การขายของส่งออก คิดภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร Show การขายส่งออก เป็นการขายสินค้าจากในประเทศ ไปสู่ตลาดต่างประเทศ ในทางภาษีอากร การขายส่งออกเข้าข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกับการขายสินค้าปกติทั่วไป เพราะตามประมวลรัษฎากรมาตรา 77 เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มระบุว่า “ขาย หมายถึง จำหน่าย จ่าย โอนสินค้า ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่และให้หมายความรวมถึง (ค) ส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักร” นอกจากนี้เมื่อผู้ประกอบการส่งออกมีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต่อกรมสรรพากรภายใน 30 วัน เช่นเดียวกับการขายปกติ ทำไมการส่งออกต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อผู้ประกอบการส่งออกจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ตามมาตรา80/1 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้กิจการส่งออก ซึ่งเป็นการประกอบกิจการขายสินค้าประเภทหนึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยให้ใช้อัตรา 0% ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม วิธีคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับธุรกิจขายสินค้าส่งออก การส่งออกที่อยู่ในข่ายต้องเสีย ภาษีมูลค่าเพิ่ม 0% เฉพาะกรณีที่กิจการดำเนินการส่งออกโดยผ่านพิธีการกรมศุลกากร หรือ การรายงานต่อเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร เมื่อมีการส่งออกสินค้าจากประเทศไทย ว่ามีสินค้าอะไรบ้าง ใครเป็นผู้ส่งออก ส่งไปที่ใด ส่วนการส่งออกทางไปรษณีย์หรือการนำติดตัวออกไปต่างประเทศ โดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร กิจการต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นกันแต่เสียในอัตรา 7% หน้าที่ของผู้ประกอบการส่งออกที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเห็นว่าการที่ผู้ประกอบการส่งออกเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 0% มีผลเท่ากับไม่ต้องเสียภาษีจากการขายสินค้า และสำหรับภาษีซื้อสามารถยื่นขอคืนจากกรมสรรพากรได้
อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการส่งออกที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ยังคงมีหน้าที่เช่นเดียวกันกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยทั่วไปดังนี้ 1. ออกใบกำกับภาษี การออกใบกำกับภาษีต้องออกให้ถูกเวลา คือออกเมื่อเกิดความรับผิด (Tax Point) สำหรับการส่งออกความรับผิดเกิดขึ้นเมื่อ 1.1 มีการชำระอากรขาออก 1.2 มีการวางหลักประกันขาออก 1.3 จัดให้มีผู้ค้ำประกันอากรขาออก และรวบรวมใบกำกับภาษีซื้อเมื่อมีการซื้อสินค้าและบริการ 2. จัดทำรายงานภาษีขาย ภาษีซื้อ และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ ตามที่กฎหมายกำหนด 3. ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยสามารถยื่นแบบได้ทั้งทางออนไลน์หรือยื่นแบบที่กรมสรรพากรในเขตพื้นที่ นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรเก็บหลักฐานเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ เพื่อเป็นหลักฐานในการยืนยันสิทธิกับกรมสรรพากร ว่าได้รับสิทธิในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 0% 1. Invoice คือใบแจ้งหนี้ค่าสินค้า ซึ่งแสดงชื่อสินค้า จำนวนและมูลค่าสินค้า ชื่อที่อยู่ผู้ขายและผู้ซื้อ เป็นต้น 2. Packing List คือเอกสารที่ผู้ส่งออกทำขึ้นเพื่อแสดงรายละเอียดการบรรจุหีบห่อ ว่าบรรจุแบบใดหรืออยู่กล่องใด รวมถึงน้ำหนักและปริมาณโดยรวมของสินค้าแต่ละรายการ 3. หลักฐานการชำระค่าสินค้าตามใบแจ้งหนี้ เช่นหลักฐานการเปิด L/C (Letter of Credit), หลักฐาน การทำ T/T (Telex of Transfer) หรือ T/P (Term of Payment) เป็นต้น ในกรณีที่ไม่สามารถแสดงหลักฐานดังกล่าว สามารถใช้บันทึกรายการส่งออกสินค้าในรายงานภาษีขาย รายงานสินค้าและวัตถุดิบ บัญชีเงินสดรับหรือบัญชีขายแทนได้ 4. สำเนาใบขนสินค้าในนามผู้ประกอบการที่ผ่านพิธีศุลกากร ฉบับที่มีการสลักหลังตรวจปล่อยสินค้า โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร หรือหลักฐานอื่นที่แสดงว่ามีการตรวจปล่อยสินค้าโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร จากหน้าที่ที่กล่าวมาของผู้ประกอบการส่งออกที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ถ้าผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติติตามทางกรมสรรพากรกำหนดบทลงโทษไว้ดังต่อไปนี้ 1. ผู้ประกอบการที่ไม่จัดทำใบกำกับภาษี หรือจัดทำแล้วไม่ส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อ มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ และเสียเบี้ยปรับอีก 2 เท่าของภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษี 2. ผู้ประกอบการที่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท อ้างอิง: https://www.beeaccountant.com/revenue_vat_export คำสั่งกรมสรรพากรที่ป.97/2543 เรื่อง การส่งออกสินค้า ซึ่งผู้ประกอบการได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา80/1 แห่งประมวลรัษฎากร https://www.rd.go.th/ความรู้เรื่องภาษี/ภาษีมูลค่าเพิ่ม/กำหนดโทษการปฏิบัติติฝ่าฝืนเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ในปัจจุบันที่โลกเชื่อมต่อกันง่ายขึ้น ทำให้การสื่อสารและการส่งของระหว่างประเทศเป็นเรื่องธรรมดา มีเศรษฐีมากมายทั่วโลกเกิดขึ้นจากธุรกิจระหว่างประเทศ เช่น Amazon, Alibaba ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ธุรกิจนำเข้า - ส่งออก เป็นที่น่าสนใจและเป็นที่นิยม วันนี้เราจึงอยากมาแบ่งปันความรู้ในเรื่องของภาษีที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า - ส่งออก ซึ่งถือเป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญในการบริหารจัดการของธุรกิจระหว่างประเทศ เนื่องจากมีผลต่อต้นทุนของธุรกิจ ที่ส่งผลโดยตรงต่อกำไรของกิจการ ถ้ามีความรู้ความเข้าใจในด้านภาษีพื้นฐานที่ดี ย่อมมีผลต่อการสร้างกำไรในระยะยาวอย่างแน่นอน ก่อนจะดูถึงภาษีนำเข้า - ส่งออกที่เกี่ยวข้อง เราต้องรู้ก่อนว่าในทางภาษีนั้น การนำเข้า - ส่งออก หมายถึงอะไร
นำเข้า-ส่งออก หมายถึงอะไรตามนิยาม “นำเข้า” หมายถึง การนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผ่านพิธีการทางศุลกากร และเช่นกัน “ส่งออก” จะหมายถึง การส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรเพื่อส่งไปต่างประเทศ โดยผ่านพิธีการทางศุลกากร นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ควรรู้คือ ในทางภาษี ธุรกิจสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ขาย และบริการ ตามนิยาม ขาย หมายถึงการจำหน่าย จ่าย โอน สินค้า ไม่ว่าจะได้รับประโยชน์หรือค่าตอบแทนหรือไม่ ส่วน บริการ หมายถึง การหาประโยชน์อื่นใดที่ไม่ใช่การขายสินค้า ซึ่งธุรกิจทั้ง 2 ประเภทนั้น กรมสรรพากร กรมศุลกากร รวมถึงกรมสรรพสามิต จะมีแนวทางการจัดเก็บภาษีที่แตกต่างกัน ธุรกิจบริการ1. การนำเข้าบริการการนำเข้าบริการ หมายถึง การใช้บริการใดๆ ในราชอาณาจักร (ประเทศไทย) โดยที่การให้บริการนั้นเกิดจากการกระทำในต่างประเทศ ฟังดูอาจจะเข้าใจยาก ลองดูตัวอย่างจากการให้บริการของแพลตฟอร์มยอดฮิตอย่าง Facebook, Netflix, Youtube หรือ Tiktok ทุกคนน่าจะเข้าใจทันที ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าบริการจะมีดังนี้ 1.1 ภาษีมูลค่าเพิ่มกรมสรรพากรมีการกำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าบริการอยู่ที่ 7% ของมูลค่าบริการ โดยที่จุดรับผิดทางภาษี (Tax Point) จะเกิดเมื่อมีการชำระค่าบริการ ซึ่งต้องยื่นชำระภาษีโดยแบบ ภ.พ.36 ในเดือนถัดไป สำหรับบุคคลผู้มีหน้าที่ยื่นแบบ อ้างอิงถึงกฎหมาย e-Service (อ้างอิง: พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๓)) ที่เริ่มใช้เมื่อ 1 กันยายน 2564 กำหนดเงื่อนไขดังนี้
1.2 ภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับการนำเข้าบริการต่างประเทศนั้น กรมสรรพากรมีข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับนิติบุคคลผู้จ่ายเงินได้ประเภท 40(2)-40(6) เช่น ค่านายหน้า ค่าลิขสิทธิ์ ค่าเช่า และค่าบริการทางวิชาชีพ มีหน้าที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% หรือตามอัตราอนุสัญญาภาษีซ้อน และยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 ในเดือนถัดไป 2. การส่งออกบริการการส่งออกบริการ หมายถึง การให้บริการใดๆ ในราชอาณาจักร (ประเทศไทย) โดยมีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ เช่น การให้บริการวางแผนการขาย การตลาด และการเงิน แก่บริษัทต่างประเทศ โดยมีการส่งเป็นรายงานให้ทาง e-mail ซึ่งประโยชน์ทั้งหมดจะเป็นของบริษัทซึ่งตั้งในต่างประเทศเท่านั้น ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกบริการจะมีดังนี้ 2.1 ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นที่เข้าใจว่าการส่งออกนั้นจะไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการหลายคนเกิดความเข้าใจผิดว่าผู้ที่ทำธุรกิจส่งออกนั้นไม่มีภาระต้องยื่นแบบแสดงต่อกรมสรรพากร แต่แท้จริงแล้ว การส่งออกบริการก็เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นกัน ซึ่งกรมสรรพากรได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 0% หรือก็คือไม่เสียนั่นเอง แต่! ผู้ประกอบการต้องมีการออกใบกำกับภาษี และนำส่งแบบ ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (วันที่ 23 ถ้ายื่นแบบออนไลน์) เหมือนกับการขายในประเทศ (ในกรณีที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม) ธุรกิจขายสินค้า1. การนำเข้าสินค้าผู้นำเข้าสินค้าอาจจะเจอกับภาษีดังต่อไปนี้ 1.1 อากรขาเข้าอากรขาเข้าจะถูกเรียกเก็บเมื่อมีการนำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด อัตราที่กำหนดไว้คือ เมื่อราคาสินค้า (Cost, “C”) + ค่าประกันภัย (Insurance, “I”) + ค่าขนส่ง (Freight, “F”) [C.I.F] รวมกันเกินกว่า 1,500 บาท กรมศุลกากรมีการกำหนดอากรขาเข้า โดยการคำนวณจาก ราคา C.I.F x อัตราอากรขาเข้า ตัวอย่าง อัตราอากรขาเข้าของสินค้ายอดฮิต
*สามารถค้นหาอัตราอากรขาเข้าเพิ่มเติมได้ที่ พิกัดอัตราอากรขาเข้า 1.2 ภาษีสรรพสามิตเมื่อมีการนำเข้าสินค้าที่บริโภคแล้ว อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพและศีลธรรมอันดี สินค้าที่มีลักษณะเป็นการฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์ เครื่องดื่ม น้ำหอม สุรา ยาสูบ ไพ่ เป็นต้น ผู้นำเข้าจะถูกเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต การคำนวณเบื้องต้นเป็นดังนี้
(C.I.F. + อากรขาเข้า + ภาษีค่าธรรมเนียมอื่นไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) x อัตราภาษีสรรพสามิต) / 1-(1.1x อัตราภาษีสรรพสามิต)
ปริมาณ (ลิตรหรือกิโลกรัม) x อัตราภาษีสรรพสามิต *สามารถค้นหาอัตราภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพสามิต 1.3 ภาษีเพื่อมหาดไทยผู้นำเข้าจะต้องถูกเรียกเก็บภาษีเพื่อมหาดไทย เมื่อถูกเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต โดยการคำนวณจะเป็นดังนี้ ภาษีเพื่อมหาดไทย = ภาษีสรรพสามิต x อัตราภาษีเพื่อมหาดไทย (10%) 1.4 ภาษีมูลค่าเพิ่มผู้นำเข้าจะถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อนำเข้าสินค้าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (หลักการเดียวกับอากรขาเข้า) หรืออธิบายง่ายๆ คือ เมื่อผู้นำเข้าเสียอากรขาเข้า ย่อมต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเสมอ แต่ส่วนที่แตกต่างกันคือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียไปนั้นจะสามารถนำมาขอคืนเป็นภาษีซื้อได้ภายใน 6 เดือน แต่อากรขาเข้านั้นขอคืนไม่ได้ (อากรขาเข้าจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนสินค้า) ภาษีมูลค่าเพิ่มจะคำนวณได้โดย ราคา [C.I.F + อากรขาเข้า + ภาษีสรรพสามิต (ถ้ามี) + ภาษีมหาดไทย (ถ้ามี)] x 7% 2. การส่งออกสินค้าในส่วนของการส่งออกสินค้านั้น จะมีภาษีที่เกี่ยวข้องดังนี้ 2.1 อากรขาออกโดยแต่เดิมกรมศุลกากรกำหนดอัตราอากรไว้สำหรับสินค้า 9 ประเภท แต่ในปัจจุบันจะได้รับยกเว้นเกือบทั้งหมด เหลือแค่ หนังโค หรือหนังกระบือ และสินค้าที่ส่งออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมตามกฎหมายองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย (อ้างอิง: ประกาศกรมศุลกากร ที่ ๑๐๓ /2561) ที่ยังคงต้องเสียอากรขาออก 2.2 ภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อผู้ส่งออกสินค้าเป็นผู้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ส่งออกก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 0% เหมือนกับการส่งออกบริการ โดยมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีและยื่นแบบแสดงรายการ ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (สามารถยื่นได้ถึงวันที่ 23 หากยื่นแบบออนไลน์) โดยสรุปแล้ว ถึงแม้ว่าการทำธุรกิจนำเข้า – ส่งออก จะมีประเด็นต่างๆ มากมายให้ต้องนึกถึง แต่ภาษีก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องมีความเข้าใจ ทั้งประเภทภาษี อัตราภาษี การเตรียมเอกสาร และอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อให้สามารถวางแผนในการทำธุรกิจ ควบคุมต้นทุน และสร้างกำไร เพื่อให้ธุรกิจเติบโตในระยะยาวได้ ซึ่งทางโปรแกรม FlowAccount ได้มีฟังก์ชั่นช่วยเหลือในส่วนของเอกสารและอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อให้การทำธุรกิจนำเข้า - ส่งออกของผู้ประกอบการทุกคนทำได้ง่ายขึ้น ด้วยระบบฟังก์ชั่น “สกุลเงินต่างประเทศ” สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การใช้งานฟังก์ชั่นสกุลเงินต่างประเทศ - FlowAccount FAQ |