ก่อนหน้านี้เราได้แตะคำถามเพื่อพิจารณาสำหรับผู้ที่ต้องการออกจากงานของพวกเขา แต่สำหรับคนที่อยู่อีกด้านของเหรียญ เช่นที่ปรึกษาด้านการสรรหาและผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล เราต้องการเจาะลึกถึงเหตุผลที่แท้จริง ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา ที่ผู้คนตัดสินใจออกจากงานของพวกเขา ที่จะเลิกเพื่อกล่าวคำอำลาและมุ่งหน้าไปยังทุ่งหญ้าสีเขียว ดังนั้นในขณะที่เรารับจดหมายลาออกและหารือถึงเจตจำนงที่จะลาออกจากงานกับพนักงาน เหตุผลที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังว่าทำไมผู้คนถึงลาออกจากงาน?
ฉันควรลาออกไหม?
ในฐานะตัวแทนจัดหางานเราจัดการกับคำถามนี้เป็นประจำทุกวัน เมื่อเรามีส่วนร่วมในการสนทนากับพนักงานเกี่ยวกับการลาออกจากงานของพวกเขา พวกเขามีความคิดมากกว่าการย้ายครั้งหนึ่ง พวกเขามีมากกว่าไตร่ตรองการตัดสินใจและในที่สุดก็มีการก้าวกระโดดที่พวกเขาอยาก ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเองก็ตามจงรีบออกไปจากที่นี่!
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามมันเป็นหน้าที่ของเราในฐานะนายหน้าและผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลเพื่อทำความเข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังที่พนักงานมองหาการลาออกจากงานของพวกเขา เราพบสาเหตุ 4 ประการที่ทำให้เกิดการเลิกจ้างอย่างต่อเนื่อง
เหตุผล 4 อันดับแรกที่คนลาออกจากงานของพวกเขา
1. การขาดเส้นทางอาชีพ และ ความก้าวหน้า
การศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ดำเนินการในประเทศไทยระบุว่า 31% ของพนักงานคนไทย 1,000 คน สำรวจการลาออกภายใน 6 เดือนแรกของงานใหม่ เหตุผลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการขาดความชัดเจนกับบทบาทและปัญหากับเจ้านาย เมื่อพัฒนารายละเอียดของงานและสัมภาษณ์ผู้สมัครเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องแน่ใจว่าบทบาทนั้นชัดเจน หากผู้สมัครมีโอกาสสร้างบทบาทและปรับให้เข้ากับจุดแข็งของพวกเขาให้พวกเขาทราบก่อนที่จะเริ่ม ในฐานะพนักงานใหม่ไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าการเข้าสู่องค์กรและไม่รู้ว่าคุณเหมาะสมกับตำแหน่งหรือบทบาทและความรับผิดชอบที่คุณต้องดำเนินการ มันสร้างความไม่สบายใจ ความกลัวและความไม่สมดุล เมื่อไม่สมดุลผู้คนมักจะกระโดดหนี
2. พลาดกับเจ้านาย
ไม่ว่าคุณจะพูดกับพนักงานที่มีรายได้สูงที่สุดในบริษัท หรือการรับสมัครคนใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับค่าจ้างพื้นฐานหากพวกเขาปะทะกับเจ้านายนั่นเป็นปัญหาพื้นฐาน โดยเฉลี่ยเราใช้เวลาทำงาน 1881 ชั่วโมงต่อปี ดังนั้นเราจึงต้องสนุกกับบริษัทที่เราทำงานด้วย หากคุณพบว่าพนักงานปะทะกับผู้บังคับบัญชาอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ในการทำงานจะไม่คงอยู่ตลอดไป
3. ขาดความยืดหยุ่น
เราเห็นพนักงานจำนวนมากทิ้งงานประจำ 9.00 น.-18.00 น. ของพวกเขา เก็บกระเป๋าของพวกเขาและเริ่มต้นอาชีพใหม่ซึ่งเป็นอาชีพอิสระ ในขณะที่พวกเขาเดินทางไปทั่วโลก มันอาจจะไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่มันก็กลายเป็นบรรทัดฐานมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในหมู่ Millennials พนักงานมีการคัดเลือกในการจ้างงานมากขึ้น หากงานไม่เหมาะสม พวกเขาจะไม่ถูกบังคับให้ตอบตกลง พวกเขายินดีที่จะรอจนกว่าตำแหน่งในอุดมคติจะมาถึงและพร้อมที่จะทำงาน หากไม่เป็นเช่นนั้นพวกเขาเพียงสร้างอาชีพของตัวเอง บริษัท ที่เสนอการเตรียมการทำงานที่ยืดหยุ่นและให้การสนับสนุนพนักงานที่ทำงานจากระยะไกล รายงานการหมุนเวียนพนักงานต่ำกว่า 25% เมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่ยืดหยุ่น และคุณรู้ว่าทำไม เพราะผู้คนชื่นชมว่านายจ้างเข้าใจว่าชีวิตการทำงานของพวกเขาจำเป็นต้องสอดคล้องกับชีวิตส่วนตัวของพวกเขา สภาพการทำงานทางไกลนั้นให้ความไว้วางใจและการลองผิดลองถูก แต่ก็มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ยอมรับ
4. ค่าตอบแทนและแรงจูงใจ
น้อยมากที่เราทุกคนจะทำงานให้ฟรี ๆ ถึงแม้จะเป็นงานที่เรารัก มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อพนักงานรู้สึกว่าได้รับค่าจ้างต่ำไป สำหรับงานที่พวกเขาทำ มันจะนำไปสู่ความรู้สึกไม่พอใจและการทำลายล้าง ดูเงินเดือนของพนักงาน - ว่าค่าตอบแทนของพวกเขาสอดคล้องกับระดับหรืองานที่พวกเขาทำและความรับผิดชอบที่พวกเขามีหรือไม่? พวกเขาทำงานเกินความสามารถและรายละเอียดงานหรือไม่? มีที่ว่างสำหรับเลื่อนระดับเงินเดือนหรือไม่? วัฒนธรรมการทำงานในเชิงบวกที่มีผลต่อระดับความพึงพอใจในการทำงาน ถ้ามีระดับรายได้ที่เหมาะสม
ในการตรวจสอบ เราสามารถใส่ลงไปเช่นนี้
ความก้าวหน้าในอาชีพ เจ้านายดี มีความยืดหยุ่น ค่าตอบแทนที่เพียงพอ = เหตุผลที่ดีที่จะอยู่
ถึงเวลาที่คุณจะย้ายงานหรือยัง? ติดต่อเราได้ที่
เราคงปฎิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้การสัมภาษณ์งานสำหรับบางบริษัท แค่ภาษาไทยอย่างเดียวอาจจะไม่พอ! ยิ่งถ้าบริษัทที่คุณสนใจเข้าสมัครงานต้องทำงานร่วมกับชาวต่างชาติด้วยแล้ว หลายที่จึงเลือกที่จะเสริมพาร์ทการสัมภาษณ์แบบภาษาอังกฤษเข้ามา นอกเหนือจากการขอดูคะแนนการสอบด้านภาษาต่างๆ
หลายคนอาจจะเกร็งไม่น้อย เมื่อต้องถูกถามเป็นภาษาอังกฤษแบบนี้ แต่อย่างห่วงไป เพราะวันนี้เรา วอลล์สตรีทอิงลิช จะมาไกด์เล็กๆ น้อยๆ ให้คุณกัน
I have……. ability to be an asset to your company.
(ผม / ดิฉัน มีคุณสมบัติ……ที่จะสร้างคุณค่าให้กับบริษัทของคุณ ครับ / ค่ะ)
สำหรับประโยคนี้ เหมาะกับสำหรับคำถามประเภท “Why should we hire you?” (ทำไมเราต้องจ้างคุณ) หรือ “What makes you the best fit for this position?” (อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณเหมาะกับตำแหน่งนี้)
โดยส่วนมาก คำถามแนวนี้ทางบริษัทจะต้องการให้คุณได้พรีเซ็นต์ผลงาน และตัวคุณนั่นเอง วิธีที่คุณจะตอบคำถามนั้นได้ดีที่สุด คือการทำความเข้าใจรายละเอียดของตำแหน่งที่คุณสมัคร ก่อนที่จะนำเสนอเอกลักษณ์หรือจุดเด่นในตัวคุณที่ทำให้คุณเหนือกว่าผู้สมัครคนอื่น และสามารถช่วยบริษัทได้อย่างไรบ้าง
I am very outgoing and have the people skills needed to get customers interested.
(ผม / ดิฉัน เป็นคนเข้าสังคมง่าย และมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่จำเป็นในการทำให้ลูกค้าสนใจ)
ประโยคคำตอบแบบนี้ เหมาะสำหรับคำถามจากทางบริษัทที่ถามถึงตัวตน หรือคุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้สมัครนั่นเอง อย่างคำถาม “Tell me about yourself.” (ไหนลองพูดเกี่ยวกับตัวคุณให้ฟังซิ) หรือ “What would you say about your personality?” (คุณมีลักษณะนิสัยอย่างไร)
เคล็ดลับหลักๆ เราอยากให้คุณพูดถึงลักษณะนิสัย บุคลิกภาพที่ดีของตัวคุณให้ตัวเองดูดีที่สุด และควรเล่าอย่างมีชั้นเชิง เช่นประโยคข้างต้นที่เราได้ยกตัวอย่างไป
ตัวอย่างประโยคอื่นๆ : I’d say I’m hardworking and honest. (ผม ดิฉัน เป็นคนขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ ครับ / ค่ะ )
I had a bit of trouble with my English classes, but I am trying to improve.
(ผม / ดิฉัน มีปัญหาเล็กน้อยในวิชาภาษาอังกฤษ แต่ ผม / ดิฉัน ก็กำลังพยายามพัฒนาอยู่)
เชื่อว่าคงไม่มีบริษัทไหนถามแต่เรื่องดีๆ ของคุณแน่ และถ้าเกิดทางบริษัทถามถึงจุดด้อย หรือข้อเสียของคุณ อย่างคำถาม “What is your greatest weakness?” (อะไรคือข้อด้อยที่ใหญ่ที่สุดของคุณ)เข้าล่ะ ?
แน่นอนว่าคนเราไม่ควรจะโอ้อวดทักษะที่เกินตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณมองว่าภาษาอังกฤษที่ตนใช้นั่นอยู่ในระดับที่พอสื่อสารได้ แต่ไม่ได้ดีเด่นมาก คำตอบที่เซฟที่สุด ถ่อมตน และแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ได้นิ่งนอนใจกับการศึกษาภาษาเพิ่มเติมนั่นเอง
I want to further my career. I am looking for bigger challenges and new experiences.
(ผม / ดิฉัน ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพ ผม / ดิฉัน จึงมองหาความท้าทายและประสบการณ์ใหม่ๆ)
ไม่มีใครที่ไม่ถามคำถาม “Why are you leaving or have left your job?” (ทำไมคุณถึงลาออกหรือกำลังจะลาออกจากงานเก่า) แน่นอนว่าคงไม่มีใครที่นึกพิเรนท์ ตอบคำถามนี้แย่ๆ ด้วยการเผาที่ทำงานเก่า หรือเจ้านายเก่าอย่างแน่นอน โดยประโยคสุดคลาสสิค และดูกลางที่สุดก็คงหนีไม่พ้นประโยคขช้างต้นนี่นี่แหละ
เพราะนอกจากจะเป็นคำตอบแบบกลางๆ แล้ว ยังเป็นคำตอบที่สื่อให้ทางบริษัทเห็นว่าคุณมีความกระตือรือร้นที่อยากจะพัฒนาต่อไป ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดี และบริษัทไหนๆ ก็อยากจะได้
ตัวอย่างประโยคอื่น : “I recently received my degree, and I want to utilize my educational background in my next position.” ( ผม / ดิฉัน เพิ่งได้รับปริญญามา และ ผม / ดิฉัน ต้องการใช้ความสามารถจากพื้นฐานการศึกษาที่ผมมีกับงานใหม่นี้ ครับ / ค่ะ)
คำตอบนี่จะเหมาะกับเหล่าเด็กจบใหม่ ที่เพิ่งเริ่มต้นสมัครงาน ไม่เคยเริ่มงานกับที่ไหนมาก่อน
My salary requirements are flexible, but I do have significant experience in the field that I believe adds value to my candidacy.”
(สามารถเจรจาได้ ครับ / ค่ะ แต่ ผม /ดิฉัน มีประสบการณ์ในสายงานนี้มาอย่างดี ผมเชื่อว่าตรงนี้สามารถนำมาคิดเป็นเงินเดือนของ ผม / ดิฉัน ได้)
จะบอกว่าประโยคนี้ นับว่าเป็นประโยคกึ่งๆ ปิดท้ายการสัมภาษณ์งานก็ไม่ผิดนัก เพราะเป็นประโยคตอบคำถามสำหรับ คำถามประเภท “What are your salary expectations?”(คุณคาดหวังเงินเดือนเท่าไหร่) ซึ่งมักจะเป็นคำถามปิดท้ายของการสัมภาษณ์งาน บางบริษัทใช้คำถามนี้เป็นอีกหนึ่งคำถามสำคัญที่ใช้ในประเมินการรับคนเข้างานเป็นหลักเลยก็มี
สำหรับใครที่มั่นใจ และมีเงินเดือนในใจที่แน่ชัด ก็สามารถบอกทางบริษัท หรือผู้ที่สัมภาษณ์คุณได้เลย แต่ถ้าใครที่ยังไม่มั่นใจนัก หรือผู้สัมภาษณ์พยายามต่อรองเงินเดือนของคุณอยู่ ก็สามารถตอบประโยคนี้กลับไปได้เช่นกัน
นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างประโยคคำตอบเท่านั้น เพราะของจริงคุณอาจจะต้องเผชิญกับคำถามมากมาย และหลากหลายมากกว่านี้ก็ได้! แต่ไม่ต้องห่วงไป เพราะถ้าเราเตรียมตัว เตรียมพร้อมให้ดี หมั่นเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มเติมจะช่วยให้การสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับคุณแน่นอน แถมยังช่วยสร้างความประทับใจให้ผู้สัมภาษณ์ได้ด้วยนะ!
Post Views: 14,156