เครื่องซักผ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งานที่มีไลฟ์สไตล์แบบชีวิตที่เร่งรีบ จึงทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนี้มีวางจำหน่ายหลายรุ่นหลายแบบที่แตกต่างกันไป นอกจากเรื่องของประเภทตัวเครื่อง วัสดุที่ใช้ทำ และโปรแกรมการซักที่แตกต่างกันแล้ว สิ่งหนึ่งที่มีความแตกต่างและส่งผลต่อปัจจัยด้านราคาของเครื่องด้วยก็คือ เรื่องความจุของตัวถังซัก ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีหน่วยวัดความจุเป็นกิโลกรัม แต่ทว่าหน่วยกิโลกรัมที่ใช้วัดนี้เขาพิจารณากันจากน้ำหนักของผ้าตอนเปียกหรือตอนแห้งกันนะ มาหาคำตอบกับเรื่องน่ารู้กันเลยดีกว่า เวลาจะเลือกซื้อจะได้มั่นใจมากยิ่งขึ้น Show ในปัจจุบันจะเห็นว่าเครื่องซักผ้าได้มีการผลิตออกมาจำหน่ายตามท้องตลาดมีหลากหลายแบบ หลายฟังก์ชั่น หลายขนาด การเลือกซื้อเครื่องซักผ้าที่เหมาะกับการใช้ชีวิตของตัวเองหรือใช้ภายในครอบครัว นอกจากเรื่องฟังก์ชั่น การซัก วัสดุและราคาของเครื่องซักผ้าแล้ว อาจจะต้องพิจารณาถึงขนาดเครื่องซักผ้าด้วย ว่าเหมาะสมกับปริมาณเสื้อผ้าที่ซัก และพอดีกับพื้นที่ภายในบ้านหรือไม่ เช่น หากอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก หรือคอนโด อาจมีพื้นที่ไม่มาก ที่จะใช้เครื่องซักผ้าขนาดใหญ่ วันนี้จึงมีเทคนิคการเลือกขนาดเครื่องซักผ้า ให้เหมาะกับการใช้งาน และพอดีกับพื้นที่มาแนะนำกัน วิธีเลือกเครื่องซักผ้าให้เหมาะสมกับพื้นในบ้านก่อนจะคิดว่าควรเลือกซื้อเครื่องซักผ้ายี่ห้อไหน หรือเลือกรุ่นไหนดี ควรเริ่มสำรวจก่อนว่ามีพื้นที่ภายในบ้าน กว้างสำหรับวางเครื่องซักผ้ามากแค่ไหน
วิธีเลือกความจุของเครื่องซักผ้าที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ความจุของถังเครื่องซักผ้ามีหลายขนาด บ้างคนก็อาจคิดว่ายิ่งใหญ่ยิ่งคุ้ม แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กก็มีข้อเสียต่างกัน ทั้งเรื่องของพื้นที่และเวลาในการซัก สิ่งสำคัญให้สังเกตว่าซักผ้าบ่อยแค่ไหน กี่ครั้งต่อสัปดาห์
วิธีเลือกความจุของเครื่องซักผ้าตามจำนวนผ้าเครื่องซักผ้าแต่ละกิโลฯ ซักผ้าได้กี่ชิ้น? ความจุถังซักของเครื่องซักผ้า จะมีหน่วยวัดความจุเป็นกิโลกรัม ซึ่งเป็นหน่วยวัดน้ำหนักของผ้าแห้ง (ไม่ได้วัดการจากน้ำหนักผ้าตอนเปียก) ซึ่งเมื่อเทียบจำนวนผ้ากับความจุของถังซักผ้าเป็นกิโลกรัม จะมีการกำหนดมาตรฐานสากลกันเอาไว้ ดังนี้
มาตรฐานน้ำหนักของผ้าแต่ละประเภทความจุของถังเครื่องซักผ้า อาจเฉลี่ยตามจำนวนชิ้นของผ้าแห้งได้แบบคร่าวๆ ซึ่งตามจริงแล้วผ้าแต่ละประเภทก็มีขนาด ลักษณะ รวมไปถึงน้ำหนักที่ต่างกัน ในการเลือกความจุถังเครื่องซักผ้า อาจต้องคำนวณจากประเภทผ้าที่เราต้องการซักด้วย
ส่วนประเภทผ้านวมนั้นจะสามารถซักได้เฉพาะเครื่องที่มีถังซักความจุ 11 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งถ้ามองเฉลี่ยนกันแบบง่าย ๆ แล้ว โดยทั่วไป ถ้ามีสมาชิกในบ้าน 1 – 3 คน ก็จะมีปริมาณเสื้อผ้าต่อการซัก 1 ครั้งอยู่ที่ 3 – 5 กิโลกรัม ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกความจุของถังซักได้สอดคล้องกับปริมาณผ้าและจำนวนสมาชิกในบ้านมากยิ่งขึ้นนั่นเอง รวม 5 คำถามน่ารู้ที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเลือกซื้อเครื่องซักผ้าคำถามข้อ 1 Q : เครื่องซักผ้า ที่กำหนดขนาดต่างๆ (10 , 12 , 14 กิโล) คือน้ำหนักของอะไร A : เป็นน้ำหนักของผ้าแห้งที่สามารถใส่ในถังซักได้ คำถามข้อ 2 Q : เครื่องซักผ้า อบผ้า ถ้าต้องใช้ซักอบผ้านวม หมอน ควรใช้เครื่องกี่กิโลกรัม A : ขึ้นอยู่กับ ขนาด และ ความหนาของผ้านวม ถ้าผ้านวมไม่หนามาก ใช้ขนาด ประมาณ 7-8 กิโล ก็สามารถซักผ้านวมได้ แต่หากเป็นผืนหนามาก ให้ใช้เครื่องฝาบนขนาด 12 กิโลแทน คำถามข้อ 3 Q : เครื่องซักผ้ารุ่นฝาหน้า หรือฝาบนดีกว่ากัน A : ฝาหน้า ฝาบน หลักการทำงานต่างกัน
คำถามข้อ 4 Q : ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าอย่างไร? A : น้ำส้มสายชู ไฮเตอร์ เบกกิ้งโซดา หรือผงล้างทำความสะอาดก็ได้ ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องซักผ้าแบบมีระบบทำความสะอาดตัวเองแล้วด้วยเช่นกัน คำถามข้อ 5 Q : เครื่องซักผ้ามีปัญหาปั่นผงซักฟอกไม่เกลี้ยง แก้ไขอย่างไร? A : อาจจะเกิดจากปัญหาใส่ผ้าแน่นไป น้ำน้อย ซักไม่ทั่วถึง หรือใส่ผงซักฟอกเยอะเกินไป ทางแก้ไขคือควรใส่ผ้าซักและผงซักฟอกให้พอดีกัน รู้หรือไม่? น้ำหนักของผ้า มีผลต่อการปั่นหมาดนอกจากเรื่องน้ำหนักของผ้าจะส่งผลต่อเรื่องการเลือกความจุถังซักที่วัดน้ำหนักกิโลกรัมตามประเภทของผ้าแล้ว น้ำหนักของผ้ายังเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาเรื่องของประสิทธิภาพการปั่นหมาดของเครื่องซักผ้าแต่ละเครื่องด้วย ซึ่งการปั่นหมาดผ้านั้นภายในถังซักมักจะทำอุณหภูมิอยู่ที่ 40 องศาขึ้นไป หากผ้ามีน้ำหนักประมาณ 2.5 กิโลกรัม เครื่องไหนที่มีจำนวนรอบการหมุนปั่นหมาดอยู่ที่ 600 – 700 รอบต่อนาที เวลาที่ใช้เฉลี่ยในการปั่นหมาดก็จะอยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมากประสิทธิภาพของระบบการปั่นหมาดก็จะดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงอาจจะใช้เวลาเฉลี่ยน้อยกว่านั้น สมมุติว่าเครื่องในสมัยก่อนที่มีจำนวนรอบการหมุนปั่นหมาดอยู่ที่ 1000 – 2000 รอบต่อนาที ผ้า 2.5 กิโลกรัม อาจจะใช้เวลาปั่นหมาดอยู่ที่ 50 นาที แต่ปัจจุบันอาจจะลดลงมาเหลือ 40 – 45 นาที อย่างนี้เป็นต้น แต่ถ้าน้ำหนักผ้าเพิ่มขึ้นไปเครื่องก็อาจจะใช้เวลาปั่นหมาดเท่าเดิมอยู่ที่ 50 นาที ข้อมูลเหล่านี้จึงต้องศึกษาควบคู่กันไปด้วยก็จะทำให้คุณเลือกซื้อกันได้ตรงความต้องการในการใช้งานมากยิ่งขึ้น |