อันตรายจากหน้าฝน ไม่ใช่แค่สัตว์อันตรายต่างๆ ที่มาตามท่อระบายน้ำ หรือตามแหล่งธรรมชาติที่ชื้นแฉะ รวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บที่ระบาดมากขึ้นในหน้าฝน แต่ยังอันตรายที่เกิดจาดสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเองอย่าง “ไฟฟ้า” ที่ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งร่างกาย และทรัพย์สินมากมายอีกด้วย Show อ่านต่อ >> 5 กลุ่มโรคอันตรายที่มากับหน้าฝน >> เตือนภัยหน้าฝน! งูพิษ 7 ชนิดคนไทยโดนกัดบ่อย-อันตรายถึงชีวิต ทำไมฝนตกทีไร ที่บ้านไฟดับทุกที? สาเหตุที่ไฟฟ้าดับ เมื่อฝนตก อาจเป็นเพราะช่วงฝนตกมีกิ่งไม้หักทับเสาไฟฟ้าแรงสูง หรืออาจเกิดอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้า ทำให้ไฟฟ้าลัดวงจรจนดับไป หรืออาจเกิดจากความชื้นที่เข้าไปทำลายระบบไฟฟ้าผ่านอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพไปตามเวลา จนทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร หรือลูกถ้วยที่รองรับไฟฟ้าแรงสูงเกิดความเสียหายจากอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น จนร้าวและแตก ทำให้ตัวตัดไฟ หรือฟิวส์ไฟแรงสูงตก กระแสไฟฟ้าไม่สามารถไหลผ่านได้ จนไฟฟ้าไม่พอ และดับในที่สุด นอกจากนี้ยังอาจเกิดอุบัติเหตุฟ้าผ่าหม้อแปลง ที่ทำให้หม้อแปลงระเบิดได้เช่นกัน คุณเดชา ศิริประเสริฐกุล วิศวกรไฟฟ้า/วิศวกรอิเลกทรอนิกส์ ให้ข้อมูลในรายการวิทยุของคลื่น FM96.5 Thinking Radio ไว้ว่า สาเหตุที่บางพื้นที่ไฟดับบ่อย บางพื้นที่ไฟแทบไม่เคยดับเลย เกิดจากโครงสร้างในการนำจ่ายระบบไฟฟ้าของทั้งการไฟฟ้าภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวงอาจจะมุ้งเน้นในบางส่วน บางพื้นที่ไม่เท่ากัน เช่น ในตัวเมืองอาจมีระบบนำจ่ายไฟฟ้าที่มั่นคง รัดกุม และเตรียมพร้อมไปถึงระบบไฟฟ้าสำรองมากกว่าพื้นที่อื่นๆ เนื่องจากเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ที่เมื่อระบบไฟฟ้าเสียหายเพียงไม่กี่วินาที อาจสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าค่อนข้างสูง และมีผลกระทบอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ดังนั้นพื้นที่ต่างจังหวัด หรือพื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่เศรษฐกิจอาจพบปัญหาไฟฟ้าดับ หรือไฟตกมากกว่าพื้นที่ในเมือง อันตรายจาก “ไฟฟ้าช็อต” ในหน้าฝน สำนักงานบริหารจัดการเพื่อการประหยัดพลังงาน หรือ กฟภ. ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า ไม่ใช่แค่หน้าฝนที่สามารถเกิดเหตุไฟฟ้าช็อตภายในบ้าน หรือตัวอาคารได้ แต่เมื่อฝนตก ทำให้ตัวบ้าน หรืออาคารอยู่ในภาวะชื้น โครงสร้างที่เป็นเหล็กอย่างขอบประตู หน้าต่าง ก็ได้รับความชื้นไปด้วย ทำให้อยู่ในสภาพเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี บ้านหรืออาคารที่มีโครงสร้างในการสร้างที่ไม่ดี เช่น วัสดุสร้างกำแพง หรือผนังบาง ไม่มีฉนวนกันไฟฟ้า มีอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เสื่อมโทรมไปตามสภาพจนทำให้พบสายไฟชำรุด หรือมีสายไฟฟ้าที่ปล่อยกระแสไฟฟ้ารั่วอ่อนๆ อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เมื่อเจอเข้ากับโครงสร้างที่เป็นเหล็กที่บ้านที่ได้รับความชื้นมากยิ่งขึ้น จึงทำให้มีโอกาสเกิดไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าช็อตมากยิ่งขึ้น นอกจะไฟฟ้าอาจจะรั่ว หรือช็อตมากยิ่งขึ้นกว่าฤดูอื่นๆ แล้ว บางบ้านที่มี่ปัญหาเรื่องไฟฟ้ารั่ว อาจพบว่าในฤดูฝน ค่าไฟฟ้าอาจจะพุ่งสูงมากกว่าฤดูอื่นๆ อ่านต่อ >> อันตรายจากไฟฟ้าหน้าฝน ป้องกันได้ วิธีป้องกันไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าช็อตในในหน้าฝน
วิธีช่วยเหลือคนที่ถูกไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าช็อต
อ่านต่อ >> CPR ปั๊มหัวใจ ทำตอนไหน? ทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง?
แม้ว่าอันตรายจากไฟฟ้าจะพบได้น้อยกว่าอันตรายจากน้ำร้อนลวก หรือ บาดเจ็บจากของร้อน แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความรุนแรง และอันตรายจากไฟฟ้านั้นเสี่ยงต่อชีวิตมากจริง ๆ วันนี้เราจึงมาแนะนำ ภัยอันตรายจากไฟฟ้า รวมถึงวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไรให้ปลอดภัย เผื่อเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายจากไฟฟ้า เราจะได้ช่วยเหลือคนอื่นได้ทัน เมื่อมีเหตุเกิดเพลิงไหม้เรามักจะได้ยินข้อสันนิษฐานว่ามีเหตุ มาจากไฟฟ้าลัดวงจร ภาวะหรือสาเหตุการลัดวงจรคือกระแสไฟฟ้าไหลครบวงจรโดยไม่ผ่านเครื่องใช้ ไฟฟ้า (LOAD) การลัดวงจรของไฟฟ้ามีมากมายหลายสาเหตุ สาเหตุหลักเกิดจากการใช้ไฟฟ้าที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ได้มีการตรวจสอบระบบไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน การติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อย คือ 1.1
ฉนวนไฟฟ้าชำรุดและเสื่อมสภาพ อาจเนื่องมาจากอายุการใช้งานนาน สภาพแวดล้อมมีความร้อนสูง 1.2 มีสิ่งก่อสร้าง ต้นไม้ หรือสิ่งอื่น ๆ ไปพาดทับหรือสัมผัสสายไฟฟ้า เกิดการขัดสี จนฉนวนชำรุด ลวดตัวนำ ภายในสายสัมผัสกันเองจนเกิดการลุกไหม้ 1.3 สายไฟฟ้าหลุด หรือขาดลงพื้น ทำให้กระแสไฟฟ้ากระจายอยู่ในบริเวณนั้น หากพื้นผิวบริเวณนั้นเปียกชื้น อันตรายต่อผู้สัญจรยิ่งสูงตามไปด้วย เป็นภาวะที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายมีผลทำให้กล้ามเนื้อเกิดการเกร็ง จนไม่สามารถสะบัดให้หลุดได้ ปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านร่างกายทำให้เสียชีวิต หรือพิการไฟฟ้าดูดในบางกรณี เป็นการดูดที่ผู้ประสบเหตุไม่ได้สัมผัสกับไฟฟ้าโดยตรงก็ได้ เช่นจับตัว ผู้สัมผัสไฟฟ้า หรือใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าใต้แนวไฟฟ้า แรงสูงก็เคยมีกรณีให้เป็นตัวอย่างมาแล้ว ปกติพื้นดินเป็นส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้า มีแรงดันทางไฟฟ้าเป็นศูนย์ ดังนั้น เมื่อเราสัมผัส ส่วนใดใดที่มีแรงดันไฟฟ้าขณะที่ร่างกายยืนอยู่บนพื้นดิน กระแสไฟฟ้าก็จะไหลผ่านร่างกายลงดินครบวงจร เราจึงถูกไฟฟ้าดูด การถูกไฟฟ้าดูดจากการสัมผัส สามารถแยกแยะตามลักษณะของการสัมผัสได้เป็น 2 แบบคือ 2.1 การสัมผัสโดยตรง(Direct Contact)คือการที่ส่วนร่างกายสัมผัสถูกส่วนที่มีไฟฟ้าโดยตรง เช่น สายไฟฟ้ารั่ว เพราะฉนวนชำรุดแล้วมีบุคคลเอามือไปจับหรือจากการที่เด็กเอาโลหะหรือตะปูแหย่ เข้าไปในปลั๊ก(เต้ารับไฟฟ้า) 2.2 การสัมผัสโดยอ้อม(Indirect Contact) ลักษณะนี้ บุคคลไม่ได้สัมผัสส่วนที่มีไฟฟ้าโดยตรง แต่เกิดจากการที่ บุคคลไปสัมผัสกับส่วนที่ปกติไม่มีไฟฟ้า เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า แต่มีไฟฟ้าเนื่องจากเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ๆ รั่ว ไฟฟ้าจึงปรากฏ อยู่บนพื้นผิวของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ๆ เมื่อบุคคลไปสัมผัสจึงถูกไฟฟ้าดูด
บทความและหลักสูตรที่น่าสนใจ
วิธีใดบ้างที่สามารถป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าแนวทางป้องกันความเสี่ยงที่มีต่อคน
ใช้ฉนวนป้องกัน อุปกรณ์ไฟฟ้ามีฉนวนป้องกันการสัมผัสจากผู้ใช้งาน ใช้เครื่องตัดไฟรั่ว อุปกรณ์ที่ใช้กันไฟดูด-ไฟช็อตจะเรียกรวมๆว่า Residual-Current Device (RCD) ติดตั้งสายดิน ให้แก่เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้นที่มีโครงสร้างโลหะ
เรามีวิธีการใดบ้างที่ป้องกันไฟฟ้าไม่ให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้งานห้ามนำสารไวไฟ หรือสารลุกติดไฟง่ายเข้าใกล้สวิทช์ไฟฟ้า หมั่นตรวจสอบฉนวนหุ้มอุปกรณ์อยู่เสมอ ในบริเวณที่อาจสัมผัส หรือทำงาน เมื่อมีผู้ได้รับอันตราย ควรสับสวิทช์ให้วงจรเปิด (ตัดกระแสไฟฟ้า) เมื่อไฟฟ้าดับ หรือเกิดไฟฟ้าช๊อต ควรสับสวิทช์วงจรไฟฟ้าให้เปิด
การป้องกันอันตรายขณะทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ทำได้โดยวิธีใดการป้องกันอันตรายขณะทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทำได้โดยวิธีใด สวมเสื้อผ้าไม่รัดกุมมาทำงาน สวมรองเท้าแตะมาปฏิบัติงาน สวมรองเท้า safety มาปฏิบัติงาน
อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าที่สามารถป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูดได้คืออะไรการป้องกันอุบัติภัยจากไฟฟ้า
2. ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าดูด อาทิ เครื่องตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ เบรกเกอร์ควบคุมไฟ โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีโครงหรือวัสดุหุ้มเป็นโลหะ เช่น ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ไมโครเวฟ ตู้น้ำดื่ม เป็นต้น ควรติดตั้งสายดิน หากกระแสไฟฟ้ารั่ว ไฟฟ้าจะไหลลงสู่พื้นดิน จึงช่วยป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด
|