เนื่องด้วย บริษัทเครดิต ฟองซิเอร์ เอสเบ จำกัด จะย้ายสถานที่ทำการสำนักงานใหญ่ของบริษัท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทที่จะเติบโตมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า คู่ค้าในการเข้ามาติดต่อบริษัทมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทจะย้ายสำนักงานใหญ่ของบริษัทจากเดิม อยู่ที่ เลขที่ 249 อาคารเดอะเอสซีเพลส (ส่วนอาคารโค้ง) ถนนรัชดาภิเษก แขวงรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400 เป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่อยู่ที่ เลขที่ 900 ถนนนวมินทร์ (ระหว่าง ถนนนวมินทร์ 52-54) แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม 10240 ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงที่อยู่สำนักงานใหญ่ของบริษัทดังกล่าว จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป Show ถ้าพูดถึงการฝากเงินแล้ว หลายคนคงนึกถึงการนำเงินสดไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ ทั้งในรูปแบบของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ และบัญชีเงินฝากประจำใช่ไหมล่ะคะ แต่นอกจากธนาคารพาณิชย์ที่เราใช้บริการกันอยู่บ่อยๆ แล้ว รู้หรือไม่คะ? ว่ายังมีสถาบันการเงินอีก 2 ประเภท คือ "บริษัทเงินทุน" และ "บริษัทเครดิตฟองซิเอร์" ที่ให้บริการรับฝากเงินของเราด้วยเช่นกัน หลายคนคงมีคำถามอยู่ในใจว่า "ธนาคารพาณิชย์, บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ต่างกันอย่างไร?" ต้องบอกก่อนค่ะว่า ทั้งธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เป็นสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยเหมือนกัน แต่จะมีข้อแตกต่างกันตรงขอบเขตธุรกิจที่กฎหมายอนุญาตไว้ เรามาดูพร้อมๆ กันเลยค่ะว่า...แท้จริงแล้ว สถาบันการเงินแต่ละประเภทคืออะไร และมีขอบเขตการทำธุรกิจอย่างไรบ้าง ธนาคารพาณิชย์
บริษัทเงินทุน
บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
ปัจจุบันมีบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ที่เปิดให้บริการ ได้แก่ จะเห็นได้ว่าสถาบันการเงินทั้ง 3 ประเภท สามารถให้บริการรับฝากเงินจากประชาชนอย่างเราๆ ได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย สำหรับใครที่สนใจแต่ยังไม่เคยนำเงินไปฝากไว้กับบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ... มาดูกันค่ะว่ามีข้อควรรู้อะไรบ้าง 6 ข้อควรรู้ ก่อนฝากเงินกับ "บริษัทเงินทุน" และ "บริษัทเครดิตฟองซิเอร์" 1. ตราสารการฝากเงินไม่เหมือนธนาคารการรับฝากเงินของบริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (รวมถึงบางประเภทการฝากของธนาคารพาณิชย์) จะให้บริการในรูปแบบของ "บัตรเงินฝาก หรือ "ใบรับฝากเงิน" ไม่ได้เป็น "สมุดเงินฝาก" เหมือนของธนาคาร หากใครไปฝากแล้วได้บัตรหรือกระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมมาแทนสมุดบัญชีก็ไม่ต้องตกใจไปนะคะ เพราะบัตรเงินฝาก หรือใบรับฝากเงินนี้จะระบุรายละเอียด ชื่อและที่อยู่ของสถาบันการเงิน ชื่อผู้ฝาก วันที่ฝาก วันครบกำหนดการฝาก และจำนวนเงินพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานการฝากได้ค่ะ ภาพตัวอย่างใบรับฝากเงิน 2. เงื่อนไขการฝากเงิน : ส่วนใหญ่มีแค่ฝากประจำนอกจากจะได้รับ "บัตรเงินฝาก" หรือ "ใบรับฝากเงิน" แทนสมุดบัญชีแล้ว บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์อาจกำหนดเงื่อนไขการฝาก เช่น วงเงินฝากขั้นต่ำ ระยะเวลาการฝาก หรืออาจกำหนดว่าห้ามถอนก่อนกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะคล้ายกับการฝากในบัญชีเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย เพียงแต่โปรโมชั่นการฝากอาจมีให้เลือกไม่มากนัก และเงื่อนไขการฝากส่วนใหญ่จะเป็นแบบเงินฝากประจำเท่านั้น สำหรับการจ่ายดอกเบี้ยของบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ จะคล้ายกับการจ่ายดอกเบี้ยบัญชีเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ คือ มีทั้งแบบที่จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน และแบบที่จ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด ก็แล้วแต่ว่าบริษัทนั้นๆ จะกำหนดเงื่อนไขไว้อย่างไร และเราก็จะยังคงถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับจากบริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เช่นเดียวกับการรับดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์นะคะ ตัวอย่างอัตราดอกเบี้ย ใบรับฝากเงินแบบมีกำหนดระยะเวลา (ระยะเวลาฝาก 12 เดือน)1.85%ธนาคารกรุงเทพ บัญชีเงินฝากประจำทั่วไป (ระยะเวลาฝาก 12 เดือน)1.50%ธนาคารทิสโก้ บัญชีเงินฝากประจำทั่วไป (ระยะเวลาฝาก 12 เดือน)1.50% คุ้นๆ กับชื่อของ "สถาบันคุ้มครองเงินฝาก" กันไหมคะ? สถาบันฯ นี้เป็นองค์กรของรัฐที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองเงินฝากแก่ผู้ฝากเงินอย่างเราๆ ซึ่งนอกจากธนาคารพาณิชย์แล้ว เงินฝากที่เราฝากไว้กับ "บริษัทเงินทุน" และ "บริษัทเครดิตฟองซิเอร์" ก็ได้รับความคุ้มครองด้วยเช่นกัน โดยจากเดิมจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองจนถึงวันที่ 10 ส.ค. 59 จะอยู่ที่ไม่เกิน 25 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 59 เป็นต้นไปจะอยู่ที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท (วงเงินฝากที่เกินจากความคุ้มครองจะได้รับคืนเพิ่มเติมจากการชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ปิดกิจการ) ปรับปรุงใหม่เป็น ดังนี้ค่ะ
5. ความมั่นคงของสถาบันการเงินหลายคนคงยังมีคำถามถึงความเชื่อมั่นในการฝากเงินไว้กับบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ซึ่งเราสามารถพิจารณาความมั่นคงของสถาบันการเงินได้จากปัจจัยต่างๆ เช่น ฐานะเงินกองทุน ความสามารถในการทำกำไร คุณภาพสินเชื่อ สภาพคล่อง และอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งสามารถดูได้จากข้อมูลแสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่แต่ละสถาบันการเงินจัดทำและเปิดเผยให้ผู้ฝากเงินและประชาชนรับทราบตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด แน่นอนว่าธนาคารพาณิชย์ย่อมมีข้อได้เปรียบกว่าบริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เนื่องจากธุรกิจของธนาคารพาณิชย์มีขนาดใหญ่และมีขอบเขตการทำธุรกิจได้หลากหลายกว่า แต่ก็ใช่ว่าสถาบันการเงินอีก 2 ประเภทนี้จะสูญเสียความมั่นคงไปนะคะ เพราะอย่างไรแล้วการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินทุกประเภทก็จะต้องมีกฎหมายรองรับ และต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเข้มงวดเช่นกันค่ะ 6. การเข้าถึงบริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ในปัจจุบันบริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์มีจำนวนไม่มาก และบริษัทเหล่านี้ก็ไม่มีสาขาเหมือนอย่างธนาคารพาณิชย์ หากใครต้องการติดต่อทำธุรกรรมก็ต้องไปที่สำนักงานซึ่งบริษัทแต่ละแห่งตั้งอยู่ ส่วนใหญ่จะอยู่ตามย่านธุรกิจใน กทม. นี่ล่ะค่ะ การฝากเงินกับบริษัทเหล่านี้จึงอาจไม่สะดวกเท่ากับธนาคาร เพราะธนาคารมีจำนวนและสาขามากกว่า แถมยังเข้าถึงได้ง่ายทั้งตามแหล่งชุมชน และห้างสรรพสินค้าต่างๆ นั่นเอง รู้จักกับบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์มากขึ้นแล้วใช่ไหมคะ เอาเป็นว่าถ้าใครสะดวกและกำลังมองหาที่สำหรับนำเงินไปฝากประจำแล้วล่ะก็... ลองพิจารณาบริษัทเงินทุนหรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ไว้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งก็น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ (ขอกระซิบนิดนะคะว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่งนี้ดีไม่แพ้ธนาคารพาณิชย์เลยทีเดียว) |