แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศระยะที่ 4 คือ

ไทยร่วมหารือกลุ่มความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เดินหน้าจัดทำแผนพัฒนาระยะ 5 ปี เชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ยกระดับความสามารถทางการแข่งขัน จัดทำความร่วมมือสาขาต่างๆ อาทิ การค้าเกษตร ท่องเที่ยว เทคโนโลยี สิ่งทอ เคมีภัณฑ์ ตั้งเป้าชงผู้นำปลายปีนี้ ด้านไทยชูประเด็นการจัดทำเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมเชียงของ-ห้วยทราย-บ่อหาน-บ่อเต็น มุ่งสร้างเศรษฐกิจให้เข็มแข็งและสร้างอาชีพในพื้นที่

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมได้เข้าร่วมการประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 4 ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพื่อจัดทำแผนพัฒนาระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570) ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดน และพัฒนายกระดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศสมาชิกแม่โขง - ล้านช้าง

นางอรมน กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ได้หารือถึงการจัดทำแผนพัฒนาระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570) สำหรับสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ โดยจะมีความร่วมมือสาขาต่างๆ อาทิ การค้าสินค้าเกษตร มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การท่องเที่ยว เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พลังงาน อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ วัสดุก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน การขนส่งและโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยตั้งเป้าจะเสนอแผนดังกล่าวต่อที่ประชุมผู้นำแม่โขง-ล้านช้าง ช่วงปลายปีนี้

นางอรมน เพิ่มเติมว่า สำหรับไทยได้ให้ความสำคัญกับแนวคิดการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมระหว่างสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง โดยเฉพาะการจัดทำเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมระหว่างอำเภอเชียง จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีพรมแดนติดกับเมืองห้วยทรายของ สปป.ลาว ให้สามารถเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อหาน-บ่อเต็นของจีน และสปป.ลาว เพื่อให้ไทยได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ อาทิ สิทธิพิเศษทางภาษี การค้า การลงทุน กระบวนการศุลกากร และการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานระหว่างกันจากประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง เช่นเดียวกับประเทศที่มีพรมแดนติดกับจีน ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย การค้าชายแดน และการสร้างอาชีพให้คนในพื้นที่ โดยกรมได้มอบให้สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงศึกษาเรื่องนี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการผลักดันในเรื่องดังกล่าว ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างต่อไป

ทั้งนี้ กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง มีสมาชิก 6 ประเทศ คือ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา ไทย เวียดนาม และจีน โดยหารือถึงการส่งเสริมความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในอนุภูมิภาคแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งมีความร่วมมือ 6 สาขา ได้แก่ ความเชื่อมโยง การพัฒนาศักยภาพในการผลิต ความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ความร่วมมือทรัพยากรน้ำ การเกษตร และการลดความยากจน โดยกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยประสานงานหลักของไทยในความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนอีกด้วย

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 139 ตอนพิเศษ 258 ง ได้เผยแพร่ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) โดยเนื้อหาระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่าโดยที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นสมควรให้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) ซึ่งเป็นแผนพัฒนา ฯ ที่ภาคีทุกภาคส่วนในสังคมไทยทุกระดับได้มีส่วนร่วมดำเนินการ เพื่อใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังมีสาระสำคัญตามที่แนบท้ายนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566 - 2570) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2570 ประกาศ ณ วันที่ 24 ตุลาคม พุทธศักราช 2565 เป็นปีที่ 7 ในรัชกาลปัจจุบัน

ทั้งนี้ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เป็นแผนระดับที่ 2 ที่แปลงยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติและกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะ 5 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ปี 2566-2570 ได้กำหนดทิศทางการพัฒนาบนพื้นฐานของหลักการแนวคิดที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แนวคิด Resilience เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) และโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อมุ่งสู่วัตถุประสงค์หลักของแผนพัฒนาฯ คือการ "พลิกโฉม” ประเทศไทย สู่ "สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” โดยมีเป้าหมายหลัก 5 ประการ คือ (1) การปรับโครงสร้างสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (2) การพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ (3) มุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม (4) เปลี่ยนผ่านการผลิตและการบริโภคไปสู่ความยั่งยืน และ (5) สร้างความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

สำหรับหมุดหมายการพัฒนาประเทศ แผนฯ 13 กำหนดไว้ 13 หมุดหมาย ครอบคลุม 4 มิติการพัฒนา ได้แก่

1. มิติภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย ประกอบด้วย 6 หมุดหมาย ได้แก่ หมุดหมายที่ 1 ไทยเป็นประเทศชั้นนำ ด้านสินค้าเกษตร และเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง หมุดหมายที่ 2 ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน หมุดหมายที่ 3 ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก หมุดหมายที่ 4 ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง หมุดหมายที่ 5 ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุน และยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค และหมุดหมายที่ 6 ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและอุตสาหกรรมดิจิทัลของอาเซียน

2. มิติโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย 3 หมุดหมาย ได้แก่ หมุดหมายที่ 7 ไทยมี SMEs ที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ หมุดหมายที่ 8 ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน หมุดหมายที่ 9 ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง และมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม

3. มิติความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 2 หมุดหมาย ได้แก่ หมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ และ หมุดหมายที่ 11 ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

4. มิติปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศ ประกอบด้วย 2 หมุดหมาย ได้แก่ หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต หมุดหมายที่ 13 ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน

สำหรับผู้สนใจ สามารถดาวน์โหลดแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ได้ที่เว็บไซต์ https://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=13150