รายงานผลการบริหารความเสี่ยง อปท doc

It is a good idea to always include width and height attributes. If height and width are not set, the page might flicker while the video loads.

The element allows you to specify alternative video files which the browser may choose from. The browser will use the first recognized format.

The text between the and tags will only be displayed in browsers that do not support the element.


HTMLAutoplay

To start a video automatically, use the autoplay attribute:

Example


 
 
Your browser does not support the video tag.

Try it Yourself »

Note: Chromium browsers do not allow autoplay in most cases. However, muted autoplay is always allowed.

Add muted after autoplay to let your video start playing automatically (but muted):

Example


 
 
Your browser does not support the video tag.

Try it Yourself »


Browser Support

The numbers in the table specify the first browser version that fully supports the element.

Element4.09.03.54.010.5

HTML Video Formats

There are three supported video formats: MP4, WebM, and Ogg. The browser support for the different formats is:

ปีหน้าจะหางานยากไหม ? AI จะมาแทนที่หรือเปล่า ? เราต้องเตรียมตัวกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ หรือจะ work from home กันไปยาวๆ
.
ช่วงส่งท้ายปีแบบนี้ หลายคนน่าจะเริ่มกลับมาทบทวนชีวิต พร้อมๆ กับวางแผนสำหรับปีถัดไป ซึ่งนอกจากคำทำนายของหมอดูแล้ว การรู้เทรนด์ภาพรวมของปีหน้า ก็อาจจะช่วยให้ชาวออฟฟิศอย่างเราๆ ได้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนจะถึงปีถัดไปได้ด้วย วันนี้ The MATTER เลยรวบรวม 7 เทรนด์การทำงานของปี 2023 มาฝากทุกคนกัน
.
- ปัจจุบันคนกลัว ‘การว่างงาน’ แต่ในอนาคตหลายประเทศอาจ ‘ขาดแคลนแรงงาน’

แม้จะฟังดูย้อนแย้งสักหน่อย แต่เทรนด์นี้ก็มีที่มาที่ไปอยู่เหมือนกัน ซึ่งลินดา แกรตตัน (Lynda Gratton) ผู้เชี่ยวชาญด้านองค์กรและศาสตราจารย์ด้านการจัดการแห่ง London Business School กล่าวว่า ปีหน้าคนจะกลัวการว่างงานและเข้าสู่ตลาดแรงงานกันเยอะขึ้น เพราะกังวลเรื่องเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น

แต่ถ้ามองในระยะยาวกว่านั้น หลายประเทศอาจประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยรายงาน Indeed & Glassdoor’s Hiring and Workplace Trends Report 2023 อธิบายว่าเป็นเพราะอัตราการเกิดที่ลดลง ประชากรอายุ 15-65 ปีจะมีจำนวนน้อยลงในหลายประเทศ และเมื่อถึงวันนั้นเราอาจจะเห็นบางประเทศเริ่มผ่อนปรนข้อกำหนดด้านการจ้างแรงงานข้ามชาติ หรือมีนโยบายเพิ่มโอกาสการทำงานให้คนหลากหลายกลุ่มมากขึ้น
.
- ‘ค่าตอบแทนและสวัสดิการ’ คือเหตุผลหลักที่ทำให้คนเปลี่ยนงาน

จากการสำรวจของ Indeed ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2021 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 พบว่า เหตุผลหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจเปลี่ยนงานคือ ‘ค่าตอบแทนที่สูงขึ้น’ (รองลงมาคือเรื่องนโยบายทำงานทางไกล และความต้องการเปลี่ยนสายอาชีพ) ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจตอนนี้ที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นในรอบหลายปี
.
- ‘ทำงานที่ไหนก็ได้’ เริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ

ช่วงแรกๆ ที่เพิ่งเจอโรคระบาด เราอาจจะคิดว่า ‘การทำงานที่บ้าน’ หรือ ‘การทำงานทางไกล’ เป็นเพียงนโยบายชั่วคราวเท่านั้น แต่เมื่อหลายคนเริ่มปรับตัวได้ กลับทำให้พบว่าความยืดหยุ่นของสถานที่ทำงานช่วยให้บางคนทำงานได้ดีขึ้นมาซะงั้น

ดังนั้นในอนาคต แม้จะไม่มีโรคระบาดอีกต่อไป แต่นโยบายดังกล่าวจะเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในหลายๆ บริษัท ซึ่งข้อดีคือการเปิดโอกาสให้คนหลากหลายกลุ่มได้เข้ามาทำงานร่วมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติ กลุ่มคนพิการ กลุ่มคนที่ไม่สะดวกเดินทางมาทำงานในออฟฟิศ แต่แน่นอนว่ายังมีข้อจำกัดเรื่องการสื่อสารและความสัมพันธ์ในองค์กรด้วยเหมือนกัน
.
- คนอยากกลับมาออฟฟิศ เพราะ ‘อยากเจอเพื่อน’

แม้บางงานจะทำที่บ้านได้สบายๆ แต่เหตุผลหลักที่หลายคนอยากเข้าออฟฟิศไม่ใช่เรื่องงาน แต่เป็นความรู้สึกอยากกลับไปเจอเพื่อนๆ หรือผูกมิตรกับคนในที่ทำงานมากกว่า

เมื่อมนุษย์ออฟฟิศหลายคนยังต้องการความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ขณะที่เทรนด์ ‘การทำงานที่ไหนก็ได้’ กำลังกลายเป็นเรื่องปกติ ทำให้โจทย์ใหญ่ของหลายๆ องค์กรในปี 2023 คือการหาตรงกลางให้กับเรื่องนี้
.
- ผู้คนคาดหวัง ‘ความสุข’ จากการทำงานมากขึ้น

ในปี 2023 มีแนวโน้มว่าเหล่าคนทำงานจะให้ความสำคัญกับความสุขและความเป็นอยู่ที่ดี มี work-life balance กันมากขึ้นเพราะ COVID-19 กระตุ้นให้คนเรารู้สึกว่าชีวิตช่างแสนสั้น ทำไมเราต้องมาทนทุกข์กับการทำงานในทุกๆ วันด้วยนะ และข่าวดีคือหลายบริษัทกำลังหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เหมือนกัน หลังจากผ่านช่วง The Great Resignation หรือการลาออกครั้งใหญ่ไปเมื่อช่วงต้นปี
.
- DEI (diversity, equity, and inclusion) เป็นเรื่องสำคัญ

ในอนาคตหลายคนจะมองไกลไปมากกว่า ‘บริษัทให้อะไรกับเราบ้าง’ แต่ยังหันมาจับตามองเรื่องความเท่าเทียมในองค์กรมากขึ้น โดยเฉพาะทัศนคติผู้นำในองค์กรว่าให้ความสำคัญกับ ‘DEI’ หรือเปล่า ซึ่ง ‘DEI’ ในที่นี้ ย่อมาจาก Diversity (ความหลากหลาย), Equity (ความเสมอภาค) และ Inclusion (การรวมกลุ่มกัน) หรือเรียกง่ายๆ ว่า เป็นการยอมรับความแตกต่างและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังนั่นเอง
.
- เทรนด์การทำงาน 4 วัน/สัปดาห์กลับมาอีกครั้ง

แม้การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ลินดา แกรตตันมองว่าในปี 2023 นี้ รูปแบบการทำงานดังกล่าวจะมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น หรืออย่างน้อยๆ ก็น่าจะถูกพูดถึงเยอะขึ้น โดยเหตุผลสำคัญคือ จำนวน Sandwich Generation เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอัตราการเกิดน้อยลง ขณะที่ผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นการทำงาน 5 วันอาจทำให้คนกลุ่มนี้ไม่สามารถแบกรับทุกอย่างได้ไหวจนหมดไฟในการทำงาน หรือเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ ซึ่งสุดท้ายก็จะวกกลับมาที่ประสิทธิภาพการทำงานในบริษัทอีกที แถมยุคนี้ยังมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดทอนบางงานลงไปได้ ทำให้ระบบการทำงาน 4 วันทั้งน่าจะเป็นไปได้และเป็นประโยชน์กับคนทำงานมากยิ่งขึ้น
.
เทรนด์ทั้งหมดนี้สรุปมาจากผลการสำรวจและการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญที่ทำให้เห็นภาพรวมกว้างๆ ในปีหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปตามนี้เป๊ะๆ เพราะการทำงานในออฟฟิศของแต่ละคนก็อาจจะมีรายละเอียดยิบย่อยที่แตกต่างกันออกไปอีกที
.
แต่ที่แน่ๆ ทั้ง 7 ข้อนี้ได้สะท้อนให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2022 ผ่านมา ทั้งสภาพเศรษฐกิจและสังคมสูงอายุเริ่มกลายเป็นเรื่องหลักๆ ที่หลายคนกังวลใจและให้ความสำคัญมากที่สุด ไปจนถึงสถานการณ์ COVID-19 ที่ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางที่ดีกว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
.
https://thematter.co/social/7-workplace-trends-2023/193295

#WorkplaceTrends2023 #TheMATTER

 

BRIEF: มาเลเซีย-ฟิลิปปินส์-อินโดฯ-สิงคโปร์ เมินคําเชิญไทย ไม่เข้าร่วมประชุมเรื่องวิกฤตเมียนมา ที่กรุงเทพฯ
.
เมื่อวานนี้ (22 ธันวาคม) ประเทศไทย นำโดย ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งเป็นเจ้าภาพในการ ‘หารืออย่างไม่เป็นทางการ’ เกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา โดยที่รองนายกฯ ดอน เป็นผู้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจากประเทศในอาเซียนด้วยตนเอง
.
ปัญหาก็คือ ชาติหลักๆ ในอาเซียนหลายชาติ กลับไม่ได้เข้าร่วมประชุม แม้จะมีการเชิญแล้วก็ตาม ประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมประกอบไปด้วย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย (ซึ่งจะรับบทบาทเป็นประธานอาเซียนในปีหน้าด้วย) สิงคโปร์ รวมถึงบรูไน ก็ไม่ปรากฏว่าเข้าร่วมการประชุมเช่นเดียวกัน
.
ประเด็นหลัก ที่สื่อต่างประเทศหลายแห่งให้ความสนใจ ก็คือ งานนี้มีผู้แทนระดับสูงจากเมียนมาเข้าร่วมหลายคน
.
แถลงการณ์ของเมียนมาระบุว่า มีทั้ง วันนะ หม่อง ลวิน (Wunna Maung Lwin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คาน ซอว์ (Kan Zaw) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ และ โก โก หล่าย (Ko Ko Hlaing) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศ
.
ทั้ง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการว่าเหตุใดจึงไม่ได้เข้าร่วม ขณะที่อินโดนีเซียและเวียดนาม ระบุว่า นักการทูตระดับสูงของทั้ง 2 ประเทศ กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการจัดการเยือนกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย อย่างเป็นทางการ ของประธานาธิบดีเวียดนาม
.
แต่สำนักข่าว Reuters ก็รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวทางการทูตของสิงคโปร์ว่า สาเหตุที่ไม่เข้าร่วมเป็นเพราะการปรากฏตัวของผู้แทนเมียนมา โดยมีจดหมายจากกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ ส่งถึงเจ้าภาพ ก็คือไทย คัดค้านการจัดงานดังกล่าว เนื่องจากอาเซียนเคยตกลงกันมาก่อนแล้ว ว่าจะไม่ให้รัฐบาลเผด็จการเมียนมาเข้าร่วมการประชุมใดๆ ในลักษณะนี้
.
“การประชุมใดๆ ที่จัดขึ้นภายใต้อาเซียน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ไม่ควรผิดแปลกไปจากการตัดสินใจนี้” คือบางส่วนในจดหมายของสิงคโปร์ถึงไทย
.
ในเรื่องนี้ กาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งแถลงในวันนี้ (23 ธันวาคม) ว่า “การประชุมครั้งนี้ไม่ใช่การประชุมอาเซียน เป็นการหารือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลกระทบโดยตรง และก็อยากจะเห็นทางออก อย่างนั้นก็ไม่ถือเป็นการไปกีดกันหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการในกระบวนการอาเซียน ในทางตรงกันข้าม อันนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความคืบหน้าในกระบวนการหาหนทางออกแก้ไขปัญหา
.
“ขอเรียนย้ำว่า อันนี้เป็นความพยายามที่จะเกื้อหนุน สนับสนุนและเกื้อกูลต่อกระบวนการทำงานของอาเซียน เพราะว่าที่ผ่านมาก็เป็นเวลากว่า 1 ปี แล้ว ที่อาเซียนไม่ได้มีโอกาสหารือในระดับรัฐมนตรี หรือฟังตรงๆ กับทางฝ่ายเมียนมาในระดับสูง” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าว
.
กาญจนายังเล่าถึงบรรยากาศการประชุมด้วยว่า เป็น “บรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ และเป็นกันเอง” โดยเป็นการหารือใน “ห้วงของอาหารกลางวัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา และสร้างสรรค์ เราต้องการเน้นให้เกิด เราต้องการเน้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่เกิดผลที่ปฏิบัติได้จริง เป็นรูปธรรม”
.
อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์การประชุมก็ไม่ได้มีให้เห็นเป็นรูปธรรม กาญจนาอธิบายว่า เพราะเป็นการหารืออย่างไม่เป็นทางการ จึงไม่มีการแจกเอกสารผลลัพธ์การประชุมแต่อย่างใด แต่เธอก็ย้ำด้วยว่า ประเด็นที่การหารือครั้งให้ความสำคัญ คือ การอำนวยความสะดวกในเรื่องความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม การลดผลกระทบทางมนุษยธรรมต่อประชาชนเมียนมาเองและประชาชนตามแนวชายแดน รวมถึงการปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน
.
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (21 ธันวาคม) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) ก็เพิ่งลงมติ 12-0 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง (จีน อินเดีย และรัสเซีย) รับข้อมติที่ 2669 (2022) เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงทุกรูปแบบในเมียนมาโดยทันที เรียกร้องให้มีการลดระดับความขัดแย้ง และให้กองทัพเมียนมาปล่อยตัวนักโทษที่ถูกจับกุมอย่างไม่ชอบธรรมโดยทันทีด้วย
.
.
.
อ้างอิงจาก

https://www.reuters.com/world/asia-...-thailand-key-asean-players-absent-2022-12-22



https://press.un.org/en/2022/sc15159.doc.htm

#เมียนมา #กระทรวงการต่างประเทศ #อาเซียน #TheMATTER

 

BRIEF: ทําตามฝันได้ แค่มีพ่อแม่อยู่ในวงการ รู้จัก ‘Nepo Baby’ ศัพท์มาแรง ที่ฮอลลีวูดกําลังถกเถียงกันตอนนี้
.
‘nepo baby’ คำคำนี้กำลังกลายเป็นประเด็นถกเถียง ทั้งในฮอลลีวูด และบนอินเทอร์เน็ต หลังจากที่นิตยสาร New York Magazine เพิ่งออกปกใหม่ ที่ประกาศให้ปีนี้ เป็น ‘ปีแห่ง Nepo Baby’ (The Year of the Nepo Baby) จนทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรง
.
‘nepo baby’ คืออะไร? คำตอบไม่ยาก nepo มาจาก nepotism หมายถึง การเล่นพรรคเล่นพวกเอื้อประโยชน์ให้กับเครือญาติ ส่วน baby ก็หมายถึง ลูกๆ หลานๆ ของคนที่มีชื่อเสียงอยู่ในวงการนั้นๆ อยู่แล้ว ในที่นี้ คือ วงการบันเทิงฮอลลีวูด
.
สแลงดังกล่าว จึงหมายถึง ลูกๆ หลานๆ ของคนในวงการ ที่ได้ประโยชน์จากการเอื้อประโยชน์ในวงการนั้นๆ เช่น วงการบันเทิง และวงการข้างเคียง อย่างแฟชั่นและสื่อมวลชน โดยที่การมีคอนเนคชั่นของพ่อแม่ เป็นสิ่งที่ช่วยพวกเขาอย่างมากกับการเริ่มต้นอาชีพในวงการ
.
คำนี้มีที่มาแรกเริ่มมาจากในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อมีผู้ใช้ทวิตเตอร์คนหนึ่ง ทวีตข้อความในทำนองตกใจว่า โมลด์ อะพาโตว (Maude Apatow) ที่รับบท ‘เล็กซี’ ในเรื่อง Euphoria เป็นลูกของนักแสดงหญิง ‘เลสลี แมนน์’ (Leslie Mann) และผู้กำกับ ‘จัดด์ อะพาโตว’ (Judd Apatow) พร้อมกับเรียกเธอว่า ‘nepotism baby’
.
หลังจากนั้น คน Gen Z หลายคน โดยเฉพาะใน TikTok ก็พากันตกใจกับข้อเท็จจริงที่ว่านี้ จนพาให้คำว่า ‘nepo baby’ กลายเป็นกระแสในปีนี้ ก่อนที่นิตยสาร New York Magazine จะตบท้ายด้วยการออกปกเกี่ยวกับ ‘nepo baby’ อย่างยิ่งใหญ่ ที่ข้างในยังกล่าวถึงหลายๆ ชื่อในฮอลลีวูดว่าเป็น ‘nepo baby’ ด้วย
.
มีใครบ้างที่ New York Magazine พาดพิง? มีหลายชื่อมาก ขอยกตัวอย่าง อาทิ
.
- มายา ฮอว์ก (Maya Hawke) – ลูกสาวของ อูมา เธอร์แมน (Uma Thurman และ อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke)
.
- ไรลีย์ คีโอ (Riley Keough) – หลานสาวของ เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley)
.
- โซอี คราวิตซ์ (Zoë Krawitz) – ลูกสาวของ เลนนี คราวิตซ์ (Lenny Kravitz) และ ลิซา โบเน็ต (Lisa Bonet)
.
- กวินเน็ธ พัลโทรว์ (Gwyneth Paltrow) – ลูกสาวของ บลายธ์ แดนเนอร์ (Blythe Danner) และ บรูซ พัวโทรว์ (Bruce Paltrow)
.
- เจมี ลี เคอร์ติส (Jamie Lee Curtis) – ลูกสาวของ เจเน็ต ลีห์ (Janet Leigh) และ โทนี เคอร์ติส (Tony Curtis)
.
- ดาโกตา จอห์นสัน (Dakota Johnson) – หลานสาวของ ทิปปี เฮเดรน (Tippi Hedren) และลูกสาวของ เมลานี กริฟฟิท (Melanie Griffith) และ ดอน จอห์นสัน (Don Johnson)
.
- ลอรา เดิร์น (Laura Dern) – ลูกสาวของ ไดแอน แลดด์ (Dianne Ladd) และ บรูซ เดิร์น (Bruce Dern)
.
เห็นรายชื่อเหล่านี้แล้ว หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า ก็เป็นเรื่องที่เรารู้กันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? นี่ก็เป็นข้อสังเกตที่ตรงกันกับสื่ออย่าง CNN และ The Guardian ที่มองว่า การที่ ‘nepo baby’ กลายเป็นประเด็น ก็เป็นเพราะผู้ชม Gen Z ซึ่งคนเหล่านี้เพียงแค่เกิดไม่ทัน หรือโตมาไม่ทันจนพลาดข้อเท็จจริงเหล่านี้ไป
.
“ดังนั้นแล้ว นี่ก็เป็นเพียงแค่ Gen Z ค้นพบอะไรบางอย่าง ที่คนทุกรุ่นค้นพบมาก่อนแล้ว เป็นข้อค้นพบที่ว่า ระบบคุณธรรม (meritocracy) ที่ทุกคนจะไต่เต้าบันไดสถานะได้ด้วยความสามารถของตัวเอง มันไม่มีอยู่จริง ใช่หรือไม่? ถ้าโดยพื้นฐานแล้วก็ใช่เลยล่ะ” คือข้อสรุปของ The Guardian
.
แล้วถ้าเป็นกรณีของไทยล่ะ ถ้าพูดถึง ‘nepo baby’ คุณจะนึกถึงใคร?
.
.
.
อ้างอิงจาก

https://www.theguardian.com/culture...y-and-why-is-gen-z-only-just-discovering-them

https://edition.cnn.com/2022/12/22/entertainment/nepo-baby-vulture-new-york-magazine-cec/index.html

https://www.vulture.com/article/what-is-a-nepotism-baby.html

#nepobaby #ฮอลลีวูด #TheMATTER

 

"อนุทิน" เปิดวิจัยวัคซีนโควิด อภ.เฟส 3 ซูฮกอาสาสมัคร "นครพนม" 4 พันคน ช่วยเปลี่ยนเกม สร้างมั่นคงประเทศ

"อนุทิน" เปิดทดลองวัคซีนโควิด HXP-GPOVac ของ อภ. ในคนเฟส 3 ตื้นตันจุกอก "อาสาสมัคร 4 พันคน" เข้าร่วม ย้ำเป็นตัวเปลี่ยนเกม ตีไข่แตกสำเร็จทำไทยมีความมั่นคงวัคซีน ช่วยประหยัดงบประมาณ ส่งออกต่างประเทศ สร้างความร่วมมือต่างชาติขยายต่อยอด อภ.เผยเล็งวิจัยต่อในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี

เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) นพ.ทวีศิลป์ วิศณุโยธิน รองปลัด สธ. นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.อภ. และ นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าววิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 เพื่อประเมินความปลอดภัยและความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีน HXP-GPOVac ขนาด 10 ไมโครกรัมในรูปแบบเข็มกระตุ้นเปรียบเทียบกับวัคซีนโควิด 19 ชนิดที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ พร้อมเยี่ยมชมการเริ่มฉีดวัคซีนในอาสาสมัคร ซึ่งเริ่มวันนี้เป็นวันแรก - 11 ม.ค. 2565

นายอนุทินกล่าวว่า วัคซีนโควิด HXP-GPOVac หนึ่งในโครงการวิจัยที่คืบหน้าที่สุดของไทย มาถึงจุดวิจัยทางคลินิกในระยะที่ 3 ถือเป็นพัฒนาการอีกหนึ่งขั้นในการสร้างภูมิคุ้มกันในประเทศไทย ต้องขอคารวะอาสาสมัคร 4 พันคน มีทั้งประชาชนและ อสม. ถือว่าเป็นวีรบุรุษวีรสตรี ที่เป็นผู้ที่จะทำให้การพัฒนาวิจัยวัคซีนเกิดผลสำเร็จ มีคุณูปการต่อประชาชนไทยและประเทศ แต่ไม่ต้องกังวล วัคซีนผ่านการทดสอบระยะที่ 1 และ 2 ว่าปลอดภัย ถึงนำมาทดสอบจำนวนมากในระยะที่ 3 เป็นรูปแบบเชื้อตายที่คนไทยคุ้นเคยดีว่าปลอดภัย อย่างวัคซีนไข้หวัดใหญ่

นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้ไม่มีวัคซีนตัวไหนป้องกันการติดเชื้อโควิดได้ แต่ทุกตัวทำให้ผู้ที่ติดเชื้อไม่มีอาการรุนแรงและไม่เสียชีวิต หากได้รับวัคซีนตามที่ สธ.กำหนดแนะนำ ทั้งนี้ ถ้าการทดสอบได้ผลน่าพอใจ ก็พร้อมจะผลิตวัคซีนตัวนี้เป็นเข็มกระตุ้นจากโรงงานผลิตยาของ อภ.ที่มีคุณภาพระดับโลก เงินทองก็จะไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ เสริมสร้างความมั่นคงของระบบสาธารณสุขไทย

"ทราบว่าอาสาสมัครเป็น อสม. เชื่อว่าคนไทยทุกคนที่รับฟังข้อมูลนี้ก็จะรู้สึกจุกอกด้วยความปลื้มใจและศรัทธาที่มีให้กับ อสม. ที่ทุ่มเทด้านสาธารณสุข ในนามรัฐบาล สธ. และบุคลากรทางการแพทย์ ขอบคุณทุกคนทุกหน่วยงาน ทั้งในและต่างประเทศที่ช่วยกันให้ไทยจะมีวัคซีนป้องกันโควิดจากฝีมือคนไทย ตอกย้ำขีดความสามารถของไทยในการดูแลประชาชนให้มีความมั่นคงด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน" นายอนุทินกล่าว

นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า ช่วงโควิดระบาดเราเห็นจุดอ่อนความมั่นคงทางยาและวัคซีน รัฐบาลให้การสนับสนุนองค์กรต่างๆ พัฒนาวิจัยวัคซีนมีหลายรูปแบบ อภ.ใช้เทคโนโลยีไข่ไก่ฟักและแบบเชื้อตาย มีความก้าวหน้าสูงสุดทำได้ในเฟส 3 โดยจะเปรียบเทียบกับไวรัลเวกเตอร์คือแอสตร้าเซนเนกา หวังว่าจะใกล้เคียงกันเรื่องคุณภาพ จะเป็นวัคซีนของคนไทย โดยจะทดลองวัคซีนในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีด้วยจะได้ใช้ในทุกกลุ่มอายุ หากมีความสำเร็จจะทำให้คนไทยมีความมั่นคง กลับไปสู่ภาวะปกติสุข มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว และการพึ่งพาตนเอง

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า มีคนถามว่าทำไมต้องมาทดลองวัคซีนกับอาสาสมัครในพื้นที่ จ.นครพนม ซึ่งอยู่ห่างไกลจากกทม.และ อภ. ในฐานะที่ปรึกษาโครงการและเคยมาทำงานในพื้นที่นี้ในการทำวิจัยเรื่องวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาก่อนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จึงนับว่าพื้นที่นี้มีความเข้าใจและเคยสร้างฐานการร่วมมือมาก่อน ขอให้ความมั่นใจอาสาสมัครว่า เราทดลองในขั้นก่อนหน้านี้ยาวนานมาก ตั้งแต่การได้ผล ไม่มีสารปนเปื้อน ไม่มีอันตราย ทดลองในหนู กระต่าย ลิง และอาสาสมัครจำนวนน้อยในระยะที่ 1 และ 2 คือพื้นที่นี้ ผลคือไม่มีใครมีปัญหาจากการทดลอง ความปลอดภัย 100% ก็ว่าได้จึงมั่นใจที่จะทำ ทั้งนี้ กรมฯ เข้ามาช่วยในการตรวจในขั้นตอนต่างๆ ทั้งคุณภาพ ระดับภูมิคุ้มกัน และการติดเชื้อ ซึ่งเรามีมาตรฐานระดับโลกก็จะเป็นที่เชื่อถือ ถ้าสำเร็จจะมีวัคซีน Made in Thailand เจ้าแรก ไม่ต้องหาซื้อจากใครถือเป็นความมั่นคงทางวัคซีนของประเทศ

นพ.นครกล่าวว่า วัคซีนที่วิจัยมีความร่วมมือและมาตรฐานระดับโลก ทุกวันนี้ที่มีวัคซีนอื่นๆ กันได้ ต้องผ่านการทดสอบวัคซีนในระยะที่ 3 ทั้งสิ้น เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนการขึ้นทะเบียน สถาบันวัคซีนฯ มีหน้าที่สนับสนุนพัฒนาวิจัยภายในประเทศ เพื่อให้พึ่งพาตนเองได้เมื่อเกิดวิกฤต จะได้ไม่ต้องไล่ตามวิ่งหาซื้อวัคซีน เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลให้การสนับสนุนงบประมาณซื้อวัคซีนจำนวนมาก แต่หาได้น้อยในช่วงต้นๆ เพราะเกิดการแย่งชิงกัน ถ้าเราทำได้เองก็ไม่ต้องแย่งกับใคร พึ่งพาตนเองได้เป็นเรื่องความมั่นคง ซึ่งเราก้าวหน้ากว่าบราซิลและเวียดนามที่ยังอยู่เฟส 1 และ 2

ด้าน นพ.วิฑูรย์ กล่าวว่า สถานการณ์โควิดที่ผ่านมา แสดงให้สังคมรับทราบว่า เราเป็นรัฐวิสาหกิจของ สธ. เป็นองค์กรหลักของไทยในการจัดหา ผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ หน้ากากอนามัย วัคซีน ชุดตรวจ ATK ให้เพียงพอต่อเนื่อง และรักษาระดับราคายาและเวชภัณฑ์ เพื่อให้ประชาชนได้สินค้าที่มีคุณภาพและเป็นธรรม วันนี้ก็มาอีกขั้นหนึ่ง โดยผลิตวัคซีนโควิด 19 เป็นรายแรกของประเทศไทย ด้วยการใช้เชื้อไวรัสนิวคาสเซิลที่ก่อให้เกิดโรคในไก่ ไม่ก่อให้เกิดโรคในมนุษย์ มาเป็นเวกเตอร์และใช้เทคโนโลยี Hexapro เพื่อเอาไวรัสโควิด 19 ไปฝังตัว เป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยตั้งแต่แรก เพราะใช้พื้นฐานเป็นเชื้อไวรัสนิวคาสเซิลและนำมาทำให้เป็นเชื้อตายอีกครั้งหนึ่ง ความปลอดภัยถึง 2 ชั้น นอกจากนี้ แพลตฟอร์มนี้ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตไม่ต้องเริ่มจาก 1 อาจจะนับจาก 7 8 9 ได้ ถ้าการทดลองเป็นไปตามกำหนดการ จะยื่นขอทะเบียนได้กลางปี 2566 ภายในปีหน้าจะได้ใล้ ส่วนกำลังการผลิตช่วงแรกน่าจะผลิตประมาณ 5-10 ล้านโดสต่อปี ถ้าใช้กระตุ้นน่าจะเพียงพอในประเทศ แต่สามารถขยายกำลังการผลิตได้ในอนาคต

ถามว่าถ้าสำเร็จผลิตใช้ได้เองจะช่วยประหยัดงบประมาณมากน้อยแค่ไหน นายอนุทินกล่าวว่า เราสั่งวัคซีนโควิดทุกชนิด ใช้งบเกือบ 8 หมื่นกว่าล้านบาท ถ้าเราผลิตเองได้ก็จะต้องประหยัดอย่างแน่นอน แต่เรื่องของสุขภาพประชาชนเราคงไม่ได้ดูจากเรื่องของตัวเลขงบประมาณ สิ่งสำคัญคือชีวิต สุขภาพที่ดี ความปลอดภัยของประชาชน คือเหตุผลที่เราต้องมีการพัฒนา ไม่พึ่งพาคนอื่น พึ่งพาตนเองให้มากที่สุด ถ้าการทดสอบสำเร็จแน่นอนว่าการผลิตในประเทศไทย ไม่มีต้นทุนการขนส่ง การตลาดอื่นๆ ก็จะต้องลดลงมา จะเกิดความร่วมมือจากต่างประเทศเข้ามามากมายในการมาใช้รากฐานของวัคซีนตัวนี้ในการขยายผล อย่างการประชุมที่เกาหลีใต้ เราได้รับการติดต่อติดต่อจากผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของเกาหลีรายหนึ่ง ที่จะมาร่วมกับ อภ.ในการพัฒนาวัคซีนต่อยอดขึ้นไป

"เราต้องตีไข่แตก ถ้าตีให้แตกก็ต้องมีอย่างอื่นตามมา ซึ่งตัวเปลี่ยนเกมเรื่องของวัคซีน ความมั่นคงวัคซีนโควิด 19 ก็คือ อาสาสมัคร 4 พันคนจากนครพนม ที่สำคัญเมื่อวัคซีนสำเร็จ ยังส่งออกสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาล เหมือนผู้ผลิตวัคซีนจากต่างประเทศ" นายอนุทินกล่าว

ที่มา : NEWS1

 

"น้ำยาปรับผ้านุ่ม (และอีกหลายอย่าง) ไม่ได้ทำให้เป็นมะเร็งเต้านม ครับ"

มีคนแชร์โพสต์นี้กันเยอะมาก ซึ่งก็มาจากเพจ Santi Manadee ที่ให้ความรู้ทางสุขภาพผิดๆ มาหลายครั้งแล้ว รวมทั้งเรื่องที่อ้างว่า "น้ำยาปรับผ้านุ่มก่อให้เกิดมะเร็งเต้านม" เนี่ย (ซึ่งไม่จริง) โดยโพสต์ล่าสุดของเขานี้ ใช้วิธีเขียนยาวๆ โยงสารพัดปัจจัยที่อ้างว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งเต้านม แล้วแฝงการโฆษณาขายอาหารเสริมของตน .... ซึ่งบางอันก็จริง แต่หลายอันก็ไม่จริง (โดยเฉพาะเรื่องน้ำยาปรับผ้านุ่ม) เลยทำให้คนจำนวนมากหลงเชื่อแชร์กันใหญ่

เอาเป็นว่า ขอรีโพสต์บทความที่เคยเขียนไว้ และขอเอาข้อมูลจากเว็บไซต์ของ American Cancer Society สมาคมโรคมะเร็งสหรัฐอเมริกา ( www.cancer.org ) มาสรุปให้ฟังดีกว่านะครับ ว่าตกลงมีอะไรบ้างกันแน่ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งเต้านม อะไรที่ยังไม่ชัดเจน และอะไรที่ไม่เกียว (แต่ชอบเชื่อกันผิดๆ ว่าเกี่ยวข้อง)
------------------
(รีโพสต์) "น้ำยาปรับผ้านุ่ม ไม่ได้อันตรายต่อสุขภาพ"

บทความนี่ก็แชร์กันไปใหญ่อีกแล้ว บอกว่า มีคำเตือนจาก "หมอนอกกะลา Santi Manadee" ว่าห้ามใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม เพราะมีสารออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง จะทำให้ลูกสาวใจแตกก่อนวัย ลูกชายจะไม่เป็นชาย รวมทั้งมีสารเคมีอันตรายอื่นๆ อีกเยอะแยะเลย !?

.... มั่วซิครับ ! น้ำยาปรับผ้านุ่มมีสารฮอร์โมนเพศหญิงซะที่ไหน สารอื่นๆ ที่ว่านั้น ก็ไม่ได้จะมีอันตรายอย่างนั้น (ดูคำอธิบายข้างล่าง)

เรื่อง "เตือนให้ระวังการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้" เนี่ย จริงๆ ทาง "ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์" ของสำนักข่าวไทย อสมท. ก็เคยทำสกู๊ปแล้วนะ ว่าไม่ใช่เรื่องจริง อย่าไปแชร์ต่อ (ดู http://www.tnamcot.com/view/59760a40e3f8e40ad163b486)

โดยทางศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ได้ไปสอบถามตรวจสอบกับ รศ.ดร.กาวี ศรีกูลกิจ ภาควิชาวัสดุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ แล้ว ได้คำสรุปว่า

- น้ำยาปรับผ้านุ่มประกอบด้วยสารเคมี 2 ส่วนคือ ส่วนที่ทำให้ผ้านุ่ม ได้แก่ กรดไขมันที่ได้จากสัตว์ เมื่อสัมผัสผิวผ้าจะทำให้เกิดความนุ่ม ไม่แข็ง (ไม่ใช่ กรดน้ำมัน อย่างที่ไปแชร์กัน) และสารที่ให้กลิ่นหอม ติดทนนาน / ซึ่งปัจจุบันใช้แค่สาร "เอทิลอะซีเตท-เบนซิลอะซีเตท" เพราะไม่เป็นอันตราย / ส่วนสารอื่นๆ ที่แชร์ในคลิปได้แก่ "มัสไซลีน" เป็นสารสังเคราะห์เลียนแบบกลิ่นจากกวาง ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว / "คลอโรฟอร์ม-เบนซิลแอลกอฮอล์" ปัจจุบันก็ไม่ได้ใช้เช่นกัน หรือหากมีสารอันตรายอื่นๆ ก็จะถูกกำจัดระหว่างกระบวนการผลิต

นอกจากนี้ยังได้สัมภาษณ์ ศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ หัวหน้าหน่วยผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายว่า

- น้ำยาปรับผ้านุ่มมีส่วนทำให้เกิดสารตกค้างในผ้า แต่มีปริมาณที่น้อยมาก การสวมใส่เสื้อผ้าบนผิวหนังจึงไม่มีสารที่ซึมเข้าสู่เลือดจนส่งผลต่อฮอร์โมน ยกเว้นคนที่มีอาการแพ้ เกิดผื่น หากเปลี่ยนยี่ห้อแล้วหาย

สรุปว่า น้ำยาปรับผ้านุ่ม นั้นไม่ได้อันตรายต่อการเอามาใช้หลังซักผ้าอย่างที่แชร์กันผิดๆ นะครับ
--------------------------------
"ปัจจัยต่างๆ ในชีวิตประจำวัน กับโรคมะเร็งเต้านม" (จากเพจ American Cancer Society)

#ปัจจัยที่ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม

1. #ยาระงับกลิ่นกายใต้วงแขน

: มีข่าวลือกันในสื่อสังคมออนไลน์ ว่าสารเคมีที่อยู่ในยาระงับกลิ่นกายใต้วงแขน จะถูกดูดซึมผ่านผิวหนังเข้าไป แล้วไปขัดขวางการไหลเวียนของน้ำเหลือง ทำให้เกิดการสะสมสารพิษในเต้านม นำไปสู่การเกิดมะเร็งเต้านม
: แต่จากหลักฐานที่มีอยู่ ไม่พบว่าจะมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่า ยาระงับกลิ่นกายนั้นจะไปเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม

2. #ยกทรง

: ข่าวลือในสื่อสังคมออนไลน์ และหนังสือบางเล่ม บอกว่าการใช้ยกทรงจะทำให้เกิดมะเร็งเต้านม เพราะยกทรงจะไปขัดขวางการไหลเวียนของน้ำเหลือง
: แต่ข่าวลือดังกล่าว ไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์แต่อย่างไร และงานวิจัยในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งศึกษาสตรีกว่า 1,500 คนนั้นไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการใส่ยกทรงกับความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

3. #การทำแท้ง

: มีงานวิจัยจำนวนหนักที่ให้ข้อมูลอย่างหนักแน่นมาก ว่าการแท้งบุตร ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเองหรือจากการทำแท้ง นั้นไม่ได้ส่งผลโดยรวมต่อความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม

------

#ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม (ไม่ได้แปลว่า "ต้องเป็น" นะ แค่เพิ่มความเสี่ยง)

1. #ดื่มแอลกอฮอล์

: ความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านมจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม เช่น สตรีที่ดื่มวันละดริงค์ จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (7% ถึง 10%) เมื่่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่ม / ส่วนสตรีที่ดื่มวันละ 2 - 3 ดริงค์ จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 20%
: แอลกอฮอล์ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งอวัยวะอื่นๆ ด้วย ดังนั้น จึงควรเลิกดื่ม หรือไม่ควรดื่มเกิน 1 ดริงค์ต่อวัน

2. #น้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วนหลังจากหมดประจำเดือน

: ปรกติ สตรีที่ยังมีประจำเดือนอยู่ รังไข่จะอวัยวะหลักที่จะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน ขณะที่เนื้อเยื่อไขมันก็สามารถสร้างได้อีกเล็กน้อย แต่หลังจากเข้าวัยทอง หมดประจำเดือนแล้ว (ซึ่งรังไข่จะหยุดการสร้างฮอร์โมนเอสโทรเจน) เอสโทรเจนส่วนใหญ่จะมาจากเนื้อเยื่อไขมันแทน ซึ่งพบว่าเนื้อเยื่อไขมันที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากวัยทองแล้วจะสร้างฮอร์โมนเอสโทรเจนมากขึ้นมาก และไปเพิ่มโอกาสที่จะเกิดมะเร็งเต้านม
: สตรีที่มีน้ำหนักตัวเกิน ยังมีแนวโน้มที่จะมีระดับของฮอร์โมนอินซูลินในเลือดสูง ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งเต้านมด้วย

: มีข้อสังเกตว่า ถ้าสตรีคนนั้นมีน้ำหนักสูงหลังจากเข้าวัยทองแล้ว ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าถ้ามีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วนมาตั้งแต่ก่อนหมดประจำเดิม ความเสี่ยงดังกล่าวกลับต่ำลง
: แต่นักวิจัยบางคนเสนอว่า การมีน้ำหนักตัวมาก ก่อนหรือหลังวัยทอง นั้นนำไปสู่ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมทั้งคู่ เพียงแต่ชนิดของมะเร็งเต้านมนั้นจะแตกต่างกัน
: สมาคมโรคมะเร็งสหรัฐอเมริกา แนะนำให้คุณดูแลน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่ดีต่อสุขภาพ ตลอดช่วงชีวิต และหลีกเลียงภาวะมีน้ำหนักตัวเกิน ด้วยการสร้างสมดุลย์ระหว่าง อาหารและเครื่องดื่มที่บริโภคเข้าไป กับการออกกำลังกาย

3. #ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย

: การทำกิจกรรม ออกกำลังร่างกาย เป็นประจำ มีหลายฐานยืนยันว่าช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในสตรีที่หมดประจำเดือนแล้ว
: บางงานวิจัยบอกว่า แค่ออกกำลังกายสัปดาห์ละไม่กี่ชั่วโมง ก็ช่วยได้แล้ว ขณะที่บางงานวิจัยบอกว่า ยิ่งมากก็ดูจะยิ่งดี
: การออกกำลังกายน่าจะช่วยในการควบคุมน้ำหนักตัว ลดการอักเสบของร่างกาย และปรับระดับฮอร์โมน
: สมาคมมะเร็งสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำให้ผู้ใหญ่แต่ละคนออกกำลังกายแบบหนักปานกลางให้ได้สัปดาห์ละ 150 ถึง 300 นาที และ/หรือ ระดับเข้มข้นที่สัปดาห์ละ 75 ถึง 150 นาที และถ้าให้ดีควรทำได้ระดับสูงถึง 300 นาทีต่อสัปดาห์

4. #ไม่มีบุตร

:สตรีที่ไม่ได้มีบุตร หรือมีบุตรคนแรกหลังจากอายุ 30 ปีแล้ว จะมีความเสี่ยงโดยรวมที่จะเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ถ้ามีบุตรหลายคนหรือตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุยังน้อย กลับลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้
: ผลของการตั้งครรภ์ต่อความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมนั้น ยังเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่น ความเสี่ยงมะเร็งเต้านมนี้จะสูงขึ้นในช่วง 10 ปีแรกหลังจากการมีบุตร แล้วความเสี่ยงจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

5. #ไม่ได้ให้นมบุตร

: งานวิจัยส่วนใหญ่ระบุว่า การให้นมบุตรนั้นลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมลงเล็กน้อย โดยเฉพาะถ้าสามารถให้นมบุตรได้นานถึง 1 ปีขึ้นไป

6. #คุมกำเนิด

: วิธีการคุมกำเนิด บางวิธีใช้พวกฮอร์โมน ซึ่งไปเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม
: งานวิจัยส่วนใหญ่พบว่า สตรีที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยกินเลย แต่ถ้าหยุดกินแล้ว ความเสี่ยงดังกล่าวนั้นเหมือนจะลดลงสู่ระดับปรกติภายในประมาณ 10 ปี
: บางงานวิจัยบอกว่า การฉีดยาคุมกำเนิด ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนแบบออกฤทธิ์นาน ทุก 3 เดือน อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมขึ้น (แต่ไม่ใช่ว่าทุกงานวิจัยจะบอกเช่นนี้)

7. #การใช้ฮอร์โมนรักษาอาการวัยทอง

: การรักษาอาการวัยทองหลังจากหมดประจำเดือน ด้วยฮอร์โมนเอสโทรเจน (ซึ่งมักจะร่วมกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนด้วย) พบว่าไปเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม และมักจะพบในช่วง 4 ปีหลังจากทำการรักษา จากนั้นความเสี่ยงจะลดลงเมื่อหยุดรักษาไปแล้ว 5 ปี

8. #การเสริมหน้าอก

: การเสริมหน้าอก ไม่ได้เชื่อมโยงสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็งเต้านม ชนิดทั่วไป
: แต่อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งชนิดอื่น ๆ เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งเกิดจากการที่เนื้อเยื่อรอบๆ บริเวณที่ผ่าตัดเสริมเต้านมนั้นเกิดเป็นแผลเป็นขึ้น กลายเป็นก้อน มีของเหลวไปคั่ง บวมจนปวด

--------

#ปัจจัยที่ยังไม่ชัดเจน ว่าเพิ่มหรือไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม

1. #อาหารและวิตามิน

: ในขณะที่การมีน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน และการไม่ออกกำลังกาย สัมพันธ์ชัดเจนกับความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม แต่สำหรับอาหารแล้ว งานวิจัยบางงานก็บอกว่า อาหารน่าจะมีบทบาทสำคัญ แต่บางงานก็บอกว่าไม่

: แม้ว่างานวิจัยบางงานจะบอกว่ามีความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ระหว่าง "อาหารไขมันสูง" กับความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากการเป็นมะเร็งเต้านม แต่จากการศึกษาสตรีในประเทศสหรัฐอเมริกา กลับไม่พบความเชื่อมโยงดังกล่าว

: แม้ว่าบางงานวิจัยจะบอกว่า มะเร็งเต้านมนั้นพบได้น้อยในประเทศที่มักบริโภคอาหารที่มีไขมันโดยรวมต่ำ (ทั้งไขมันอิ่มตัว และไขมันไม่อิ่มตัว) แต่นักวิจัยก็ไม่มั่นใจว่าจะอธิบายสิ่งที่พบนี้อย่างไรดี อาจเป็นไปได้ว่าอาหารที่มีไขมันสูง จะนำไปสู่การมีน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน แล้วนำไปสู่ความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมอีกทีนึง

: บางงานวิจัยเสนอว่า การกินอาหารที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ และผลิตภัณฑ์จากนมซึ่งมีแคลเซี่ยมสูง แต่มีเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปน้อย น่าจะลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม แต่ก็ยังต้องมีการศึกษาวิจัยต่อไป

: บางงานวิจัยที่ศึกษาสตรีในประเทศแถบเอเซีย พบว่าอาหารที่อุดมไปด้วยผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง น่าจะลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม แต่ความเชื่อมโยงนี้กลับไม่ค่อยชัดเจนเมื่อวิจัยในกลุ่มสตรีในประเทศตะวันตก

: งานวิจัยที่ศึกษาระดับของวิตามินในร่างกาย ก็ไม่ได้ให้ผลที่ชัดเจนสอดคล้องเช่นกัน จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าการบริโภควิตามิน (หรืออาหารเสริมอื่นๆ ) จะลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

2. #สารเคมีในสิ่งแวดล้อม

: มีสารเคมีหลายตัวในสิ่งแวดล้อม ที่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน และในทางทฤษฎีแล้ว น่าจะมีผลต่อความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ตัวอย่างเช่น สารเคมีบางตัวในพลาสติกบางชนิด ในเครื่องสำอางค์และผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคลบางตัว ยาฆ่าแมลง และสารพีซีบี (PCBs หรือ polychlorinated biphenyls)

: จนถึงตอนนี้ งานวิจัยก็ยังไม่ได้แสดงให้เห็นชัดเจน ถึงความเชื่อมโยงระหว่างความเสี่ยงมะเร็งเต้านมกับสารเคมีเหล่านี้ ยังต้องมีการศึกษาต่อไป

3. #การสูบบุหรี่และยาสูบ

: บางงานวิจัยพบว่า การสูบบุหรี่หนักเป็นเวลายาวนาน อาจจะเชื่อมโยงการความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยบางวิจัยเน้นว่า ความเสี่ยงนี้จะสูงสุดกับสตรีที่เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่ก่อนที่จะมีบุตรคนแรก

: รายงานของ US Surgeon General ในปี 2014 ได้สรุปไว้ว่า มันมีหลักฐาน "ที่ชี้นำได้ แต่ยังไม่พอเพียง" ว่าการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม

4. #การทำงานกะดึก

: สตรีที่ทำงานในเวลากลางคืน เช่น นางพยาบาลที่ทำงานกะดึก อาจมีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเมลาโตนินในร่างกาย แต่ยังต้องทำการศึกษาต่อไป

ข้อมูลจาก https://www.cancer.org/cancer/breas...style-related-breast-cancer-risk-factors.html และ https://www.cancer.org/cancer/breas...th-unclear-effects-on-breast-cancer-risk.html และ https://www.cancer.org/cancer/breas...controversial-breast-cancer-risk-factors.html

 

TWITTER Files : เปิดประเด็นความสัมพันธ์ของ Twitter – FBI – เพนตากอน!?

หลังการเปลี่ยนผ่านของ twitter มาสู่การดูแลของอีลอน มัสก์ ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และความปั่นป่วนจากเรื่องการกลั่นกรองเนื้อหานำมาสู่การเปิดเอกสารภายในของ Twitter หรือ #TwitterFiles

.....

#TwitterFiles1 - เปิดประเด็น

Matt Taibbi หนึ่งในผู้ที่ได้เปิดเผยเรื่อง #TwitterFiles ระบุว่า ที่ผ่านมา Twitter เปิดให้แบ่งปันข้อมูลโดยอิสระ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มี Spam, Scam จำนวนมาก ทำให้ต้องมี "เครื่องมือ" จัดการปัญหาเหล่านั้น แต่ต่อมา "มีคำร้องขอ" จากภายนอกมากขึ้น

#TwitterFiles2 - บัญชีดำ
Bari Weiss ระบุว่า Twitter มี บัญชีดำลึกลับ ( Blacklists) ซึ่งได้รับคำยืนยันจากอดีตวิศวกรและพนง. ของ Twitter ว่า “เราควบคุมการมองเห็นได้บางส่วน และเพิ่มการมองเห็นในบางส่วน โดยผู้ใช้ทั่วไปไม่รู้” และใครที่อยู่ในบัญชีดำลึกลับ “จะถูกลดการมองเห็น”

บัญชีดำจะมีแบ่งระดับต่าง ๆ เช่น Trends Blacklist, Search Blacklist, Do Not Amplify โดย “Visibility Filtering” หรือ “VF.” อยู่ภายใต้การดูแลของทีมที่ชื่อว่า Strategic Response Team – Global Escalation Team, หรือ SRT-GET

.....

#TwitterFiles3 - การปิดบัญชีของทรัมป์

ได้มีการอ้างถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน Twitter ในช่วงการเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ และความโกลาหลในสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นหลังทรัมป์ แพ้การเลือกตั้ง ทำให้มีหน่วยงานอย่าง FBI, ก.ความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS), สำนักข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ เข้ามามากขึ้น

.....

#TwitterFiles4 - ปิดบัญชีทรัมป์

จากความวุ่นวายหลังเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ Twitter เผชิญแรงกดดันอย่างมากจากทั้งจาก
- ภายใน พนง. จำนวนมากเรียกร้องให้ปิดบัญชีทรัมป์
- ภายนอก จากหน่วยงาน, กระแสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
มีการพิจารณานำบัญชีของทรัมป์, การเพิ่มคำบางคำลงใน "Blacklist"

.....

#TwitterFiles5 - ระงับบัญชีทรัมป์
หลังมีเหตุการณ์บุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ กลายเป็นแรงกระเพื่อมอย่างมาก ภายใน Twitter ด้วยที่มีการเรียกร้องให้ปิดบัญชี ทรัมป์

พนง.บางรายไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการ ปิดบัญชีทรัมป์ โดยระบุว่า “อาจจะเป็นเพราะฉันมาจากจีน, ฉันเข้าใจอย่างมากว่า การเซ็นเซอร์มันสามารถทำลายการพูดคุยในพท.สาธารณะ”

มีการถกเถียงอย่างมากในการดำเนินการกับบัญชีของทรัมป์ จนต้องมีการเรียกประชุมภายใน Twitter นาน 30 นาที แต่ความคุกรุ่นยังไม่จางหาย สุดท้าย บัญชีทรัมป์ ก็ถูกประกาศ "ปิดอย่างถาวร"

(ก่อนที่อีลอน มัสก์จะกลับมาเปิดอีกครั้งไม่นานมานี้)

.....

#TwitterFiles6 - กลายเป็นสาขาย่อยของ FBI

Matt Taibbi ระบุว่า ช่วง ม.ค. 2020 - พ.ย. 2022 มีการติดต่อกันระหว่าง FBI และ Yoel Roth อดีตหัวหน้าฝ่ายฯ ของ Twitter มากขึ้น มีคำร้องของที่มากขึ้น เพื่อดำเนินการต่าง ๆ แม้ว่า จะเป็นข้อความตลก ๆ จากบัญชีผู้ติดตามน้อยๆ ก็ตาม

ซึ่งล่าสุด FBI ได้ปฏิเสธ โดยระบุว่า เป็นเพียงการข้อข้อมูลบุคคลอันตรายตามปรกติ และข่าวนี้เป็นเพียง "ทฤษฎีสมคบคิด" เท่านั้น

.....

#TwitterFiles7 - ข้อมูลจากคอมฯ ของฮันเตอร์ ไบเดน

ปลายปี 2020 มีประเด็นข้อมูลจากแล็ปท็อปของ ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายปธน. สหรัฐฯ หลังนำคอมฯ ไปซ่อมและไม่ได้มารับ จนกระทั่งถูกส่งต่อไปยัง The New York Post นำสู่การเปิดประเด็นข้อมูลเช่น คลิปลับ, อีเมล์เจรจากับ บ.พลังงานในยูเครน

ก่อนการเปิดเผยข้อมูล มีจนท. FBI ติดต่อไปยัง Twitter เกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง รวมถึงการฝึกอบรมร่วมกัน ในปฏิบัติการ "Hack-and-dump" เมื่อ ก.ย. 2020 และเมื่อ The New York Post เปิดข้อมูล ทางด้านของฮันเตอร์ ไบเดนก็ระบุว่า รัสเซียอยู่เบื้องหลังในการแฮคและเผยข้อมูล

ซึ่งบัญชี Twitter ของ สนข. ก็ถูก Censor ส่วนลิ้งข่าวดังกล่าวถูกแจ้งเตือนว่า "ละเมิดกฎระเบียบชุมชน" โดยระบุว่า เป็นการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกแฮค

.....

#TwitterFiles8 - ขอ Whitelists ในตะวันออกกลาง

Lee Fang ได้อ้างถึงความร่วมมือระหว่าง Twitter และ กองบัญชาการภาคพื้นตะวันออกกลางของสหรัฐฯ หรือ CENTCOM ในการสร้างบัญชี Whitelist รวมถึงขอรับเครื่องหมายถูกสีน้ำเงิน ด้วย เพื่อใช้ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในตะวันออกกลาง

ซึ่งการตรวจสอบของ Lee Fang พบว่า มีการเผยแพร่ข้อมุลต่อต้านอิหร่าน, สนับสนุนสงครามในเยเมนต ฯลฯ รวมถึงการสร้างบัญชีปลอม ที่ทาง Standford ได้คนพบก่อนหน้านี้ด้วย โดยความร่วมมือดังกล่าวคาดว่า เกิดขึ้นตั้งแต่ ปี 2017 ถึงปลายปี 2020

---
รายละเอียด, เอกสาร, ลิ้งข้อมูลเพิ่มเติม ดูได้ที่ -
https://mono29.com/news/412270.html

#MonoNews #twitterfiles