรียน แต่ นกั เรยี นเป็นผู้ตั้งคาถามและออกแบบการสารวจตรวจสอบดว้ ยตวั เอง ตอ่ ไปนเี้ ปน็ ตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์ที่ครูจัดหา ให้กบั นักเรียน แล้วให้นักเรียนต้งั คาถามปญั หาที่เกีย่ วข้องกบั วสั ดุอุปกรณ์ท่จี ัดให้ เชน่ ● เทยี นไข ไมข้ ีดไฟ แผ่นกนั แสงทีแ่ สงผา่ นได้ต่างกัน ● ส่ิงของต่างๆ หลายชนิดทีอ่ าจจมหรือลอยน้า สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 

บ คมู่ ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 ● ของแข็ง บีกเกอร์ นา้ และแทง่ แก้วคน ● ถุงท่ีมีกอ้ นหินขนาดต่าง ๆ 1 ถุง เนื่องจากนักเรียนเป็นผู้ออกแบบการทดลองตามคาถามท่ีตั้งข้ึนเอง จึงเป็นการยากที่จะใช้วิธีการน้ีกับ หัวข้อเร่ืองตามมาตรฐานการเรียนรู้ ส่ิงสาคัญในการสืบเสาะหาความรู้แบบน้ีคือ การที่นักเรียนเลือกหัวข้อเร่ือง หลังจากการตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์ท่ีกาหนดมาให้ เพ่ือให้ประสบความสาเร็จกับการสืบเสาะหาความรู้ด้วยวิธีนี้ ครคู วรสามารถ จดั การเรียนการสอนได้ดงั นี้ ● วางแผนการประเมินที่เน้นการสบื เสาะหาความรอู้ ย่างรอบคอบ ● สร้างกฎระเบียบในห้องเรียนในการทางานร่วมกันของนักเรียน และการใช้วัสดุอุปกรณ์การ ทดลองไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ ● ให้คาแนะนากับนักเรยี นทีย่ ังสับสนเกยี่ วกับการสืบเสาะหาความรโู้ ดยวิธนี ้ี ● เตรียมคาถามหลังจากการทากิจกรรมเพ่ือเช่ือมโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้ การจัดการเรียนการ สอนแบบการสืบเสาะหาความรู้แบบนักเรียนเป็นผู้กาหนดแนวทางนี้ อาจทาให้ครูต้องเผชิญ ปัญหาเฉพาะหน้ามากขึ้นกว่า การจัดการเรียนการสอนแบบการสืบเสาะหาความรู้แบบครู เป็นผู้กาหนดแนวทาง แต่ถ้าใช้หัวข้อท่ีเหมาะสมและมีการเตรียมบทเรียนอย่างรอบคอบ วิธี น้ีสามารถทาให้ทั้งนักเรียนและครูตื่นตัว และยังเป็นการให้โอกาสนักเรียนในการพัฒนา ทกั ษะการสืบเสาะหาความรู้และการให้เหตุผลเชงิ วิทยาศาสตร์อีกด้วย การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในห้องเรยี น เราสามารถจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในห้องเรียนโดยจัดโอกาสให้นักเรียนได้สืบเสาะหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ตามที่หลักสูตรกาหนด ด้วยกระบวนการแบบเดียวกันกับท่ีนักวิทยาศาสตร์สืบเสาะ แต่อาจมี รปู แบบทีห่ ลากหลายตามบรบิ ทและความพร้อมของครแู ละนกั เรยี น เชน่ การสืบเสาะหาความรู้แบบปลายเปิด (Opened Inquiry) ท่ีนักเรียนเป็นผู้ควบคุมการสืบเสาะหาความรู้ของตนเองตั้งแต่การสร้างประเด็นคาถาม การสารวจตรวจสอบ (Investigation) และอธบิ ายสิง่ ท่ีศึกษาโดยใชข้ ้อมลู (Data) หรือหลักฐาน (Evidence) ท่ี ได้จากการสารวจตรวจสอบ การประเมินและเชื่อมโยงความรู้ที่เกี่ยวข้องหรือคาอธิบายอ่ืนเพ่ือปรับปรุง คาอธิบายของตนและนาเสนอต่อผู้อื่น นอกจากนี้ ครูอาจใช้การสืบเสาะหาความรู้ท่ีตนเองเป็น ผู้กาหนด แนวในการทากิจกรรม (Structured Inquiry) โดยครูสามารถแนะนานกั เรียนได้ตามความเหมาะสม ในการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ครูสามารถออกแบบการสอนให้มี ลักษณะสาคัญของการสบื เสาะ ดงั นี้ 1. นักเรียนมีส่วนร่วมในประเด็นคาถามทางวิทยาศาสตร์ คาถามทางวิทยาศาสตร์ในท่ีนี้หมายถึงคาถาม ที่นาไปสู่การสืบเสาะค้นหาและรวบรวมข้อมูลหลักฐาน คาถามที่ดีควรเป็นคาถามท่ีนักเรียนสามารถ หาขอ้ มลู หรือหลักฐานเชิงประจักษเ์ พอ่ื ตอบคาถามน้ัน ๆ ได้  สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มือครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ป 2. นักเรียนให้ความสาคัญกับข้อมูลหลักฐานในการอธิบายและประเมินคาอธิบายหรือคาตอบ นักเรียน ต้องลงมือทาปฏิบัติการ เช่น สังเกต ทดลอง สร้างแบบจาลอง เพ่ือนาหลักฐานเชิงประจักษ์ต่าง ๆ มาเชอ่ื มโยง หาแบบรปู และอธิบายหรอื ตอบคาถามท่ศี กึ ษา 3. นักเรียนอธิบายแนวคิดทางวิทยาศาสตร์จากหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ต้องแสดงความสัมพันธ์ชองข้อมูลเชิงประจักษ์ท่ีรวบรวมได้ สามารถจาแนก วิเคราะห์ ลงความเห็น จากข้อมลู พยากรณ์ ต้งั สมมตฐิ าน หรอื ลงข้อสรปุ 4. นักเรียนประเมินคาอธิบายของตนกับคาอธิบายอ่ืนๆ ท่ีสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจแนวคิด ทางวิทยาศาสตร์ นักเรียนสามารถประเมิน (Judge) ข้อมูลและหลักฐานต่างๆ เพื่อตัดสินใจ (Make Decision) วา่ ควรเพิกเฉยหรอื นาคาอธิบายน้ันมาพจิ ารณาและปรบั ปรงุ คาอธบิ ายของตนเอง ใน ขณะเดียวกันก็สามารถประเมินคาอธิบายของเพื่อน บุคคลอื่น หรือแหล่งข้อมูลอื่น แล้วนามา เปรยี บเทียบ เช่ือมโยง สัมพันธ์ แลว้ สร้างคาอธบิ ายอย่างมเี หตุผลและหลักฐานสนับสนนุ ซ่งึ สอดคลอ้ ง กับความรู้ทางวทิ ยาศาสตรท์ ี่ได้รบั การยอมรับแลว้ 5. นักเรียนส่ือสารการค้นพบของตนให้ผู้อ่ืนเข้าใจ นักเรียนได้ส่ือสารและนาเสนอการค้นพบของตนใน รูปแบบท่ีผู้อ่ืนเข้าใจ สามารถทาตามได้ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ได้มีการซักและตอบคาถาม ตรวจสอบ ข้อมูล ให้เหตุผล วิจารณ์และรับคาวิจารณ์และได้แนวคิดหรือมุมมองอ่ืนในการปรับปรุงการ อธบิ าย หรอื วธิ ีการสืบเสาะค้นหาคาตอบ แผนผังการสืบเสาะหาความรู้ มสี ่วนรว่ มในคาถาม ส่ือสารและให้เหตผุ ล เกบ็ ข้อมลู หลกั ฐาน เชอ่ื มโยงสงิ่ ทพ่ี บกับส่ิงทผี่ ู้อื่นพบ อธิบายส่ิงท่ีพบ ภาพ วัฏจกั รการสบื เสาะหาความร้ทู างวิทยาศาสตร์ในห้องเรยี น สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 

ผ ค่มู ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 ในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ ครูสามารถออกแบบการสอนให้เหมาะสม และสอดคล้องกับเน้ือหาท่ีสอน สภาพห้องเรียน ความพร้อมของครูและนักเรียน และบริบทอื่นๆ การยืดหยุ่น ระดับการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรูส้ ามารถอธบิ ายได้ดงั ตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 ลักษณะจาเปน็ ของการสืบเสาะหาความร้ใู นช้ันเรียนและระดับของการสืบเสาะหาความรู้ ลักษณะจาเป็น ระดับการสืบเสาะหาความรู้ 1. นักเรียนมสี ว่ นร่วม นกั เรยี นเป็นผถู้ าม นกั เรียนเลอื กคาถาม นกั เรยี นพจิ ารณา นักเรยี นสนใจคาถาม ในประเดน็ คาถาม คาถาม และสร้างคาถามใหม่ และปรับคาถามทค่ี รู จาก สอ่ื การสอนหรือ ทางวทิ ยาศาสตร์ จากรายการคาถาม ถามหรอื คาถามจาก แหลง่ อนื่ ๆ แหลง่ อ่ืน 2. นกั เรียนให้ นกั เรียนกาหนด นักเรยี นไดร้ ับการ นกั เรยี นได้รบั ข้อมลู นกั เรยี นได้รบั ขอ้ มลู ความสาคญั กับ ข้อมลู ทจ่ี าเป็นในการ ชี้นาในการเกบ็ เพือ่ นาไปวิเคราะห์ และการบอกเลา่ ขอ้ มลู หลักฐานท่ี ตอบคาถามและ รวบรวมข้อมลู ท่ี เกย่ี วกับ การวเิ คราะห์ สอดคลอ้ งกบั รวบรวมข้อมลู จาเป็น ข้อมูล คาถาม 3. นักเรียนอธิบายสงิ่ นกั เรยี นอธบิ ายสง่ิ ที่ นักเรยี นไดร้ ับการ นักเรียนไดร้ ับ นกั เรยี นไดร้ บั หลักฐาน ทีศ่ กึ ษาจาก ศกึ ษาหลงั จาก ชี้แนะในการสร้าง แนวทาง หรอื ขอ้ มูล หลกั ฐานหรอื รวบรวมและสรปุ คาอธบิ ายจากขอ้ มลู ทเี่ ปน็ ไปไดเ้ พ่อื สรา้ ง ข้อมลู ขอ้ มูล/หลกั ฐาน หลักฐาน คาอธิบายจากขอ้ มลู หลกั ฐาน 4. นักเรยี นเชอ่ื มโยง นกั เรยี นตรวจสอบ นกั เรียนไดร้ บั การ นักเรียนได้รบั การ นักเรียนได้รบั การ คาอธิบายกับ แหล่งข้อมลู อนื่ และ ช้ีนาเกยี่ วกบั แนะนาถงึ ความ เชอ่ื มโยงทัง้ หมด องคค์ วามรู้ทาง เชื่อมโยงกับ แหล่งขอ้ มูลและ เช่ือมโยงทเี่ ปน็ ไปได้ วทิ ยาศาสตร์ คาอธบิ ายท่สี รา้ งไว้ ขอบเขตความรูท้ าง วทิ ยาศาสตร์ 5. นกั เรยี นสือ่ สาร นกั เรยี นสร้าง นักเรียนได้รบั การ นักเรยี นได้รับ นักเรยี นไดร้ ับ และให้เหตุผล ขอ้ คิดเห็นทม่ี เี หตุผล ฝกึ ฝนในการพฒั นา แนวทางกว้างๆ คาแนะนาถึงขนั้ ตอน เกยี่ วกับการ และมีหลกั การเพอื่ วธิ กี ารสอ่ื สาร สาหรับการสอ่ื สารที่ และวิธีการสอ่ื สาร คน้ พบของตน ส่ือสารคาอธบิ าย ชดั เจน ตรงประเดน็ มาก ปริมาณการจัดการเรยี นรโู้ ดยนกั เรียน น้อย นอ้ ย ปริมาณการชีน้ าโดยครหู รอื สอื่ การสอน มาก  สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู่ ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ฝ การจดั การเรียนการสอนท่สี อดคล้องกบั ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เป็นลักษณะเฉพาะตัวของวิทยาศาสตร์ท่ีมีความแตกต่างจากศาสตร์อ่ืน ๆ เป็นค่านิยม ข้อสรุป แนวคิด หรือคาอธิบายที่บอกว่า วิทยาศาสตร์คืออะไร มีการทางานอย่างไร นักวิทยาศาสตร์คือใคร ทางานอย่างไร และงานด้านวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์อย่างไรกับสังคม ค่านิยม ข้อสรุป แนวคิด หรอื คาอธิบายเหลา่ น้จี ะผสมกลมกลืนอยู่ในตวั วิทยาศาสตร์ ความรทู้ างวิทยาศาสตร์ และการ พัฒนาความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์สาหรบั นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนต้น ความเขา้ ใจเก่ียวกบั ธรรมชาติของ วิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ึนอยู่กับระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนและ ประสบการณ์ท่ีครูจัดให้กับนักเรียน ความสามารถของนักเรียนในการสังเกตและการส่ือความหมายในส่ิงท่ี สังเกตของนักเรียนในระดับนี้ค่อย ๆ พัฒนาข้ึน ครูควรอานวยความสะดวกในการพัฒนาทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์และแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน นักเรียนในระดับนี้เร่ิมที่จะเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ คืออะไร วิทยาศาสตร์ทางานอย่างไร และนักวิทยาศาสตร์ทางานกันอย่างไรจากการทากิจกรรมในห้องเรียน จากเร่อื งราวเกี่ยวกับนักวทิ ยาศาสตร์ และจากการอภิปรายในห้องเรียน นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนปลายซึ่งกาลังพัฒนาฐานความรู้โดยใช้การสังเกตมากข้ึน สามารถ นาความรมู้ าใชเ้ พื่อก่อใหเ้ กิดความคาดหวงั เกยี่ วกับสิง่ ตา่ ง ๆ รอบตวั โอกาสการเรียนร้สู าหรบั นักเรยี นในระดับนี้ ควรเน้นไปท่ีทักษะการตั้งคาถามเชิงวิทยาศาสตร์ การสร้างคาอธิบายท่ีมีเหตุผลโดยอาศัยพยานหลักฐานที่ ปรากฏ และการสื่อความหมายเก่ียวกับความคิดและการสารวจตรวจสอบของตนเองและของนักเรียนคนอื่นๆ นอกจากน้ีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สามารถเพิ่มความตระหนักถึงความหลากหลายของคนในชุมชน วิทยาศาสตร์ นักเรียนในระดับนี้ควรมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ีช่วยให้เขาคิดอย่างมีวิจารณญาณเก่ียวกับ พยานหลกั ฐานและความสมั พันธ์ระหว่างพยานหลกั ฐานกับการอธบิ าย การเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรข์ องนักเรยี นแตล่ ะระดับชนั้ มพี ัฒนาการเปน็ ลาดับดังน้ี นักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 สามารถตั้งคาถาม บรรยายคาถามด้วยคาพูด และเขียน เกี่ยวกับคาถาม เขาสามารถสารวจตรวจสอบคาถาม และรวบรวมพยานหลักฐานจากการสังเกต การสังเกต ของเขาจะมีรายละเอียดมากข้ึนและมีความสัมพันธ์กับคาถามท่ีมีอยู่ นักเรียนสามารถบันทึกข้อมูลในสิ่งท่ี สังเกตและจากประสบการณ์ของเขา นักเรียนควรได้รับโอกาสในการฝึกทักษะเหล่าน้ีโดยผ่านการสารวจ ตรวจสอบในห้องเรียน นักเรียนควรได้รับโอกาสในการมองหาพยานหลักฐานและสังเกตแบบแผนที่เกิดขึ้น การอภิปรายในชั้นเรียนเพ่ือแลกเปล่ียนพยานหลักฐานและความคิดควรไปด้วยกันกับการสารวจตรวจสอบ เพื่อให้นักเรียนได้ใช้ความสามารถท่ีเกิดขึ้นในการทบทวนความคิดท่ีตั้งอยู่บนพยานหลักฐานใหม่ เร่ืองราว ต่างๆ ท่ีเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์สามารถช่วยให้นักเรียนในระดับชั้นน้ีเรียนรู้ว่า นักวิทยาศาสตร์มีความคิด สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 

พ คมู่ ือครูรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 สร้างสรรค์และมีความอยากรอู้ ยากเห็น และเขาสามารถเรียนรู้รว่ มกันและแลกเปลี่ยนความคิดของกันและกัน โดยผ่านเรอื่ งราวตา่ งๆที่ปรากฏ นกั เรยี นสามารถเรียนร้วู ่าทุกคนสามารถเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ได้ นักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 สามารถพัฒนาความสามารถในการออกแบบและดาเนินการ สารวจตรวจสอบเพื่อตอบคาถามที่ได้ตั้งไว้ เขาควรได้รับการกระตุ้นในการวาดภาพสิ่งท่ีสังเกตได้และ สอื่ ความหมายความคิดของเขาจากสิ่งทส่ี ังเกต เขาควรได้รับคาแนะนาในการใช้การสังเกตเพ่ือสรา้ งคาอธิบายท่ี มีเหตุผลในการตอบคาถามของตัวเอง การอ่านและการอภิปรายเร่ืองราวต่างๆ ว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร และ วิทยาศาสตร์ทางานได้อย่างไร เหล่านี้ล้วนเป็นกลวิธีท่ีมีประสิทธิภาพท่ีจะทาให้นักเรียนเรียนรู้ธรรมชาติของ วทิ ยาศาสตรแ์ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และสามารถชว่ ยนาเสนอแนวคิดเชงิ วทิ ยาศาสตร์ใหม่ ๆ ดว้ ย นักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ในระดับน้ีครูสามารถสร้างความอยากรู้อยากเห็นเก่ียวกับ สิ่งต่าง ๆ รอบตัว โดยการให้นักเรยี นไดต้ ั้งคาถามท่ีสามารถตอบได้โดยการใช้ฐานความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์และ การสังเกตของตัวนักเรียนเอง นักเรียนสามารถทางานในกลุ่มแบบร่วมมือเพ่ือทาการสารวจตรวจสอบที่ เร่ิมต้นจากคาถามและกระบวนการท่ีนาไปสู่การค้นหาข้อมูลและการสื่อความหมายเกี่ยวกับคาตอบของ คาถามนั้นๆ ครูควรเน้นให้นักเรียนสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนและสร้างคาบรรยายและคาอธิบายจากสิ่งท่ี สังเกต ควรนาเสนอตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของความแตกต่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์หญิงและ ชายท่ีทางานในชุมชนวิทยาศาสตร์จากเรื่องราวและวีดิทัศน์ ตัวอย่างเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเก่ียวกับว่า วทิ ยาศาสตร์คืออะไรและวิทยาศาสตร์ทางานอยา่ งไร นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ควรได้รับโอกาสที่จะพัฒนาและทาการทดลองอย่างง่าย ๆ ที่ มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรเพียงตวั เดียวในแต่ละคร้งั ทที่ าการทดลอง นกั เรียนอาจต้องการคาแนะนาบา้ งในการ ทดลอง ครจู งึ ควรเข้าไปมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมทจ่ี ะช่วยเขาให้เหตผุ ลเก่ียวกับการสังเกต การสือ่ ความหมายกับ คนอื่น ๆ และวิจารณ์การทางานของตนเองและของคนอ่ืน ๆ โดยผ่านกิจกรรมที่ลงมือปฏิบัติการทดลองและ การอภิปราย นักเรียน สามารถเรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างการสังเกตและการลงความคิดเห็น (การ ตีความหมายส่ิงท่ีสังเกตได้) ขณะท่ีนักเรียนสารวจตรวจสอบคาถาม นักเรียนต้องการคาแนะนาในการค้นหา แหลง่ ขอ้ มลู ท่ีเชื่อถือได้และบูรณาการข้อมูลเหล่านั้นกับการสงั เกตของตนเอง นักเรียนควรอ่านเร่ืองราวต่าง ๆ และดวู ีดิทศั นเ์ ก่ยี วกับตวั อย่างทางประวัติศาสตร์ของนักวิทยาศาสตรช์ ายและหญิงที่ไดช้ ว่ ยพัฒนาวทิ ยาศาสตร์ นักเรียนควรมีส่วนร่วมในการอภิปรายเก่ียวกับว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร วิทยาศาสตร์ทางานอย่างไร และใคร ทางานวิทยาศาสตร์ นักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ต้องการคาแนะนาในการพัฒนาและนาการสารวจ ตรวจสอบไปใช้ การสารวจตรวจสอบน้ีต้องทันสมัยและแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการอธิบายและ พยานหลักฐานที่มี กิจกรรมท่ีนักเรยี นทาให้คาถามชดั เจนชว่ ยให้เขาพัฒนาความสามารถในการตัง้ คาถามทาง วิทยาศาสตร์ท่ีทดสอบได้ นักเรียนควรได้รับโอกาสในการตีความหมายข้อมูลและคิดอย่างมีวิจารณญาณว่า ใช่หรือไม่ที่พยานหลักฐานสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนคาอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ สามารถนามาใช้เพ่ือช่วยให้นักเรียนเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ีว่า  สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู่ อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ฟ วทิ ยาศาสตรค์ อื ความมานะอุตสาหะของมนุษย์และของคนในชุมชนวิทยาศาสตร์ และมนษุ ย์จะไดผ้ ลประโยชน์ จากความรู้ที่เพ่ิมข้นึ โดยผา่ นทางวิทยาศาสตร์ นักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ควรเน้นการสารวจตรวจสอบท่ีท้าทายคาอธิบายและความ เข้าใจในปัจจุบันของพวกเขา นักเรียนในระดับน้ีควรดาเนินการสารวจตรวจสอบที่เน้นการหาคาอธิบายของ คาถาม การสารวจตรวจสอบเหล่านี้จะพัฒนานักเรียนในเรื่องทักษะการสังเกต การทดสอบความคิด การ รวบรวมข้อมูลท่ีเกี่ยวข้อง การมองหาแบบแผนของข้อมูล การส่ือความหมายและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กับคนอื่น ๆ การฟังและการถามคาถามเก่ียวกับคาอธิบายท่ีนาเสนอโดยคนอื่นๆ เม่ือนักเรียนได้พัฒนาทักษะ เหล่าน้ี นักเรียนเร่ิมต้นที่จะเข้าใจว่านักวิทยาศาสตร์สร้างคาอธิบายโดยอาศัยพยานหลักฐานจานวนมาก วิทยาศาสตร์เปิดกว้างสู่แนวคิดใหม่ วิทยาศาสตร์ยอมรับความคิดใหม่ถ้าพยานหลักฐานชี้ว่าความคิดใหม่เป็น คาอธิบายที่ดีที่สุด และพยานหลักฐานใหม่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการทบทวนความคิด การทาให้เกิดความ แตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถเร่ิมต้นได้ในนักเรียนระดับนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ง่ายนัก สาหรับนักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ก็ตาม การมีส่วนร่วมในการออกแบบและการแก้ปัญหาเปน็ พื้นฐานที่ทาให้เข้าใจถึงความเหมือน ความแตกต่าง และความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสามารถช่วยให้นักเรียนเกดิ การเรยี นรวู้ า่ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีตา่ งกข็ ึ้นอยกู่ บั กนั และกัน การใชก้ รณี ตัวอย่างและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สามารถช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่าชุมชนวิทยาศาสตร์มีหลากหลาย นักวิทยาศาสตร์จานวนมากทางานเป็นทีม และนักวิทยาศาสตร์ท้ังหมดส่ือสารกันและกันในเร่ืองงานวิจัย พยานหลักฐาน และคาอธิบายของพวกเขา โดยผ่านท้ังตัวอย่างทางประวัติศาสตร์และตัวอย่างสมัยใหม่ ครู สามารถแสดงให้นักเรียนเห็นว่านักวิทยาศาสตร์ชายและหญิงไม่ว่าจะมาจากภูมิหลังทางเชื้อชาติ ห รือ วัฒนธรรมท่ีแตกต่างกันสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ก็คือ ความมานะ พยายาม และความอตุ สาหะของมนุษย์และคนในขุมชนวทิ ยาศาสตร์ทม่ี ีพืน้ ฐานของความซื่อสัตย์ทางสติปัญญา ความสงสยั ใคร่รู้ และใจกวา้ งต่อแนวคิดใหม่ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 

ภ คู่มอื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 การวดั ผลและประเมินผลการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ แนวคดิ สาคัญของการปฏริ ปู การศึกษาตามพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 ที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเปิด โอกาสให้นักเรียนคิดและลงมือปฏิบัติด้วยกระบวนการท่ีหลากหลาย เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง เต็มตามศักยภาพ การวัดและประเมินผลจึงมีความสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิงต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใน หอ้ งเรยี น เพราะสามารถทาให้ครูประเมินระดับพฒั นาการการเรียนรูข้ องนักเรยี นได้ กิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนมีหลากหลาย เช่น กิจกรรมสารวจภาคสนาม กิจกรรมการสารวจ ตรวจสอบ การทดลอง กิจกรรมศึกษาค้นคว้า กิจกรรมศกึ ษาปัญหาพิเศษ หรอื โครงงานวทิ ยาศาสตร์ อย่างไรก็ ตามในการทากิจกรรมเหล่าน้ีต้องคานึงว่านักเรียนแต่ละคนมีศักยภาพแตกต่างกัน นักเรียนจึงอาจทางาน ชิ้นเดียวกันได้เสร็จในเวลาท่ีแตกต่างกัน และผลงานที่ได้ก็อาจแตกต่างกันด้วย เม่ือนักเรียนทากิจกรรมเหลา่ นี้ แล้วก็ต้องเก็บรวบรวมผลงาน เช่น รายงาน ช้ินงาน บันทึก และรวมถึงทักษะปฏิบัติต่าง ๆ เจตคติทาง วิทยาศาสตร์ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ความรัก ความซาบซ้ึง กิจกรรมที่นักเรียนได้ทาและผลงานเหล่าน้ีต้องใช้ วิธีประเมินที่มีความเหมาะสมและแตกต่างกันเพ่ือช่วยให้สามารถประเมินความรู้ความสามารถและความรู้สึก นึกคิดที่แท้จริงของนักเรียนได้ การวัดผลและประเมินผลจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเม่ือมีการประเมินหลายๆ ด้าน หลากหลายวธิ ี ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ท่ีสอดคล้องกบั ชีวิตจริง และต้องประเมินอย่างต่อเนื่อง เพ่อื จะได้ข้อมูลท่ี มากพอที่จะสะทอ้ นความสามารถทีแ่ ท้จรงิ ของนักเรยี นได้ จดุ มุ่งหมายหลกั ของการวดั ผลและประเมนิ ผล 1. เพื่อค้นหาและวินิจฉัยว่านักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเน้ือหาวิทยาศาสตร์ มีทักษะความชานาญใน การสารวจตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์อย่างไรและในระดับใด เพ่ือเป็น แนวทางให้ครูสามารถวางแผนการจัดการเรยี นการสอนได้อยา่ งเหมาะสมเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรยี นได้ อย่างเตม็ ศักยภาพ 2. เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ข้อมูลย้อนกลบั ให้กบั นกั เรยี นวา่ มกี ารเรียนรู้อย่างไร 3. เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการสรุปผลการเรียน และเปรียบเทียบระดับพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของนักเรียน แตล่ ะคน การประเมินการเรียนรู้ของนักเรียน มี 3 แบบ คือ การประเมินเพ่ือค้นหาและวินิจฉัย การประเมิน เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน และการประเมินเพ่อื ตัดสนิ ผลการเรียนการสอน การประเมินเพื่อค้นหาและวินิจฉัย เป็นการประเมินเพ่ือบ่งช้ีก่อนการเรียนการสอนว่า นักเรียนมีพ้ืน ฐานความรู้ ประสบการณ์ ทักษะ เจตคติ และแนวคิดท่ีคลาดเคลือ่ นอะไรบ้าง การประเมินแบบนสี้ ามารถบ่งชี้ ได้ว่านักเรียนคนใดต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษในเร่ืองที่ขาดหายไป หรือเป็นการประเมินเพื่อพัฒนา ทักษะที่จาเป็นก่อนท่ีจะเรียนเร่ืองต่อไป การประเมินแบบน้ียังช่วยบ่งชี้ทักษะหรือแนวคิดที่มีอยู่แล้วของ  สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู่ อื ครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ม นกั เรียนอีกด้วย การประเมนิ เพื่อปรบั ปรุงการเรียนการสอน เปน็ การประเมินในระหว่างชว่ งทม่ี กี ารเรียนการสอน การ ประเมินแบบนี้จะช่วยครูบง่ ชี้ระดบั ที่นักเรียนกาลังเรียนอยู่ในเร่ืองท่ีได้สอนไปแล้ว หรือบ่งช้ีความรู้ของนกั เรยี นตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีได้วางแผนไว้ เป็นการประเมินท่ีให้ข้อมูลย้อนกลับกับนักเรียนและกับครูว่าเป็นไปตาม แผนการท่วี างไวห้ รอื ไม่ ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการประเมินแบบนไี้ ม่ใช่เพื่อเปา้ ประสงคใ์ นการให้ระดับคะแนน แตเ่ พอ่ื ช่วยครู ในการปรบั ปรงุ การสอน และเพ่ือวางแผนประสบการณต์ า่ งๆ ที่จะใหก้ ับนักเรยี นตอ่ ไป การประเมินเพ่ือตัดสินผลการเรียนการสอน เกิดขึ้นเม่ือส้ินสุดการเรียนการสอนแล้ว ส่วนมากเป็น “การ สอบ” เพ่ือให้ระดับคะแนนกับนักเรียน หรือเพ่ือให้ตาแหน่งความสามารถของนักเรียน หรือเพ่ือเป็นการบ่งช้ี ความก้าวหน้าในการเรียนของนักเรยี น การประเมนิ แบบน้ีถอื วา่ สาคญั ในความคิดของผู้ปกครองนกั เรียน ครู ผ้บู ริหาร อาจารย์แนะแนว ฯลฯ แต่ก็ไม่ใช่เป็นการประเมินภาพรวมทั้งหมดของความสามารถของนักเรยี น ครูต้องระมัดระวัง เมอ่ื ประเมนิ ผลรวมในการตัดสนิ ผลการเรียนของนักเรยี นเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสมดุล ความยตุ ธิ รรม และเกดิ ความตรง การตัดสินผลการเรียนของนักเรียนมักจะมีการเปรียบเทียบกับสิ่งอ้างอิง ส่วนมากการประเมินมักจะ อ้างอิงกลุ่ม (norm reference) คือเป็นการเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนโดยเปรียบเทียบกับกลุ่มหรือ คะแนนของนักเรียนคนอื่นๆ การประเมินแบบกลุ่มนี้จะมี “ผู้ชนะ” และ “ผู้แพ้” แต่ในหลายบริบท กลุ่มอ้างอิง หรือกลมุ่ เปรยี บเทยี บนี้จะมีความตรงและเหมาะสม อยา่ งไรก็ตาม การประเมินแบบอิงกลุ่มน้ีจะมีนักเรียนครึ่งหนึ่ง ที่อยู่ต่ากว่าระดับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม นอกจากนี้ยังมีการประเมินแบบอิงเกณฑ์ (criterion reference) ซึ่งเป็น การเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนกับเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้โดยไม่คานึงถึงคะแนนคนอ่ืนๆ ฉะนั้นจุดมุ่งหมาย ในการเรยี นการสอนจะต้องชดั เจนและมเี กณฑ์ทีบ่ อกให้ทราบว่าความสามารถระดับใดจึงจะเรยี กว่าบรรลถุ ึงระดับ “รอบรู้” โดยที่นักเรียนแต่ละคน หรือช้ันเรียนแต่ละชั้น หรือโรงเรียนแต่ละโรงจะได้รับการตัดสินว่าประสบ ผลสาเร็จก็ต่อเม่ือ นักเรียนแต่ละคน หรือช้ันเรียนแต่ละช้ัน หรือโรงเรียนแต่ละโรงได้สาธิตผลสาเร็จ หรือสาธิต ความรอบรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ข้อมูลท่ีใช้สาหรับการประเมินเพื่อวินิจฉัย หรือเพื่อ ปรับปรุงการเรียนการสอน หรือเพื่อตัดสินผลการเรียนการสอนสามารถใช้การประเมินแบบอิงกลุ่มหรืออิงเกณฑ์ เทา่ ท่ผี ่านมาการประเมินเพือ่ ตัดสนิ ผลการเรียนการสอนจะใชก้ ารประเมินแบบอิงกลุ่ม แนวทางการวดั ผลและประเมินผลการเรยี นรู้ การเรียนร้จู ะบรรลตุ ามเป้าหมายของการจดั กิจกรรมการเรียนร้ทู ี่วางไวไ้ ด้ ควรมีแนวทางดังตอ่ ไปนี้ 1. วัดและประเมินผลท้ังความรู้ความคิด ความสามารถ ทักษะกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยมในวิทยาศาสตร์ รวมทั้งโอกาสในการเรยี นรขู้ องนกั เรียน 2. วิธีการวัดและประเมินผลต้องสอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรียนรู้ที่กาหนดไว้ 3. เก็บข้อมลู ทีไ่ ดจ้ ากการวดั และประเมินผลอย่างตรงไปตรงมา และต้องประเมนิ ผลภายใตข้ ้อมูลท่ีมีอยู่ 4. ผลของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนต้องนาไปสู่การแปลผลและลงข้อสรุปท่ี สมเหตสุ มผล 5. การวดั และประเมินผลตอ้ งมีความเที่ยงตรงและเปน็ ธรรม ท้ังในด้านของวธิ กี ารวดั และโอกาสของการประเมนิ สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

ย คู่มอื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 วิธกี ารและแหล่งข้อมลู ทีใ่ ชใ้ นการวดั ผลและประเมนิ ผล เพ่อื ใหก้ ารวดั ผลและประเมินผลไดส้ ะท้อนความสามารถท่ีแท้จรงิ ของนักเรียน ผลการประเมนิ อาจ ไดม้ าจากแหลง่ ข้อมลู และวธิ ีการตา่ งๆ ดงั ต่อไปนี้ 1. สงั เกตการแสดงออกเป็นรายบคุ คลหรอื รายกลุ่ม 2. ชน้ิ งาน ผลงาน รายงาน 3. การสมั ภาษณ์ท้ังแบบเปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ 4. บนั ทกึ ของนกั เรียน 5. การประชมุ ปรึกษาหารือร่วมกันระหว่างนักเรียนและครู 6. การวัดและประเมินผลภาคปฏิบตั ิ 7. การวัดและประเมนิ ผลดา้ นความสามารถ 8. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้โดยใชแ้ ฟม้ ผลงาน  สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู่ ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ร ตารางแสดงความสอดคล้องระหว่างเนอื้ หาและกิจกรรม ระดับชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 4 เล่ม 1 กับตวั ชว้ี ัด กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พทุ ธศักราช 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 หนว่ ยการ ชอ่ื กิจกรรม เวลา ตวั ชีว้ ัด เรยี นรู้ (ชั่วโมง) - หนว่ ยท่ี 1 บทท่ี 1 การเรยี นรู้แบบนกั วิทยาศาสตร์ 1  บรรยายหนา้ ที่ของราก ลาต้น ใบ และดอก 1 ของพชื ดอกโดยใชข้ อ้ มลู ทีร่ วบรวมได้ การเรียนรู้ เรอื่ งท่ี 1 การสบื เสาะหาความรทู้ าง 2  จาแนกสง่ิ มชี ีวติ โดยใช้ความเหมือน และความ สง่ิ ตา่ ง ๆ วิทยาศาสตร์ 0.5 แตกต่างของลกั ษณะของส่งิ มีชวี ิตออกเปน็ กลมุ่ พชื กลุ่มสัตว์ และกลมุ่ ท่ไี ม่ใช่พืชและสตั ว์ รอบตวั กจิ กรรมท่ี 1 ถ่วั เตน้ ระบาได้อย่างไร 2 1  จาแนกพชื ออกเปน็ พชื ดอกและพืชไมม่ ีดอก เร่อื งท่ี 2 การวดั และการใชจ้ านวนของ 0.5 โดยใชก้ ารมดี อกเป็นเกณฑ์ โดยใชข้ ้อมูลท่ี 2 รวบรวมได้ นกั วิทยาศาสตร์ 1 0.5  จาแนกสตั วอ์ อกเปน็ สตั ว์มีกระดกู สนั หลังและ กิจกรรมท่ี 2.1 การวดั ทาได้อยา่ งไร 2 สตั วไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั โดยใช้การมีกระดูกสนั หลงั เปน็ เกณฑ์ โดยใช้ข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ กิจกรรมที่ 2.2 การใช้จานวนทาได้อยา่ งไร 2 2  บรรยายลกั ษณะเฉพาะท่สี งั เกตไดข้ องสตั วม์ ี เรอื่ งที่ 3 การทดลองของนกั วิทยาศาสตร์ กระดูกสนั หลงั ในกลุ่มปลา กลุ่มสัตวส์ ะเทินน้า 1 สะเทนิ บก กลุ่มสัตว์เลอื้ ยคลาน กลมุ่ นก และ กิจกรรมท่ี 3 การทดลองทาได้อย่างไร กล่มุ สัตวเ์ ลี้ยงลกู ด้วยน้านม และยกตวั อยา่ ง 1 สงิ่ มชี ีวิตในแตล่ ะกลุ่ม หนว่ ยท่ี 2 บทที่ 1 สง่ิ มีชีวติ รอบตัว 1 2 สงิ่ มีชวี ิต เรื่องท่ี 1 การจดั กลมุ่ สง่ิ มชี ีวิต 2 กจิ กรรมท่ี 1.1 เราจาแนกส่ิงมีชีวิตได้ 2 อย่างไร กิจกรรมที่ 1.2 เราจาแนกสตั ว์ไดอ้ ยา่ งไร กิจกรรมที่ 1.3 เราจาแนกสัตวม์ กี ระดูกสัน หลังไดอ้ ย่างไร กิจกรรมที่ 1.4 เราจาแนกพืชได้อยา่ งไร บทท่ี 2 ส่วนตา่ ง ๆ ของพืชดอก เรือ่ งท่ี 1 หน้าที่สว่ นตา่ ง ๆ ของพชื ดอก กิจกรรมที่ 1.1 รากและลาต้นของพชื ทา หนา้ ที่อะไร กจิ กรรมท่ี 1.2 ใบของพชื ทาหนา้ ท่ีอะไร กจิ กรรมท่ี 1.3 ดอกของพชื ทาหนา้ ที่อะไร สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

ล คูม่ ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 หน่วยการ ชือ่ กิจกรรม เวลา ตวั ชว้ี ดั เรยี นรู้ (ชั่วโมง) หน่วยที่ 3 บทท่ี 1 มวลและน้าหนกั 0.5  ระบผุ ลของแรงโนม้ ถว่ งท่ีมตี อ่ วัตถจุ าก แรงและ เร่ืองท่ี 1 มวลและแรงโนม้ ถ่วงของโลก 1 หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ พลังงาน กจิ กรรมที่ 1.1 วัตถุเคลือ่ นท่ีอยา่ งไรเมื่อ 2  ใชเ้ ครือ่ งช่ังสปรงิ ในการวัดนา้ หนกั ของวัตถุ ถกู ปลอ่ ยจากมือ  บรรยายมวลของวตั ถุที่มีผลต่อการ กจิ กรรมท่ี 1.2 มวลและน้าหนักสมั พันธก์ นั 2 เปล่ยี นแปลงการเคล่ือนทข่ี องวตั ถจุ าก อยา่ งไร หลักฐานเชิงประจักษ์ กจิ กรรมท่ี 1.3 มวลมีผลต่อการเปลยี่ นแปลง 2  จาแนกวตั ถุเป็นตวั กลางโปรง่ ใส ตวั กลาง การเคล่ือนที่ของวัตถุ โปรง่ แสง และวัตถุทึบแสง จากลักษณะ อยา่ งไร การมองเหน็ ส่งิ ตา่ ง ๆ ผา่ นวัตถนุ ้นั เป็น บทที่ 2 ตวั กลางของแสง 0.5 เกณฑโ์ ดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ เรอื่ งที่ 1 การมองเหน็ ส่งิ ต่าง ๆ ผา่ นวัตถทุ ่ี 0.5 นามากนั้ กจิ กรรมท่ี 1 ลกั ษณะการมองเหน็ ต่างกัน 0.5 อย่างไรเม่อื มีวัตถุมากั้นแสง กิจกรรมท้ายบทที่ 2 ตัวกลางของแสง 2 รวมจานวนช่ัวโมง 36.5 หมายเหตุ: กจิ กรรม เวลาทใี่ ช้ และสง่ิ ทีต่ ้องเตรยี มล่วงหนา้ นนั้ ครูสามารถปรบั เปลีย่ นเพ่ิมเตมิ ได้ตามความ เหมาะสมของสภาพท้องถ่นิ  สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คมู่ ือครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ว รายการวัสดุอปุ กรณว์ ิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ลาดับท่ี รายการ จานวน/กลมุ่ จานวน/ห้อง จานวน/คน 10 เมล็ด 1 คู่ 1 เมลด็ ถ่วั เขยี ว 10 เมลด็ 5 ลิตร 10 เมลด็ 1 ใบ 2 เมล็ดถวั่ เขยี วต้ม 4 ขวด 4 ขวด 3 เมลด็ พืชอื่น ๆ 4 ขวด 4 ขวด 4 นา้ โซดา 2 ใบ 5 น้าอดั ลมใสไมม่ ีสี 1 ผล 1 ใบ 6 น้าเกลือ 1 อัน 2 ฟอง 7 นา้ เปล่า 1 เรือน 3-4 เส้น 8 แกว้ นา้ ใส 2-3 ใบ 2 ใบ 9 นา้ สี 1 ชุด 1 ชดุ 10 ภาชนะใส่นา้ สี 1 ใบ 1 เลม่ 11 ผลไม้ เช่น สม้ 1 ตวั 12 บีกเกอร์ 50 cm3 1 ตวั 13 กระบอกตวง 50 cm3 14 ไขน่ กกระทา 15 นาฬิกาจบั เวลา 16 เชือกฟาง 17 ถงุ พลาสติก 18 ถว้ ยพลาสตกิ 19 บัตรภาพส่งิ มีชวี ิต 20 บัตรภาพโครงสร้างภายนอก – ภายในของสตั ว์ 21 ถาด 22 มีด 23 ถุงมือยาง 24 ก้งุ 25 ปลา สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

ศ คมู่ อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 ลาดับท่ี รายการ จานวน/กล่มุ จานวน/ห้อง จานวน/คน 26 บตั รภาพสัตว์มกี ระดูกสนั หลังกลมุ่ ต่าง ๆ 1 ชดุ 27 พชื 1 ชนิด 1 กลกั 28 แว่นขยาย 2-3 อัน 1 ขวด 29 มีดโกน 1 เล่ม 1 ขวด 30 ต้นเทยี น 1 ตน้ 31 ดินสอสี 1 กล่อง 32 150 ลกู บาศก์ น้าสีแดง เซนตเิ มตร 33 1 ใบ 34 แก้วน้าหรอื ภาชนะใส 35 ไมข้ ีดไฟ 3 ใบ 36 สารละลายไอโอดีน 1 อัน 37 เอทานอล 1 ใบ 38 จานเพาะเชอ้ื 1 ชอ้ นเบอร์ 1 39 ปากคบี 1 ช้อนเบอร์ 1 40 กระป๋องทราย 1 ช้อนเบอร์ 1 41 แปง้ มันสาปะหลัง 1 ใบ 42 แปง้ ขา้ วโพด 1 อนั 43 แปง้ ฝุ่น 1 อัน 44 จานหลมุ 1 อนั 45 ทีจ่ ับหลอดทดลอง 1 ชดุ 46 หลอดหยด 1 หลอด บกี เกอร์ขนาด 250 cm3 47 ชดุ ตะเกียงแอลกอฮอล์ 2 ชนดิ 48 หลอดทดลองขนาดใหญ่ 1 ก้อน 49 ใบพืชชนิดต่าง ๆ ที่เปน็ แผน่ บาง เช่น ใบชบา ใบ ผักบงุ้ ใบหญา้ ดอกของพชื ชนิดต่าง ๆ 50 ดอกของพืชชนดิ ตา่ ง ๆ 51 ดินนา้ มัน  สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คมู อื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร ป.4 เลม 2 ษ ลาํ ดบั ท่ี รายการ จาํ นวน/กลุม จํานวน/หอ ง จาํ นวน/คน 1 อนั 2 ใบ 52 ฟองนํ้า 1 อัน 1 ใบ 1 แผน 53 แทงไม 1 ลูก 1 เมลด็ 54 ใบไม 2 ถงุ 1 อัน 55 ลูกบอล 1 อนั 56 เมลด็ ถ่วั 2 เสน 2 ขวด 57 ถงุ ทรายขนาด 500 กรัม 1 ถัง 1 แผน 58 เครอื่ งชัง่ สปรงิ 1 แผน 1 แผน 59 ขวดพลาสติกปดใหทบึ ดวยกระดาษ 1 เลม 1 แผน 60 คานไมหรือไมเ มตร 1 กลกั 2 แผน 61 เชือกฟาง 1 แผน 1 แผน 62 ขวดพลาสตกิ เปลา ขนาด 1 ลติ ร 63 ทราย 64 แผนไม 65 กระดาษไข 66 กระดาษแข็ง 67 เทยี นไข 68 กระจกฝา 69 ไมขดี ไฟ 70 กระดาษแกว สีตา ง ๆ 71 แผน พลาสตกิ ขุน 72 แผนพลาสตกิ ใส 73 แผน ไม สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 

1 คู่มอื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 | หนว่ ยท่ี 1 การเรียนรสู้ ิ่งตา่ ง ๆ รอบตวั หนว่ ยท่ี 1 การเรียนรูส้ ิ่งต่าง ๆ รอบตวั ภาพรวมการจดั การเรียนรู้ประจาหน่วยที่ 1 การเรียนรสู้ ิง่ ต่าง ๆ รอบตัว บท เรอื่ ง กิจกรรม ลาดบั การจัดการเรยี นรู้ ตวั ชีว้ ัด เร่อื งที่ 1 การสบื เสาะ กิจกรรมที่ 1 ถ่ัวเตน้ - บทที่ 1 การเรยี นรู้ หาความรูท้ าง ระบาได้อยา่ งไร  การสบื เสาะหาความรู้ แบบนกั วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตรเ์ พือ่ หา กจิ กรรมที่ 2.1 การวดั ทาได้ คาตอบในสง่ิ ที่สงสัย มี เรอื่ งที่ 2 การวดั และการ อยา่ งไร ลกั ษณะต่าง ๆ ดงั น้ี ใชจ้ านวนของ นักวิทยาศาสตร์ กิจกรรมท่ี 2.2 การใช้  การมสี ่วนรว่ มในการตั้ง จานวนทาไดอ้ ย่างไร คาถามทางวิทยาศาสตร์  การรวบรวมข้อมลู หรือ หลักฐานท่ีเกย่ี วขอ้ ง  การอธิบายสิง่ ที่สงสัย ด้วยข้อมลู หรือหลกั ฐาน อย่างมีเหตุผล  การอธิบายเช่อื มโยงส่งิ ท่ี ไดค้ ้นพบกบั ความรูท้ าง วทิ ยาศาสตร์  การสื่อสารส่ิงที่ได้คน้ พบ และใหเ้ หตผุ ล  การวัดเป็นการเลือกใช้ เคร่ืองมือในการวัดอย่าง เหมาะสมและวัดปริมาณ ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ออกมาเป็นตวั เลข และระบุ หน่วยของการวัดได้อย่าง ชดั เจน  การใชจ้ านวนเป็น ความสามารถในการนา ตัวเลขมาคดิ คานวณโดย การบวก การลบ การหาร หรอื การหาคา่ เฉลยี่ รวมทง้ั การนบั จานวนสงิ่ ของได้ ถกู ตอ้ ง  สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คู่มือครรู ายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 | หน่วยท่ี 1 การเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ รอบตัว 2 บท เรอ่ื ง กิจกรรม ลาดบั การจดั การเรยี นรู้ ตวั ช้ีวัด เรื่องที่ 3 การทดลองของ กิจกรรมที่ 3 การทดลองทา  การต้ังสมมติฐานเป็นการ นักวิทยาศาสตร์ ไดอ้ ยา่ งไร คาดคะเนคาตอบลว่ งหนา้ ร่วมคิด รว่ มทา  ก า ร ก า ห น ด นิ ย า ม เ ชิ ง ปฏิบัติการ เป็นการกาหนด ความหมายของคาตา่ ง ๆ ใน สมมติฐานให้สังเกตหรือวัด ได้  การกาหนดและควบคุมตัว แปร โดยการกาหนดตัวแปร ต้นหรือส่ิงที่จัดให้ต่างกันใน การทดลอง ตัวแปรตามหรือ ผลท่ีเกดิ จากตวั แปรต้น และ ตัวแปรที่ต้องควบคุมใหค้ งท่ี หรือสิ่งท่ีต้องควบคุมให้คงท่ี ในการทดลอง  ก า ร ท ด ล อ ง เ ป็ น กระบวนการท่ีมีการปฏิบัติ อย่างต่อเนื่องมีแบบแผน เ พื่ อ ห า ค า ต อ บ จ า ก สมมติฐาน โดยการทดลองมี ข้ันตอน ประกอบด้วย การ ออกแบบการทดลอง การ ทดลอง และการบันทึกผล การทดลอง ในการทดลอง จ ะ ใ ช้ ทั ก ษ ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร ทางวิทยาศาสตร์และทักษะ อ่ืน ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ ถกู ตอ้ ง แม่นยา สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

3 คมู อื ครรู ายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร ป.4 เลม 1 | หนว ยท่ี 1 การเรยี นรูส่ิงตาง ๆ รอบตัว บทท่ี 1 การเรียนรแู บบนกั วทิ ยาศาสตร จดุ ประสงคก ารเรียนรูประจาํ บท บทน้ีมอี ะไร เม่ือเรียนจบบทนี้ นักเรยี นสามารถ เรือ่ งท่ี 1 การสืบเสาะหาความรูทาง วทิ ยาศาสตร 1. อธิบายและใชการสืบเสาะหาความรูทาง วทิ ยาศาสตรในการเรียนรูส ิง่ ตาง ๆ คาํ สาํ คญั การต้งั สมมติฐาน (formulating 2. อธบิ ายและใชทกั ษะการวดั การใชจาํ นวน การ hypothesis) ตั้งสมมติฐาน การกําหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ การกําหนดและควบคุมตัวแปร การทดลอง ตัวแปรตน (independent variable) และการตีความหมายขอมูลและลงขอสรุปใน การเรยี นรสู ิ่งตาง ๆ ตัวแปรตาม (dependent variable) แนวคิดสําคญั ตวั แปรทต่ี องควบคุมใหค งที่ ความรทู างวิทยาศาสตรเกิดจากความสงสัยของมนุษย (controlling variable) เกี่ยวกับส่ิงตาง ๆ รอบตวั มนษุ ยจึงพยายามหาคําตอบ ดว ยการสืบเสาะหาความรูทางวทิ ยาศาสตร โดยใชท ักษะ กิจกรรมที่ 1 ถั่วเขยี วเตน ระบาํ อยางไร กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร ซงึ่ มีทั้งทเี่ ปนทักษะขั้น พน้ื ฐาน เชน การสังเกต การวัด การใชจาํ นวน และทักษะ เรอื่ งที่ 2 การวดั และการใชจาํ นวนของ ข้นั ผสม เชน การตั้งสมมตฐิ าน การกําหนดนิยามเชิง นักวทิ ยาศาสตร ปฏบิ ตั ิการ การกําหนดและควบคมุ ตัวแปร การทดลอง การ ตีความหมายขอมลู และลงขอสรปุ คําสําคญั การใชจ ํานวน (using number) กจิ กรรมที่ 2.1 การวัดทาํ ไดอยางไร กจิ กรรมท่ี 2.2 การใชจ าํ นวนทําไดอ ยางไร เร่อื งท่ี 3 การทดลองของนกั วิทยาศาสตร คําสําคญั การกาํ หนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร (defining operationally) กจิ กรรมท่ี 3 การทดลองทาํ ไดอ ยา งไร สื่อการเรยี นรูและแหลง เรียนรู 1. หนงั สือเรียน ป.4 เลม 1 หนา 1-37 2. แบบบันทกึ กิจกรรม ป.4 เลม 1 หนา 1-32  สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

คมู่ ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เล่ม 1 | หนว่ ยที่ 1 การเรยี นรสู้ ง่ิ ตา่ ง ๆ รอบตวั 4 ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 รหัส ทักษะ กจิ กรรมที่ 1 2.1 2.2 3 ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ S1 การสงั เกต   S2 การวัด S3 การใชจ้ านวน  S4 การจาแนกประเภท S5 การหาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง  - สเปซกบั สเปซ  - สเปซกบั เวลา  S6 การจดั กระทาและสอ่ื ความหมายขอ้ มลู S7 การพยากรณ์  S8 การลงความเห็นจากขอ้ มูล  S9 การตง้ั สมมติฐาน  S10 การกาหนดนิยามเชงิ ปฏิบตั ิการ  S11 การกาหนดและควบคุมตวั แปร S12 การทดลอง   S13 การตคี วามหมายข้อมูลและลงข้อสรุป S14 การสร้างแบบจาลอง  ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21  C1 การสรา้ งสรรค์ C2 การคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ C3 การแก้ปญั หา C4 การสื่อสาร C5 ความรว่ มมอื C6 การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

5 คมู่ อื ครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 | หน่วยท่ี 1 การเรียนรสู้ ง่ิ ตา่ ง ๆ รอบตวั แนวคิดคลาดเคลื่อน ครคู วรฟังการสนทนาอภิปรายของนกั เรยี นอยา่ งต่อเนอื่ ง พรอ้ มบันทึกแนวคิดของนกั เรยี นไว้ เพอ่ื ท่ีจะจัดการเรยี นรใู้ ห้ สามารถแกไ้ ขแนวคดิ คลาดเคล่ือนและตอ่ ยอดแนวคิดท่ีถกู ต้อง แนวคดิ คลาดเคลือ่ น แนวคิดท่ีถกู ตอ้ ง การทากิจกรรมทกุ กจิ กรรมเป็นการทดลอง การทากิจกรรมบางกิจกรรมไม่ใช่การทดลอง เน่ืองจากการ ทดลองต้องมีการออกแบบการทดลอง ทดลองและรายงานผล การทดลอง ซ่ึงบางกิจกรรมอาจไม่จาเป็นต้องออกแบบการ ทดลอง เชน่ การสงั เกตจานวนขาของสตั ว์ตา่ ง ๆ  สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คมู อื ครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร ป.4 เลม 1 | หนว ยที่ 1 การเรียนรสู ง่ิ ตา ง ๆ รอบตวั 6 บทน้เี รม่ิ ตนอยางไร (1 ช่วั โมง) ค รู รั บ ฟ ง เ ห ตุ ผ ล ข อ ง นักเรียนเปนสําคัญ ครูยังไม 1. ครูทบทวนความรูของนักเรียนเก่ียวกับการสืบเสาะหาความรูทาง เฉลยคําตอบใด ๆ แตชักชวนให วทิ ยาศาสตร โดยเลาสถานการณใหเห็นถึงลักษณะสําคัญของการสืบเสาะ หาคําตอบที่ถูกตองจากกิจกรรม หาความรูทางวิทยาศาสตร ไดแก การมีสวนรวมในการต้ังคําถามทาง ตาง ๆ ในบทเรียน้ี วิทยาศาสตร การรวบรวมขอมูลหรือหลักฐานที่เก่ียวของ การอธิบาย สงิ่ ทส่ี งสัยดวยขอมูลหรือหลักฐานอยางมีเหตุผล การอธิบายเช่ือมโยง ส่ิงที่ไดคนพบกับความรูทางวิทยาศาสตร และการสื่อสารส่ิงที่ได คนพบและใหเหตุผล เชน เด็กคนหน่ึงเจอมอดในขาวสารที่อยูใน ภาชนะปด จึงเกิดความสงสัยวามอดมาจากไหน จากนั้นครูใชคําถาม ดังตอไปน้ี 1.1 จากสถานการณนี้ มีลักษณะของการสืบเสาะหาความรูทาง วิทยาศาสตรหรือไม อะไรบา ง (มี คอื การมสี วนรวมในการตงั้ คําถาม) 1.2 จากคําถามท่ีวา มอดมาจากไหน จะใชลักษณะของการสืบเสาะ หาความรูทางวิทยาศาตรอะไรอีกบางในการคนหาคําตอบ (ตอง รวบรวมขอมูลหรือหลักฐานที่เก่ียวของ อธิบายสิ่งท่ีสงสัยดวย ขอมูลหรือหลักฐานอยา งมีเหตุผล อธิบายเชื่อมโยงส่ิงที่ไดคนพบ กับความรูทางวิทยาศาสตร และส่ือสารส่ิงที่ไดคนพบและให เหตุผล) 1.3 การสืบเสาะหาความรูทางวิทยาศาสตรเกี่ยวของกับทักษะ- กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรบ างหรือไม อยางไร (นักเรียนตอบ ตามความเขาใจของตนเอง) 2. ครูชักชวนนักเรียนใหทําความเขาใจเก่ียวกับการสืบเสาะหาความรู ทางวิทยาศาสตรและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร นักเรียน อานชื่อหนวย ช่ือบทและจุดประสงคการเรียนรูประจําบท ใน หนังสือเรียนหนา 1 จากนั้นครูใชคําถามวา เมื่อเรียนจบบทน้ี นักเรียนจะสามารถทําอะไรไดบาง (อธิบายและใชการสืบเสาะหา ความรูทางวิทยาศาสตรในการเรียนรูสิ่งตาง ๆ รวมท้ังอธิบายและใช ทกั ษะการวดั การใชจํานวน การต้ังสมมติฐาน การกําหนดนิยามเชิง- ปฏิบัติการ การกําหนดและควบคุมตัวแปร การทดลองและ การตคี วามหมายขอมลู และลงขอ สรปุ ในการเรียนรูส่งิ ตาง ๆ) สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 

7 คมู่ อื ครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ป.4 เลม่ 1 | หน่วยที่ 1 การเรียนรสู้ ่ิงต่าง ๆ รอบตวั 3. ครูชักชวนนักเรียนศึกษาเรื่องการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยให้นักเรียนอ่านช่ือหน่วย ช่ือบทและแนวคิดสาคัญในหนังสือ เรยี นหนา้ 2 จากนั้นครูใชค้ าถามดังตอ่ ไปนี้ 3.1 บทเรียนน้ี นักเรียนจะได้เรียนเก่ียวกับเรื่องอะไร (อธิบาย ลักษณะของการสืบเสาะหาความรู้และทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ ไดแ้ ก่ การวดั การใชจ้ านวน การตัง้ สมมตฐิ าน การ กาหนดนยิ ามเชิงปฏิบตั กิ าร การกาหนดและควบคุมตัวแปร การ ทดลอง และการตคี วามหมายข้อมูลและลงขอ้ สรุป) 4. ถ้าพบปัญหานักเรียนอ่านคาไม่คล่อง เช่น สมมติฐาน ครูควรช่วยฝึก อา่ นคาให้ถกู ตอ้ ง 5. ครูชักชวนนักเรียนให้มาเรียนรู้กันว่าการเรียนรู้แบบนักวิทยาศาสตร์ ทาได้อย่างไรบ้าง โดยให้นักเรียนสังเกตรูปในหนังสือหน้า 2-3 แล้ว อา่ นเรอื่ งในบทนาโดยใชว้ ิธีการอา่ นตามความสามารถของนกั เรียน 6. นักเรียนอภิปรายเนื้อเรื่องที่อ่าน จากนั้นครูซักถามโดยใช้คาถาม ดังต่อไปน้ี 6.1 เรื่องท่ีนักเรียนอ่านนี้ กล่าวถึงใคร (ปิแอร์และมารี คูรีท้ังสอง ท่าน เปน็ นักวทิ ยาศาสตร์ทีม่ ชี ื่อเสยี งของโลก) 6.2 ปิแอร์และมารี คูรี กาลังทาอะไร (ทดลองแยกธาตุเรเดียมออก จากแร่พิทซ์เบลนด)์ 6.3 ความรู้ใหม่ที่ท้ังสองท่านค้นพบคืออะไร (รังสีเรเดียมช่วยรักษา โรคผวิ หนงั และมะเรง็ ได)้ 6.4 ปิแอร์และมารี คูรี มีลักษณะใดบ้างที่ทาใหค้ ้นพบความรู้ ใหม่ ๆ ได้ (เป็นคนช่างสังเกต อยากรู้คาตอบในเรื่องท่ีสงสัยมีความ พยายาม อดทน เสยี สละ) 7. ครูชักชวนให้นักเรียนอ่าน เรียนรู้อย่างปลอดภัย และช่วยอธิบาย เพ่ิมเติมให้ระมัดระวังร่างกายไม่ให้สัมผัสธาตุกัมมันตรังสีเพราะมี อันตรายตอ่ ร่างกาย 8. นักเรียนตอบคาถามเกี่ยวกับการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ในสารวจความรู้ก่อนเรียน โดยอาจถามว่านักเรียนรู้อะไรบ้าง เกยี่ วกับการสืบเสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ 9. นกั เรยี นทาสารวจความรู้กอ่ นเรยี น ในแบบบันทกึ กจิ กรรม หนา้ 2-4 โดยอา่ นชือ่ หนว่ ย และช่อื บท  สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี