สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ (2551: 23-31) ได้กล่าวถึงวิธีการสอนแบบอภิปรายไว้ดังนี้ ความหมาย การจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย คือกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนมีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือระดมความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนหรือที่กลุ่มมีความสนใจร่วมกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อหาคำตอบแนวทางหรือแก้ปัญหาร่วมกัน การจัดการเรียนรู้แบบนี้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้คือ ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติงานและชื่นชมผลงานร่วมกัน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นหรือระดมความคิดเห็นร่วมกัน และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างทั่วถึง 2. เพื่อฝึกการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม การนำเสนอผู้นำ ผู้ตาม การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและการเป็นสมาชิกที่ดีของกลุ่ม 3. เพื่อฝึกการค้นคว้าหาความรู้ ข้อมูล ข้อเท็จจริงมาเพื่ออภิปรายให้ผู้อื่นรับทราบ ประเภทของการอภิปราย การอภิปรายนั้นมีรูปแบบหรือประเภทการจัดการอภิปรายหลากหลายรูปแบบ อาทิ เช่น 1. การอภิปรายเป็นคณะ (Panel Discussion) เป็นการอภิปรายที่แยกคณะผู้อภิปรายจากผู้ฟัง โดยคณะผู้อภิปรายจะประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุมิหรือผู้เชี่ยวชาญจากสาขาวิชาต่างๆในเรื่องที่จะอภิปรายประมาณ 3-6 คนมาร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและนำเสนอองค์ความรู้ต่างๆจากประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญในเรื่องหรือหัวข้อที่กำหนดต่อผู้ฟัง โดยมีดำเนินการอภิปราย (Moderator) จำนวน 1 คน ทำหน้าที่เชื่อมโดยงความคิดเห็น ซักถาม ควบคุมและสรุปผลการอภิปราย พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามหรือแสดงความคิดเห็น วิธีการอภิปรายจะแบ่งเป็นรอบ ส่วนใหญ่ไม่เกิน 2 รอบโดยมักจะกำหนดเวลารอบแรกมากกว่ารอบที่สอง รอบแรกจะให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญนำเสนอองค์ความรู้ในเวลาที่กำหนดให้ ส่วนรอบที่สองให้สรุปประเด็น หรือเติมเต็มความรู้จากรอบแรก หรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม จากนั้นจึงเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามและถ้าตรงกับเรื่องใดผู้เชี่ยวชาญท่านั้นจะเป็นผู้ตอบ ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้ มักจัดเป็นแบบห้องเรียนหรือแบบโรงละคร ตัวอย่างหัวข้ออภิปราย เช่น - วิกฤติการณ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย - ครูยุคใหม่กับ ICI 2. การอภิปรายแบบฟอรั่ม (Forum Discussion) ในภาษาไทยมีผู้บัญญัติศัพท์คำที่ใกล้เคียงกับความหมายของคำว่า “Forum” ว่า “อาศรม” การอภิปรายแบบนี้เป็นลักษณะการอภิปรายในเรื่องหรือหัวข้อที่ทุกคนสนใจร่วมกัน โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียงหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนั้นๆเป็นอย่างดีหรือบางทีเราเรียกว่าองค์ปาฐก (Keynote Speaker) มาแสดงปาฐกถานำ ต่อจากนั้นจึงมีการอภิปรายโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งอาจมากกว่า 1 คน หลังจากจบการปาฐกถาหรืออภิปรายแล้ว จะเปิดเวทีให้ผู้ฟังซักถามได้อย่างเต็มที่ ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้ มักจัดเป็นแบบตัวยู (U-shape) แบบตัวโอ (O-shape) แบบครึ่งวงกลม (Semicircle) หรือแบบโต๊ะกลม (Round Table) ตัวอย่างหัวข้ออภิปรายเช่น - 30 บาทรักษาได้ทุกโรคจริงหรือ - อาศรมทางปัญญาว่าด้วยการพัฒนาสมองสองซีก 3. การอภิปรายแบบสัมมนา (Seminar Discussion) เป็นการอภิปรายที่มีสมาชิกกลุ่มจำนวนมากกว่า 20 คนขึ้นไปในหัวข้อกำหนดไว้ ส่วนใหญ่เป็นหัวข้อหรือเรื่องที่ต้องการให้สมาชิกศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือประเด็นที่เป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการตัดสินใจ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา (Participant) ได้ร่วมอภิปรายกันอย่างอิสระ ซึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนามักจะเป็นผู้ที่มีความสนใจหรือมีประสบการณ์ในเรื่อง/หัวข้อที่สัมมนา หัวข้อสัมมนามักจะเปิดกว้างเพื่อแบ่งเป็นหัวข้อย่อยได้จำนวนมาก ผู้ทรงคุณวุฒิหรือเชี่ยวชาญมาให้ความรู้ หรือคำแนะนำในเบื้องต้น หลังจากนั้นจะแบ่งเป็นกลุ่มสนใจตามหัวข้อย่อยของเรื่องที่กำหนด ผู้เข้าสัมมนาจะเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับความรู้ความคิดเห็นในเวลาเดียวกัน การสัมมนาไม่มีการลงมติ เป็นเพียงการประมวลผลความคิดเห็นเพื่อตอบประเด็นหรือกระทู้ที่ตั้งไว้ และสรุปเป็นข้อเสนอแนะไว้ หลังจากนั้น ผู้แทนกลุ่มย่อยทุกกลุ่มออกไปนำเสนอความคิดเห็นต่อกลุ่มใหญ่เพื่อสรุปรวมความคิดเห็นของสัมมนาสมาชิก ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้ ในช่วงแรกมักจัดเป็นแบบห้องเรียนหรือแบบโรงเรียนละคร ส่วนในช่วงหลังมักจัดเป็นกลุ่มย่อยแบบโต๊ะกลม (Round Table) แบบตัวยู (U-shape) หรือแบบตัวโอ (O-shape) ตัวอย่างหัวข้อสัมมนา เช่น - แนวทางปฏิรูปการจัดการเรียนรู้ - การแก้ปัญหายาเสพติดในโรงเรียน - การกระจายอำนาจทางการศึกษา 4. การอภิปรายแบบซิมโพเซี่ยม (Symposium Discussion) เป็นการอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้อภิปรายหลายคน ซึ่งผู้ร่วมอภิปรายแต่ละคนจะนำเสนอผลงานหรือข้อค้นพบที่ได้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่กำหนดไว้ล่วงหน้ามาอภิปราย ผู้ดำเนินการอภิปราย (Moderator) จะเป็นผู้เชื่อมโยงเรื่องที่ผู้อภิปรายแต่ละคนนำเสนอให้ผุ้ฟังเข้าใจในประเด็นสำคัญต่างๆมากยิ่งขึ้น และผู้ฟังเลือกซักถามข้อข้องใจต่างๆกับผู้อภิปรายผ่าน ผู้ดำเนินการอภิปราย ซึ่งจะเป็นผู้ดำเนินการให้ผู้อภิปรายที่เกี่ยวข้องแต่ละท่านเป็นผู้ตอบคำถาม โดยอาจสรุปให้กระชับตรงประเด็นในกรณีที่คำถามหรือคำตอบไม่ชัดเจน ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้เป็นแบบห้องเรียนหรือโรงละคร โดยแบ่งเป็นห้องประชุมย่อยตามหัวเรื่องหรือประเภทของผลงาน ตัวอย่างหัวข้อการอภิปราย เช่น - การนำเสนอผลงานวิจัยในชั้นเรียนของครูต้นแบบ - การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา - นวัตกรรมการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5. การอภิปรายแบบซินดิเคต (Syndicate Discussion) เป็นการอภิปรายแบบกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 6-10 คนที่มีความรู้และประสบการณ์ต่างกัน จุดประสงค์ของการอภิปรายแบบนี้เพื่อให้กลุ่มย่อยได้ศึกษาหรือพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมใหญ่ สมาชิกจะแลกเปลี่ยนความรู่และประสบการณ์กันในเรื่องที่ได้รับมอบหมาย โดยผลัดกันทำหน้าที่ประธานและเลขานุการกลุ่ม ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้มักเป็นแบบโต๊ะกลม (Round Table) แบบครึ่งวงกลม (Semicircle) แบบตัวยู (U-shape) หรือแบบตัวโอ (O-shape) ตัวอย่างหัวข้อการอภิปราย เช่น - การลดปริมาณขยะในโรงเรียน - การใช้สมุนไพรไทยในชีวิตประจำวัน 6. การอภิปรายแบบระดมสมอง (Brainstorming Discussion) เป็นการอภิปรายแบบแบ่งกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 2-6 คนที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องที่จะอภิปราย จุดประสงค์ของการอภิปรายแบบระดมสมองเพื่อแสวงหาความคิดสร้างสรรค์จากสมาชิกทุกคนให้ได้มากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด แต่ละกลุ่มจะแต่งตั้งประธานนำการอภิปราย กระตุ้นให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีโดยไม่มีการตัดสิน ผิด ถูก ดี ไม่ดี เพื่อรวบรวมความคิดเห็นให้ได้มากที่สุด ส่วนเลขานุการกลุ่มจะทำหน้าที่บันทึกความคิดเห็นของกลุ่ม ขั้นต่อไปจึงนำความคิดที่รวบรวมได้มาวิเคราะห์จัดรวมเข้าเป็นกลุ่มเสร็จแล้วช่วยกันตัดเติมเสริมแต่งให้ได้ความคิดที่สมบูรณ์ที่สุด หลังจากนั้นจึงนำเสนอกลุ่มใหญ่ตามเวลาที่กำหนด ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้มักเป็นแบบโต๊ะกลม (Round Table) แบบครึ่งวงกลม (Semicircle) แบบตัวยู (U-shape) แบบตัวไอ (I-shape) หรือแบบตัวโอ (O-shape) ตัวอย่างหัวข้อการอภิปราย เช่น - ยุทธศาสตร์การยุบรวมเลิกล้มโรงเรียนขนาดเล็ก - การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ 7. การอภิปรายแบบโต๊ะกลม (Round Table Discussion) การอภิปรายแบบนี้คล้ายคลึงกับการอภิปรายแบบซินดิเคต คือเป็นการอภิปรายในประเด็นที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมใหญ่หรือตามที่สมาชิกเลือกตามกลุ่มสนใจ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นและประสบการณ์เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน โดยมีลักษณะเด่น คือ เน้นการอภิปรายในกลุ่มย่อยซึ่งทุกคนสามารถมองเห็นกันได้หมดและมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้เท่าเทียมกันไม่จำกัดจำนวนครั้ง ดังนั้น การเลือกประธานในแต่ละกลุ่มจึงเป็นสิ่งสำคัญในการหาข้อสรุปความคิดเห็นของกลุ่ม ประนีประนอมเมื่อเกิดข้อโต้แย้งกันเอง กระจายโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นโดยปราศจากอคติ ซึ่งในแต่ละกลุ่มอาจอภิปรายในประเด็นเดียวกันหรือเป็นประเด็นย่อยภายใต้เรื่องเดียวกันก็ได้ ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้เป็นมักเป็นแบบโต๊ะกลม (Round Table) หรือแบบตัวโอ (O-shape) 8. การอภิปรายแบบเวียนรอบวง (Circular Response Discussion) เป็นการอภิปรายในหัวข้อที่ได้รับมอบหมายหรือตามกลุ่มสนใจโดยมีกฎเกณฑ์กติกาชัดเจน เช่น ให้อภิปรายหมุนเวียนกันเป็นรอบๆจนครบทุกคน แต่ละคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้รอบละประมาณ 1-2 นาที ถ้าต้องการสนับสนุนหรือมีข้อโต้แย้งต้องรอจนกว่าจะถึงรอบของตน ถ้ามีเวลามากพออาจใช้จำนวนรอบมากขึ้นได้ สมาชิกในแต่ละกลุ่มไม่ควรเกิน 10 คน เป็นต้น ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้เป็นมักเป็นแบบโต๊ะกลม (Round Table) หรือแบบตัวโอ (O-shape) 9. การอภิปรายแบบปุจฉาวิสัชนา (Questioning-Answering Discussion) เ ป็นการอภิปรายที่มีจุดประสงค์ให้สมาชิกผู้รับฟังการอภิปรายเกิดความรู้ ความเข้าใจในปัญหาหรือเรื่องที่ต้องการศึกษาในแง่มุมต่างๆอย่างละเอียดตามความต้องการและความสนใจของผู้ฟัง คณะผู้อภิปรายประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 6-8 คน โดยมีผู้ดำเนินการอภิปราย (Moderator) จำนวน 1 คนครึ่งนึ่งของคณะผู้อภิปรายจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือวิทยากรผู้มีประสบการณ์สูงในเรื่องที่จะอภิปราย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นตัวแทนจากกลุ่มผู้ฟังทำหน้าที่เสนอข้อคำถามให้ผู้เชี่ยวชาญหรือวิทยากรตอบ สำหรับผู้ดำเนินการอภิปรายทำหน้าที่เชื่อมโยงความคิดเห็น ซักถาม ควบคุมเวลาและสรุปผลการอภิปราย ลักษณะการจัดโต๊ะเก่าอี้มักเป็นแบบห้องเรียนหรือโรงละคร ตัวอย่างหัวข้ออภิปรายแบบปุจฉา-วิสชนา เช่น - มองเด็กไทยในยุคโลกาภิวัตน์ - บทบาท อบต.กับการพัฒนาท้องถิ่น 10. การอภิปรายแบบโต้วาที (Debate Discussion) เป็นการอภิปรายที่แบ่งผู้อภิปรายออกเป็น 2 ทีม ของประเด็นปัญหาที่มีน้ำหนักความน่าเชื่อถือในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุน อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายค้านโดยมีหัวหน้าทีมอยู่ทั้งสองฝ่าย ทีมหนึ่งประมาณ 3-5 คน ในการอภิปรายจะมีผู้ดำเนินรายการอยู่ 1 คน แต่ละฝ่ายจะอภิปรายแสดงเหตุผลอ้างอิงข้อมูลต่างๆในการหักล้างข้อมูลของอีกฝ่าย รวมทั้งสร้างความน่าเชื่อถือทางความคิดและความเชื่อของฝ่ายตนเพื่อให้ผู้ฟังคล้อยตามให้มากที่สุดในเงื่อนเวลาที่เท่ากัน การอภิปรายแบบนี้ส่วนใหญ่แบ่งเป็นสองรอบ แต่ถ้าผู้ร่วมอภิปรายมีจำนวนมากอาจเหลือเพียงรอบเดียวโดยให้หัวหน้าทีมแต่ละฝ่ายเป็นผู้สรุป ส่วนใหญ่ผู้ฟังจะสนุกสนานในการฟังคารมของผู้พูดซึ่งต้องมีปฏิภาณไหวพริบและวิธีการีพูดที่เร้าใจ เมื่อสิ้นสุดการอภิปรายผู้ตัดสินว่าเห็นด้วยกับฝ่ายใดมากที่สุดคือผู้ฟัง การอภิปรายแบบนี้มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน อีกแบบหนึ่งเรียกว่า การอภิปรายแบบยอวาที จะต่างกันตรงที่ผู้ร่วมอภิปรายทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็นตรงกันในหัวข้อที่อภิปรายต่างฝ่ายต่างหาเหตุผลมาสนับสนุนซึ่งกันและกัน ลักษณะการจัดโต๊ะเก้าอี้มักเป็นแบบห้องเรียน หรือโรงละคร ตัวอย่างหัวข้ออภิปรายแบบโต้วาที เช่น - ซื้อของในห้างดัง ดีกว่าจ่ายสตางค์ในตลาด - สมองคนดีกว่าสมองกล - อยู่ผืนแผ่นดินไทย สุขใจกว่าต่างแดน ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย มีดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการอภิปราย ผู้สอนจะต้องเตรียมการในสิ่งต่อไปนี้ - กำหนดหัวข้อ วัตถุประสงค์ รูปแบบการอภิปราย - ผู้สอนควรกำหนดบทบาทให้ผู้เรียน และให้เวลาผู้เรียนเตรีนมการอภิปรายหลังจากทราบหัวข้อ โดยการหาข้อมูลหรือรายละเอียดเพื่อเข้าร่วมอภิปราย - สื่อการเรียน อาจจะเป็นเอกสารหรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็น เช่น แผนภูมิเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ แผ่นใส เป็นต้น - สถานที่ อาจจะเป็นห้องเรียนซึ่งผู้สอนควรจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการอภิปราย เช่น จัดแบบวงกลม ครึ่งวงกลม รูปตัวยู รูปตัวโอ รูปตัวที 2. ขั้นดำเนินการอภิปราย ผู้สอนมีบทบาทสำคัญโดยเป็นผู้ควบคุมให้การอภิปรายดำเนินไปด้วยดี ดังนั้นผู้สอนควรดำเนินการดังนี้ - บอกหัวข้อหรือปัญหาและวัตถุประสงค์ของการอภิปราย - บอกเงื่อนไขหลักเกณฑ์การอภิปราย เช่น รูปแบบวิธีการอภิปราย ระยะเวลาที่ใช้ บทบาทหน้าที่ของผู้อภิปราย ผู้ดำเนินการอภิปราย การรับฟังผู้อื่นและการเคารพมติส่วนรวม เป็นต้น - ดำเนินการอภิปราย โดยมีผู้ดำเนินการอภิปรายจะต้องใช้ความสามารถควบคุมให้การอภิปรายดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ขณะที่ผู้เรียนเข้ากลุ่มอภิปราย ผู้สอนไม่ควรเข้าไปกำกับหรือแทรกแซงผู้เรียนตลอดเวลา แต่ควรคอยดูแลกระตุ้นให้เกิดกำลังใจ ให้คำแนะนำเมื่อผู้เรียนต้องการเท่านั้น 3. ขั้นสรุป ประกอบด้วย - สรุปผลการอภิปราย ผู้แทนกลุ่มสรุปผลการอภิปรายแล้วนำเสนอผลการอภิปรายต่อที่ประชุม เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถาม ผู้อภิปรายตอบคำถาม ผู้สอนคอยช่วยเหลือเพิ่มเติมในสระสำคัญได้ 4. ขั้นสรุปบทเรียน ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปสาระสำคัญและแนวคิดที่ได้จากการอภิปราย 5. ขั้นประเมินผลการเรียน ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันนำเสนอข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงการเรียนรู้ต่อไป ข้อดีและข้อจำกัด การจัดการเรียนรู้แบบอภิปรายมีข้อดีและข้อจำกัด ดังนี้ ข้อดี 1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น |