เมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมากล่าวถึง ประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์ ให้สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้โดยไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดว่าหญิงที่ประสงค์จะยุติการตั้งครรภ์ต้องมีอายุครรภ์มาแล้วเกิน 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ให้สามารถกระทำได้ตามที่เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2565 โดยจะมีผลบังคับเมื่อพ้น 30 วันนับตั้งแต่วันประกาศ มาตรา 305 (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2565 ระบุว่า หญิงซึ่งมีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้โดยไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา แต่หญิงนั้นต้องได้รับคำปรึกษาจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพอื่นตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดโดยคำแนะนำแพทยสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อให้หญิงนั้นได้รับข้อมูลที่รอบด้านก่อนการตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ จะมีการกำหนดขั้นตอนในการเข้ารับคำปรึกษาทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์ ซึ่งหญิงที่มีอายุครรภ์ตามเงื่อนไขสามารถแจ้งความประสงค์ต่อหน่วยบริการปรึกษาทางเลือก (ซึ่งกรมอนามัยจะประกาศรายชื่อให้ทราบต่อไป) เพื่อเข้ารับคำปรึกษาในการยุติการตั้งครรภ์ ซึ่งจะแจ้งผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งก็ได้ โดยแจ้งด้วยตนเอง เป็นหนังสือ ทางโทรศัพท์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้ตามความประสงค์ การยุติการตั้งครรภ์ต้องเป็นไปการตรวจวินิจฉัยอายุครรภ์ของหน่วยบริการปรึกษาทางเลือก ซึ่งหากพบว่า
อย่างไรก็ตาม จากประกาศฯ ดังกล่าวที่ออกมาย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ซึ่งหากทบทวนอย่างถี่ถ้วนจะพบว่าในประเทศไทย มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ต้องประสบปัญหากับการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม (unplanned pregnancy) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยรุ่น ตามรายงานสังเคราะห์การวิเคราะห์สถานการณ์การตั้งครรภ์ของวัยรุ่นในประเทศไทย ปี 2558 ของ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (United Nations Children’s Fund – UNICEF) พบว่า การตั้งครรภ์ในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มสูงขึ้น แต่ในทางกลับกันการคุมกำเนิดกับลดลง ซึ่งอัตราเจริญพันธุ์ของวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15-19 ปี ในประเทศไทย เพิ่มจาก 39.7 ต่อ 1,000 ในปี พ.ศ. 2539 เป็น 53.6 ในปี พ.ศ. 2554 และนอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่น่าสังเกต คือ ในปี พ.ศ.2556 มีการตั้งครรภ์ขึ้นในกลุ่มสตรีที่มีอายุระหว่าง 15-19 ปี จำนวน 129,541 คน และสตรีที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 3,725 คน ซึ่งนับว่าประเทศไทยมีอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี บนข้อคิดเห็นที่แตกต่างอาจต้องชวนสังคมหันกลับมาขบคิด พยายามทำความเข้าใจเหตุผลความจำเป็นคำนึงถึงความปลอดภัยในสุขภาพ และเคารพในการตัดสินใจด้วยตนเองของผู้หญิงบนพื้นฐานว่า “ไม่มีผู้หญิงคนไหนตั้งใจตั้งครรภ์ เพื่อมาทำแท้ง” การที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ทำแท้งได้อย่างถูกกฎหมายนั้นจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิต และบาดเจ็บจากการทำแท้งแบบผิดกฎหมายได้ อีกทั้งการยุติการตั้งครรภ์ภายใต้ขอบเขตและกระบวนทางการแพทย์ย่อมมีผลที่ดีกว่าสถานพยาบาลที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การทำแท้งจึงมิใช่อาชญากรรม ผู้หญิงที่ต้องตั้งครรภ์อย่างไม่พร้อมมีสิทธิตัดสินใจบนร่างกายของตนเอง โดยผู้อื่นมิควรมาตีตราว่าเป็นความผิด ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตที่กฎหมายนั้นรองรับ ● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ แหล่งที่มา: ผลงานนี้ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ภายใต้โครงการเร่งรัดการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านสุขภาพของประเทศไทย Last Updated on ตุลาคม 3, 2022 Praewpan Sirilurt Knowledge Communication | มนุษย์ผู้เชื่อว่า “การสื่อสารสามารถเชื่อมต่อความรู้สึกของกันและกันได้” ไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน หรือเผชิญกับอะไรอยู่ การสื่อสารจะช่วยบอกเล่าเรื่องราวส่งไปให้แก่ผู้อื่นได้รับรู้ |