ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย ได้แก่

ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา

มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี

การฆ่า (kill) หมายถึง การทำให้ตาย โดยไม่จำกัดวิธี เพียงแต่ต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล การฆ่ากับผลของการฆ่าต้องสัมพันธ์กันตามหลักในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล (causation) โดยพิจารณาจากทฤษฎีกฎหมายดังต่อไปนี้

1. ทฤษฎีผลโดยตรงหรือทฤษฎีเงื่อนไข

2. ทฤษฎีมูลเหตุที่เหมาะสม

แดงเอาปืนยิงดำ โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกบริเวณไหล่ของนายดำ ทำให้นายดำไม่ตายทันที แต่เนื่องจากนายดำเสียเลือดมากจึงเกิดภาวะช็อกและตายขณะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เราจะต้องพิจารณาว่าแดงทำให้ตายหรือไม่ หรือในกรณีที่แดงเอาปืนยิงดำโดยมีเจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน แต่กระสุนปืนไม่ถูกดำ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายดำเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนหน้าแล้ว เมื่อได้ยินเสียงปืนก็เกิดตกใจหัวใจวายตาย แดงต้องรับผิดในผลแห่งความหรือไม่

แดงเอาปืนยิงดำโดยมีเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนถูกบริเวณไหล่ นายดำไม่ตายทันที นายดำรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล หลังจากนั้นอีกสามเดือนนายดำไม่ยอมล้างแผลทำให้เกิดติดเชื้อถึงแก่ความตาย หรือในกรณีที่นายแดงเอาปืนยิงดำโดยมีเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกนายดำเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส นายดำเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แพทย์และพยาบาลที่ทำการรักษานายดำโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้นายดำถึงแก่ความตาย ทั้งสองกรณีนายแดงต้องรับผิดในผลแห่งความตายของดำหรือไม่ และหากปรากฏว่านายแดงเอาปืนยิงดำ ด้วยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกนายดำเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส นายดำเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล บังเอิญโรงพยาบาลไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้โรงพยาบาลเป็นเหตุให้นายดำถูกไฟครอกตาย แดงยังต้องรับผิดในผลแห่งความตายหรือไม่

คำถามเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลทั้งสิ้น หากความตายของนายดำเกิดขึ้นเพราะการกระทำของนายแดง นายแดงย่อมต้องรับผิดในผลแห่งความตาย แต่หากไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนายแดง นายแดงก็ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งการตายด้วย

การทำให้ตายสามารถเกิดขึ้นได้หลายวิธี ทั้งวิธีการที่รุนแรงมีการใช้อาวุธ ยาพิษ เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ สุดแล้วแต่ผู้กระทำจะสรรหา อย่างที่ปรากฏตามข่าว แม้กระทั้งการฆ่าคนด้วยวาจาก็สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น หลอกคนเดินไปตกหลุม หรือทราบว่ามือปืนกำลังจะมาตามฆ่าคนอยู่ ก็หลอกคนที่ถูกตามฆ่าไปหามือปืน ให้มือปืนยิงตาย

ผู้อื่น (other person) หมายถึง บุคคลที่ไม่ใช่ผู้กระทำผิดเอง ดังนั้นการฆ่าตนเอง หรือพยายามฆ่าตนเองจึงไม่มีความผิด เพราะไม่อาจครบองค์ประกอบความผิดภายนอกได้ อีกทั้งผู้อื่นหมายถึงบุคคลที่ยังมีสภาพบุคคลไม่ใช่ทารกในครรภ์ที่ยังไม่คลอดหรือศพที่ไม่มีชีวิตแล้ว

กรณีแรกเป็นการฆ่าตัวตาย ดังนั้นการฆ่าตัวตายไม่มีความผิดนายดำเอาเชือกให้ก็ไม่ใช่ผู้สนับสนุน ส่วนกรณีที่สองเป็นการฆ่าผู้อื่นไม่ใช่การฆ่าตัวตาย ดำย่อมมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา

ผู้อื่น ต้องมีสภาพบุคคลขณะถูกฆ่าด้วย การเริ่มสภาพบุคคล พิจารณาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา15 วรรค 1 “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย” ซึ่งการคลอด หมายถึง การทำให้ทารกในครรภ์เป็นอิสระหลุดพ้นจากครรภ์มารดาทั้งหมดแม้ไม่ตัดสายรก

แต่หากมีการทำลายชีวิตที่อยู่ในครรภ์แต่ยังไม่คลอด จะถือว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นหรือไม่ เช่น การฆ่าทารกที่อยู่ในครรภ์ หรือการฆ่าทารกที่กำลังคลอด แม้ทารกในครรภ์หรือกำลังคลอดจะมีชีวิตแต่ตามสายตาของกฎหมายแล้วยังไม่มีสภาพบุคคล การฆ่าทารกในครรภ์หรือกำลังคลอดจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา มาตรา 288 ผู้กระทำมีแต่ความผิดฐานทำให้แท้งลูกเท่านั้น เนื่องจากความผิดฐานทำให้แท้งลูกกฎหมายคุ้มครองชีวิตในครรภ์มารดา

การอยู่รอด คือ การมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง ภายหลังจากคลอดออกมาแล้วแม้เพียงไม่นานก็ตาม ถ้าคลอดก่อนกำหนด เช่น ครรภ์เป็นพิษเป็นเหตุให้คลอดก่อนกำหนด ซึ่งขณะคลอดอายุครรภ์เพียง 5 เดือน แล้วทารกที่คลอดออกมานั้นหายใจอยู่ได้เพียงหนึ่งนาทีก็ตาย ก็ไม่ถือว่ามีสภาพบุคคลเพราะการคลอดก่อนกำหนดมาก ๆ ในทางการแพทย์เด็กคนนั้นไม่อาจจะอยู่รอดได้ ไม่ถือว่าคลอดออกมาอย่างมีชีวิต

คำถามนายแดงเป็นสามีของนางขาว แต่นายแดงไปเป็นทหารอยู่ภาคใต้นาน ๆ จึงกลับบ้านที นางขาวด้วยความเหงาจึงแอบเป็นชู้กับนายดำ นางขาวเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา นายแดงกลับมาเห็นนางขาวท้องจึงโกรธแค้น ก่อนนางขาวคลอด นายแดงเอายาพิษให้นางขาวกินโดยหวังให้ชีวิตที่อยู่ในครรภ์ของนางขาวตาย เมื่อคลอดออกมา ปรากฏว่านางขาวคลอดทารกออกมา มีชีวิตอยู่ได้เพียง 1 ช.มาตรา ก็ถึงแก่ความตาย นายแดงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่

ปัญหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยการตาย

สภาพบุคคลสิ้นไปเมื่อตาย แต่เราจะใช้หลักเกณฑ์ใดในการพิจารณาว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตายแล้ว แต่เดิมนั้นเราอาศัยการเต้นของหัวใจหรือการเต้นของชีพจร หากหัวใจยังเต้นอยู่หรือชีพจรยังเดินอยู่ถือว่ายังไม่ถึงแก่ความตาย แต่ว่าในปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำให้สามารถกู้ชีพ (resuscitation) ผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นไปแล้วให้กลับมาเต้นอีกได้ แม้แต่การปลูกถ่ายอวัยวะ (organ transplantation) ที่ต้องอาศัยการเต้นของหัวใจเพื่อให้อวัยวะที่ของผู้ตายมีเลือดไปเลี้ยงอยู่ ทั้ง ๆ ที่ผู้นั้นถึงแก่ความตายไปแล้ว ก็ยังสามารถทำได้

ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีความเห็นว่า การพิจารณาว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตายแล้วหรือไม่ พิจารณาว่าสมองตาย (brain death) หรือยัง หากบุคคลนั้นสมองตายแล้ว แม้จะยังหายใจอยู่ด้วยเครื่องช่วยหายใจก็ถือว่าถึงแก่ความตายไปแล้ว เช่น เมื่อแพทย์ตรวจจะใช้ไฟฉายส่องบริเวณตาของผู้ป่วย หากม่านตาไม่มีการตอบสนองถือว่าสมองตายแล้ว

ในบางกรณีสมองได้รับการกระทบกระเทือนและได้รับสมองได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเกิดจากอุบัติเหตุ เช่น รถชนกัน เมื่อสมองได้รับการกระทบกระเทือน ร่างกายไม่อาจตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้ ต้องตกอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ หรือที่เราเรียกกันว่า เจ้าชายนิทรา ซึ่งในทางการแพทย์เรียกภาวะเช่นนี้ว่า สภาพผัก (Vegetative state)

การที่ผู้ป่วยต้องอยู่ในสภาพผักนั้น แม้เขาจะไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ ต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทราเพราะสมองได้รับการกระทบกระเทือน แต่ก็ไม่ใช่ภาวะสมองตาย (brain death) ดังนั้นการถอดเครื่องช่วยหายใจให้แก่ผู้ที่อยู่ในภาวะผักจึงไม่อาจทำได้ เพราะเป็นการเร่งการตายให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งการทำเช่นนี้เรียกว่า การการุญยฆาต (Euthanasia) ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าสามารถทำได้หรือไม่

เจตนาฆ่า (Intent to kill) หมายถึงผู้กระทำผิดมีเจตนาที่ทำให้ผู้อื่นนั้นถึงแก่ความตาย มุ่งหมายจะเอาชีวิตของผู้อื่นนั้นเอง ซึ่งหลักในการพิจารณาว่าผู้กระทำมีเจตนาหรือไม่ พิจารณาตาม มาตรา 59 ที่ผู้กระทำต้องรู้สำนึกในการกระทำและรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบ และต้องการะทำโดยประสงค์ต่อความตายของผู้อื่นหรือย่อมเล็งเห็นผลการกระทำเช่นนั้นจะทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

นอกจากนี้เจตนาฆ่า (Intent to kill) อาจะเป็นเจตนาที่โอนมา (transfer Intent) ตาม มาตรา ๆ 60 ก็ได้

นายแดงเข้าไปล่าสัตว์ในป่า เห็นพุ่มไม้ไหวๆ เข้าใจว่าเป็นหมูป่าจึงเอาปืนยิงไปยังพุ่มไม้นั้น ปรากฏว่าความจริงคือนายดำ ที่เข้ามาหาหน่อไม้ นายดำถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตาย

นายแดงเข้าไปล่าสัตว์ในป่า เห็นพุ่มไม้ไหวๆ นายแดงไม่ดูให้ดี เข้าใจว่าเป็นหมูป่าจึงเอาปืนยิงไปยังพุ่มไม้นั้น ปรากฏว่าความจริงคือนายดำ ที่เข้ามาหาหน่อไม้ นายดำถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตาย

อาจารย์แดงเป็นหมอสักยันต์ชื่อดัง โดยเฉพาะด้านคงกระพัน นายดำหลงเชื่อจึงเข้ามาสัก เมื่อสักเสร็จจึงอยากลองวิชา นายดำจึงเอาปืนที่พกมาให้อาจารย์แดงลองยิงตัวเองดูว่าเข้าไหม อาจารย์แดงจึงเอาปืนนั้นยิงนายดำ ปรากฏว่าไม่เหนียว นายดำถึงแก่ความตาย

เจตนาฆ่ากับเจตนาทำร้ายต่างกันอย่างไร

เจตนาฆ่ากับเจตนาทำร้ายเป็นเรื่องที่ใกล้เคียงกันและการพิสูจน์เจตนาของผู้กระทำความผิดว่า ผู้กระทำความผิดมีเจตนาฆ่าหรือเจตนาทำร้ายกันแน่ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากในทางคดี เพราะผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่ก็มักจะปฏิเสธว่าไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่เจตนาทำร้ายเท่านั้น เพื่อให้ศาลลงโทษตาม ในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตาม มาตรา 290 ซึ่งมีโทษเบากว่าความผิดฐานฆ่าตายโดยเจตนา และเมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นว่าผู้กระทำความผิดมีเจตนาใด ระหว่างเจตนาฆ่ากับเจตนาทำร้าย จะพิจารณาแยกความแตกต่างของทั้งสองเจตนาอย่างไร

หลักในการพิจารณาเจตนาฆ่ากับเจตนาทำร้ายนั้น นอกจากคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว ต้องอาศัยพยานหลักฐานอื่น ๆ ประกอบเพื่อพิจารณาว่าผู้กระทำมีเจตนาใด เช่น ดูจากลักษณะของการการกระทำ ดูจากอาวุธว่าร้ายแรงเพียงใด หากอาวุธร้ายแรงเป็นปืนก็อาจจะแสดงให้เห็นได้ว่า ผู้กระทำมีเจตนาฆ่า ดูจากลักษณะของบาดแผลว่าแผลที่เกิดขึ้นฉกรรจ์มากน้อยเพียงใด ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านี้จะต้องอาศัยพยานหลักฐานในการพิสูจน์ทั้งสิ้น

นายแดงโกรธแค้นนายดำ เห็นนายดำอยู่หน้าบ้าน ห่างไปประมาณ 20 เมตร นายแดงเอาปืนที่พกมายิงนายดำ แต่นายแดงยิงไม่แม่น จึงไม่ถูกนายดำ นายแดงมีเจตนาฆ่าหรือไม่

นายแดงด้วยความคึกคะนองเห็นรถวิ่งสวนทางมา เอาก้อนหินขนาด 1 กิโลกรัมโยนเข้าไป ทำให้รถคันนั้นกระจกแตก แต่ปรากฏว่าก้อนหินนั้นไม่ถูกใคร แดงมีเจตนาฆ่าหรือไม่

อ่านต่อ...ตามลิ้งด้านล่างครับ

ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย มีอะไรบ้าง

ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย.
ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามมาตรา 288 และมาตรา 289..
ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา ตามมาตรา 290..
ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 291..
ความผิดฐานกระทำอันทารุณเพื่อให้บุคคลซึ่งต้องพึ่งผู้กระทำเพื่อให้บุคคลนั้นฆ่าตนเองหรือพยายาม.
ฆ่าตนเอง ตามมาตรา 292..

ความผิดเกี่ยวกับร่างกายคืออะไร

------------------------- มาตรา ๒๙๕ ผู้ใดทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความผิดต่อชีวิตคือได้แก่อะไรบ้าง

(๑) ฆ่าบุพการี (๒) ฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำ หรือได้กระทำการตามหน้าที่ (๓) ฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ในการที่เจ้าพนักงานนั้นกระทำตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่บุคคลนั้นจะช่วยหรือได้ช่วยเจ้าพนักงานดังกล่าวแล้ว (๔) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์มีอะไรบ้าง

3. ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์