ข้อมูลหนังสือBarcode : 9789740337386 Show ISBN : 9789740337386 ปีพิมพ์ : 1 / 2563 ขนาด ( w x h ) : 190 x 260 mm. จำนวนหน้า : 336 page หมวดหนังสือ : รัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง รายละเอียดสินค้า :วิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์เบื้องต้นหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับวิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์เบื้องต้น โดยเนื้อหาจะกล่าวถึงความหมายและประเภทของการวิจัย การเริ่มต้นการวิจัย และการทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง กำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัย สมมติฐานและตัวแปรในการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง การออกแบบการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมและการจัดทำข้อมูล การนำเสนอผลการวิจัย เค้าโครงการวิจัย การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการวิจัยและการเขียนรายงานการวิจัย รายละเอียด : ความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์ (ใหม่)ความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์ (ใหม่) รัฐศาสตร์ นับเป็นหนึ่งในสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ ซึ่งมีพัฒนาการมาอย่างยาวนานกว่า 2500 ปี องค์ความรู้ทางรัฐศาสตร์ได้รับการพัฒนา ในเเต่ละยุคเเต่ละสมัยเเละถูกนำไปใช้ด้านการเมืองการปกครองของประเทศต่างๆทั่วโลก หนังสือเล่มนี้ให้ความรู้พื้นฐานเเก่นิสิต นักศึกษา ตลอดจนผู้สนใจทั่วไป โดยมีเนื้อหาที่ครอบคลุมประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรัฐศาสตร์ทั้งหมด เช่น รัฐศาสตร์คืออะไร รัฐเเละบทบาทของรัฐ อุดมการณ์ทางการเมือง การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญเเละสถาบันการเมือง พรรคการเมืองเเละการเลือกตั้ง การมีส่วนร่วมทางการเมือง คำนำ : ความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์ (ใหม่)ความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์ (ใหม่) ความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์ พิมพ์ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2554 หรือเมื่อ 5 ปี ที่เเล้ว ปรากฏว่าหนังสือได้จำหน่ายหมดลงเเล้วเป็นเวลานานพอสมควร จึงถึงเวลาที่ต้องจัดพิมพ์ใหม่เพื่อให้นิสิต นักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้มีตำราประกอบการเรียน การจัดพิมพ์ในครั้งนี้มีการปรับปรุงเเก้ไข เพิ่มเติมเนื้อหาบงส่วน เพียงเล็กน้อย เนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงเดิมจากฉบับพิมพ์ ครั้งที่ 2 เเละ 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บูฆอรี ยีหมะ มิถุนายน 2559 สารบัญ : ความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์ (ใหม่)
thebookbun ร้านหนังสือ สามารถค้นหาหนังสือ....ที่มุมบนซ้ายมือ ที่ใต้แว่นขยาย ค้นหาหนังสือ...พิิิมพ์ ชื่อหนังสือ หรือชื่อนักเขียนได้เลย ศูนย์รวมหนังสือเก่าหายาก (Rare Item) และหนังสือใหม่ทุกประเภท หลากหลายสำนักพิมพ์ หนังสือบางเล่ม " อาจมีราคาสูงกว่าราคาปก " เพราะเป็นหนังสือหายากมีคุณค่า เหมาะแก่การสะสม ทางร้าน "มีต้นทุนที่สูง ในการจัดหา" ลูกค้าสามารถ กดสั่งซื้อ หยิบลงตะกร้า (Add To Cart) ก็สั่งซื้อได้ทันที โดยไม่ต้องสมัครสมาชิกให้ยุ่งยาก มีหลากหลายวิธีการชำระเงินที่ปลอดภัย ไร้กังวล เรามีระบบ จัดการที่สะดวก และรวดเร็ว ส่งถึงหน้าบ้านคุณ หนังสือใหม่และเก่า หลายยุคสมัย หายากและมีค่า น่าสะสม บางเล่มไม่มีวางจำหน่ายทั่วไป สำหรับนักสะสม และเหมาะสำหรับนักอ่านทั่วประเทศ ขายดี Best Seller ตลอดกาล เบอร์โทร : 088 789 5563 , 094 446 9542 LINE ID : thebookbun เอกสารประกอบการสอน รหัสรายวิชา ๔๐๑ ๓๐๘ Introduction to Public Administration ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร.สุทธญาณ์ โอบอ้อม วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดไร่ขิง ความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสนศาสตร์ ผู้เขียน ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร.สุทธญาณ์ โอบอ้อม ู ความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสนศาสตร์ : วัชระถ่ายเอกสาร, ๒๕๕๙, ๑๗๕ หน้า ISBN……………………………………………. ราคา ๒๑๐ บาท พิมพ์ที่ : วัชระถ่ายเอกสาร ๗๖๒ หมู่ที่ ๙ ต าบลนครสวรรค์ตก อ าเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ๖๐๐๐ ที่ปรึกษา : รศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม : พระครูสังฆรักษ์เกียรติศักดิ์ กิตฺติปญฺโญ,ดร. : ดร.บุษกร วัฒนบุตร : ผศ.ประสิทธิ์ ทองอุ่น ออกแบบปก : ศิรดา เก่งสาคร ค าน า วิชาความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสนศาสตร์ นั้นเป็นการศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐประศาสน ศาสตร์ที่มาจากนักวิชาการชาวตะวันตก และนักวิชาการไทย ครอบคลุมทั้งเรื่องความหมาย แนวคิดทฤษฏีและ ั ราชการไทย และการบริหารรัฐกิจเชิงพุทธ ดังนั้นการศึกษาวิชาความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสนศาสตร์สามารถน ามาประยุกต์ใช้ในการบริหาร ราชการและการปรับปรุงการบริหารของภาครัฐ รวมถึงการคาดการณ์ทิศทางในอนาคตของรัฐประศาสน ื่ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้คงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ศึกษาความรู้เบื้องต้นทางรัฐ ประศาสนศาสตร์ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการหาค าตอบว่าทิศทางการบริหารราชการในอนาคตควรเป็นอย่างไร และรัฐประศาสนศาสตร์ก าลังเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง เอกสารประกอบการสอนวิชาความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสนศาสตร์เล่มนี้ ได้รวบรวมและเรียบเรียง ื่ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร.สุทธญาณ์ โอบอ้อม กันยายน ๒๕๕๙ สารบัญ เรื่อง หน้า สารบัญแผนภาพ ฉ บทที่ ๑ ความหมาย แนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์ ๑ ๔. สถานภาพของรัฐประศาสนศาสตร์ ๗ สรุปท้ายบท ๑๔ ๑. ทฤษฎีทางรัฐประศาสนศาสตร์ของต่างประเทศ ๑๗ อ้างอิงประจ าบท ๓๙ บทที่ ๓ ขอบข่ายรัฐประศาสนศาสตร์ ๔๐ ค าถามท้ายบท ๔๘ สารบัญ (ต่อ) บทที่ ๔ การศึกษาพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์ ๕๐ ๒. การใช้แนวคิดอื่นๆที่ศึกษาพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์ ๕๓ ค าถามท้ายบท ๕๖ ๑. แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการบริหาร ๕๙ ๔. ความหมายของการบริหาร ๖๔ ๗. องค์ประกอบของการบริหารการพัฒนา ๗๓ อ้างอิงประจ าบท ๗๗ ๓. วัตถุประสงค์ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ๘๔ ๖.การคัดเลือกบุคลากร ๘๙ ๙.การบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ ๙๓ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า ๑. ความหมายของทฤษฎีองคการ ๙๗ ๔.วัตถุประสงค์ขององค์การ ๑๐๑ สรุปท้ายบท ๑๐๖ อ้างอิงประจ าบท ๑๐๘ ๑. ความหมายของภาวะผู้น า ๑๐๙ ๕. การพัฒนาภาวะผู้น าในองค์กร ๑๒๔ ค าถามท้ายบท ๑๒๗ บทที่ ๙ การบริหารราชการไทย ๔.คุณลักษณะหลักของข้าราชการ
๑๔๑ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า ค าถามท้ายบท ๑๔๕ อ้างอิงประจ าบท ๑๔๖ บทที่ ๑๐ การบริหารเชิงพุทธ ๑๔๗ ๑. ความหมายของค าว่าบริหาร ๑๔๘ ๒. พุทธวิธีการบริหาร ๑๕๐ ๓. คุณลักษณะของนักบริหาร ๑๕๒ ๔. หลักธรรมส าหรับการบริหาร ๑๕๓ ๕. หลักการบริหารทางพทธศาสนา ๑๕๖ ๖. หลักธรรมที่น ามาใช้ในการบริหารงาน ๑๕๗ ๗. การบริหารรู้จักใช้เครื่องมือแห่งความส าเร็จ ๔ ข้อ ๑๖๑ สรุปท้ายบท ๑๖๒ ค าถามท้ายบท ๑๖๓ อ้างอิงประจ าบท ๑๖๔ บรรณานุกรม ๑๖๕ สารบัญแผนภาพ แผนภาพที่ ๑ ลักษณะของการพัฒนา ๖๕ ๒ แสดงองค์ประกอบของการบริหารการพัฒนา ๗๖ ๓ ระบบการประเมินผลการปฏิบัติงาน ๙๔ ๔ แสดงวิวัฒนาการของทฤษฎีผู้น าในแต่ละยุคตามล าดับถึงปัจจุบัน ๑๑๗ ๕ ตัวแบบความเป็นผู้น าตามสถานการณ์ของ Fiedler ๑๒๓ รายละเอียดมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา (มคอ. ๓) ประจ ารายวิชา ความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสนศาสตร์ ชื่อสถาบันอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต/คณะ/ภาควิชา คณะสังคมศาสตร์ หมวดที่ ๑ ข้อมูลโดยทวไป ๑. รหัสและชื่อรายวิชา ๔๐๑ ๓๐๘ ความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสนศาสตร์ Introduction to Public Administration ๒.จ านวนหน่วยกิต ๓ (๓-๐-๖) ๓.หลักสูตรและประเภทของรายวิชา รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ๔.อาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวชาและอาจารย์ผู้สอน ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร.สุทธญาณ์ โอบอ้อม ๕.ภาคการศึกษา/ชั้นปีที่เรียน ภาคการศึกษาที่ ๒ / ชั้นปีที่ ๒ ๖.รายวิชาที่ต้องเรียนมาก่อน (Pre-requisites) (ถ้ามี) ไม่ม ี ๗.รายวิชาที่ต้องเรียนพร้อมกัน (Co-requisites) (ถ้ามี) ไม่ม ี ๘.สถานที่เรียน ุ ๙.วันที่จัดท าหรือปรับปรุงรายละเอียดของรายวิชาครั้งล่าสุด กันยายน ๒๕๕๙ หมวดที่ ๒ จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ ๑. จุดมุ่งหมายของรายวิชา เพื่อให้นิสิตมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย แนวคิดทฤษฏีและขอบเขตของนโยบายของรัฐเกี่ยวกับ การบริหารพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์ การบริหารธุรกิจ การบริหารกับปัจจัยแวดล้อม การบริหารการ พัฒนา การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การจัดและปรับปรุงองค์การของรัฐ การวางแผน การวินิจฉัยสั่งการ การ ติดต่อประสานงานและการติดตามผลงาน ภาวะผู้น า การบริหารราชการไทย และการบริหารรัฐกิจเชิงพุทธ ิ เพื่อให้นิสิตมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐประศาสนศาสตร์เบื้องต้น เป็นการเตรียมความพร้อมด้านปัญญา ื่ หมวดที่ ๓ ลักษณะและการด าเนินการ ๑. ค าอธิบายรายวิชา ศึกษาความหมาย แนวคิด ทฤษฎีและขอบเขตรัฐประศาสนศาสตร์ นโยบายของรัฐเกี่ยวกับการบริหาร ั ประสานงานและการติดตามผลงาน ภาวะผู้น า การบริหารราชการไทย และการบริหารรัฐกิจเชิงพุทธ ๒จ านวนชั่วโมงที่ใช้ต่อภาคการศึกษา . ี ราย - อาจารย์ประจ าวิชา ประกาศเวลาให้ค าปรึกษาผ่านบอร์ดประชาสัมพันธ์ และเว็ปไซด์คณะหรือส่วนงาน - อาจารย์จัดเวลาให้ค าปรึกษาเป็นรายบุคคล หรือรายกลุ่มตามความต้องการ ๑ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หมวดที่ ๔ การพัฒนาการเรียนรู้ของนิสิต ๑คุณธรรม . จริยธรรม ๑คุณธรรม จริยธรรมที่ต้องพัฒนา (๑) ตระหนักในคุณค่าและคุณธรรม จริยธรรม เสียสละ และซื่อสัตย์สุจริต (๒) มีวินัย ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบต่อตนเอง วิชาชีพและสังคม (๓) มีภาวะความเป็นผู้น าและผู้ตาม สามารถท างานเป็นทีมและสามารถแก้ไขข้อขัดแย้งและล าดับ ความส าคัญ (๔) เคารพสิทธิและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รวมทั้งเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ้ ๑วิธีการสอน ประศาสนศาสตร์ - อภิปรายและก าหนดให้นิสิตหาตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง - จัดกิจกรรมระดมสมองและการท างานเป็นทีม ๑.๓ วิธีการประเมินผล - พฤติกรรมการเข้าเรียน และส่งงานที่ได้รับมอบหมายตามขอบเขตที่ให้และตรงต่อเวลา - ประเมินผลการวิเคราะห์กรณีศึกษา - ประเมินผลการน าเสนอรายงานที่มอบหมาย ๒. ความรู้ ๒.๑ ความรู้ที่ต้องได้รับ มีความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสนศาสตร์ นโยบายของ ั บริหารรัฐกิจเชิงพุทธ ๒.๒ วิธีการสอน บรรยาย อภิปราย การท างานกลุ่ม การน าเสนอรายงาน การวิเคราะห์กรณีศึกษา และมอบหมายให้ ค้นคว้าหาบทความ ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดยน ามาสรุปและน าเสนอ การศึกษาโดยใช้ปัญหา และโครงงาน (Problem base learning) และเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ(Student Center) ๒.๓ วิธีการประเมินผล - สอบกลางภาค สอบปลายภาค ด้วยข้อสอบที่เน้นการวัดหลักการและทฤษฎี - น าเสนอสรุปการอ่านจากการค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้อง - วิเคราะห์กรณีศึกษา ๓. ทักษะทางปญญา ๓.๑. ทักษะทางปัญญาที่ต้องพัฒนา พฒนาความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีความสามารถในการวิเคราะห์ เนื้อหาเกี่ยวกับความรู้ ประศาสนศาสตร์ โดยอาศัยฐานความรู้จากแนวคิดทฤษฎีที่ได้ศึกษา ๓.๒ วิธีการสอน - การมอบหมายให้นิสิตท าโครงงานพิเศษ และน าเสนอผลการศึกษา - อภิปรายกลุ่ม - วิเคราะห์กรณีศึกษาเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสนศาสตร์ ในปัจจุบัน - การสะท้อนแนวคิดจากการประพฤติ ๓.๓ วิธีการประเมินผล สอบกลางภาคและปลายภาค โดยเน้นข้อสอบที่มีการวิเคราะห์แนวคิดความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสน ศาสตร์ ๔. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ั - พัฒนาทักษะในการสร้างความสัมพันธภาพระหว่างผู้เรียนด้วยกัน - พัฒนาความเป็นผู้น าและผู้ตามในการท างานเป็นทีม ี ๔.๒ วิธีการสอน - จัดกิจกรรมกลุ่มในการวิเคราะห์กรณีศึกษา - มอบหมายงานรายกลุ่ม และรายบุคคล หรือ อ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับรายวิชา - การน าเสนอรายงาน ๔.๓ วิธีการประเมินผล ื่ - รายงานที่น าเสนอ พฤติกรรมการท างานเป็นทีม - รายงานการศึกษาด้วยตนเอง ๕. ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ์ - พัฒนาทักษะในการสื่อสารทั้งการพูด การฟัง การเขียน โดยการท ารายงาน และน าเสนอในชั้นเรียน - พัฒนาทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลจากกรณีศึกษา - พัฒนาทักษะในการสืบค้น ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ี ความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ - ทักษะในการน าเสนอรายงานโดยใช้รูปแบบ เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม ๕.๒ วิธีการสอน - มอบหมายงานให้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง จาก website สื่อการสอน e-learning และท ารายงานโดย - น าเสนอโดยใช้รูปแบบและเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามาช่วย ๕.๓ วิธีการประเมินผล - การจัดท ารายงาน และน าเสนอด้วยสื่อเทคโนโลยี - การมีส่วนร่วมในการอภิปรายและวิธีการอภิปราย หมวดที่ ๕ แผนการสอนและการประเมินผล สัปดาห์ จ านวน กิจกรรมการเรียนการ ๑ แนะน าเนื้อหาวิชา กระบวนการ การ ๓ -อธิบายวิธีการศึกษาวิชา ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. เรียนการสอน ความรู้เบื้องต้นทางรัฐ สุทธญาณ์ โอบอ้อม ประศาสนศาสตร์ - นิสิตสอบถามเพิ่มเติม และร่วมแสดงความ ๒ บทที่ ๑ ความหมาย แนวคิดรัฐ ๓ - อธิบายเนื้อหาโดยใช้ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. ประศาสนศาสตร์ Power Point สุทธญาณ์ โอบอ้อม ประกอบการบรรยาย - แนะน าหนังสือเพิ่มเติม ๓ บทที่ ๒ ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ ๓ - อธิบายเนื้อหาโดยใช้ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. Power Point สุทธญาณ์ โอบอ้อม ประกอบการบรรยาย - ตอบค าถามประจ าบท ๔ บทที่ ๓ ขอบข่ายรัฐประศาสนศาสตร์ ๓ - อธิบายเนื้อหาโดยใช้ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. Power Point สุทธญาณ์ โอบอ้อม ประกอบการบรรยาย ๕ บทที่ ๔ พัฒนาการของการบริหารรัฐ ๓ - อธิบายเนื้อหาโดยใช้ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. ประศาสนศาสตร์ Power Point สุทธญาณ์ โอบอ้อม ประกอบการบรรยาย ๖ บทที่ ๕ การบริหารการพัฒนา ๓ อธิบายเนื้อหาโดยใช้ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. Power Point สุทธญาณ์ โอบอ้อม ประกอบการบรรยาย - ให้นิสิตซักถาม - ตอบค าถามประจ าบท สัปดาห์ จ านวน กิจกรรมการเรียนการ ๗ บทที่ ๖ การจัดการทรัพยากรมนุษย์ - อธิบายเนื้อหาโดยใช้ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. Power Point สุทธญาณ์ โอบอ้อม ประกอบการบรรยาย - ให้นิสิตน าเสนอหรือ ซักถามประเด็นที่ น่าสนใจตามเนื้อหา ๘ สอบกลางภาค ๓ ๙ บทที่ ๗ ทฤษฎีองค์กร - อธิบายเนื้อหาโดยใช้ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. Power Point สุทธญาณ์ โอบอ้อม ประกอบการบรรยาย - ให้นิสิตน าเสนอหรือ ซักถามประเด็นที่ น่าสนใจตามเนื้อหา ๑๐ บทที่ ๗ ทฤษฎีองค์กร (ต่อ) ๓ - อธิบายเนื้อหาโดยใช้ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. Power Point สุทธญาณ์ โอบอ้อม - ให้นิสิตน าเสนอหรือ น่าสนใจตามเนื้อหา ๑๑ บทที่ ๘ ภาวะผู้น า ๓ - อธิบายเนื้อหาโดยใช้ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. Power Point สุทธญาณ์ โอบอ้อม ประกอบการบรรยาย - ให้นิสิตอภิปราย ร่วมกัน ๑๒ บทที่ ๙ การบริหารราชการไทย ๓ - อธิบายเนื้อหาโดยใช้ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. Power Point สุทธญาณ์ โอบอ้อม สัปดาห์ จ านวน กิจกรรมการเรียนการ ประกอบการบรรยาย - ตอบค าถามประจ าบท ุ ๑๔ บทที่ ๑๐ การบริหารเชิงพทธ (ต่อ) ๓ - อธิบายเนื้อหาโดยใช้ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. ประกอบการบรรยาย - ให้นิสิตอภิปราย ร่วมกัน ๑๕
สรุปองค์ความรู้ ๓ - ให้นิสิตซักถามและ ว่าที่ร้อยตรีหญิง ดร. ๑๖ สอบปลายภาค ๓ ๒ แผนการประเมินผลการเรียนรู้ สัดส่วนของการ สอบกลางภาค ๘ ๒๐% วิเคราะห์กรณีศึกษา ค้นคว้า การน าเสนอรายงาน การท างานกลุ่มและผลงาน การส่งงานตามที่มอบหมาย การเข้าชั้นเรียน การมีส่วนร่วม อภิปราย
เสนอความ หมวดที่ ๖ ทรัพยากรประกอบการเรียนการสอน ๑. เอกสารและต าราหลัก สุทธญาณ์ โอบอ้อม. เอกสารประกอบการสอนวิชาความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสนศาสตร์. นครสวรรค์ : วัชระ ถ่ายเอกสาร,๒๕๕๙. เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ. ความรู้เบื้องต้นทางรัฐประศาสนศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : บริษัท บพิธการพิมพ์ จ ากัด, ๒๕๔๙. ๒. เอกสารและข้อมูลส าคัญ - ไม่ม ี ๓. เอกสารและข้อมูลแนะน า โกวิท วงศ์สุรรัฒน์. หลักรัฐประศาสนศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : บริษัท จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จ ากัด, ๒๕๕๖. พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต, องค์การ และการบริหารจัดการ, กรุงเทพมหานคร : บริษัท ธิงค์ บียอนด์ บุ๊คส์ จ ากัด, ๒๕๕๒. วิรัช วรัชนิภาวรรณ .หลักรัฐประศาสนศาสตร์ แนวคิดและกระบวนการ. กรุงเทพมหานคร : บริษัท เอ็กซเปอร์เน็ท จ ากัด, ๒๕๕๑. สมาน รังสิโยกฤษฏ์. การบริหารราชการไทย อดีต ปัจจุบัน และอนาคต. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ส านักพิมพ์บรรณกิจ ๑๙๙๑ จ ากัด, ๒๕๔๖. สันสิทธ์ ชวลิตธ ารง. หลักการบริหารรัฐกิจกับระบบราชการ. กรุงเทพมหานคร : บริษัท อทรินทร์ติ้ง แอนด์พับลิสซิ่ง จ ากัด, ๒๕๔๖. หมวดที่ ๗ การประเมินและปรับปรุงการด าเนินการของรายวิชา ิ นิสิตได้ดังนี้ - การสนทนากลุ่มระหว่างผู้สอนและผู้เรียน - การสังเกตการณ์จากพฤติกรรมของผู้เรียน - แบบประเมินผู้สอนและแบบประเมินรายวิชา - ขอเสนอแนะผ่านเวบบอร์ด ที่อาจารย์ผู้สอนได้จัดท าเป็นช่องทางการสื่อสารกับนิสิต ๒. กลยุทธ์การประเมินการสอน ในการเก็บข้อมูลเพื่อประเมินการสอน ได้มีกลยุทธ์ ดังนี้ - สังเกตการณ์การสอนของผู้ร่วมทีมการสอน - ผลการสอบ - การทวนสอบผลประเมินการเรียนรู้ ๓. การปรับปรุงการสอน หลังจากผลการประเมินการสอนในข้อ ๒ จึงมีการปรับปรุงการสอน โดยการจัดกิจกรรมในการระดมสมอง และหาข้อมูลเพิ่มเติมในการปรับปรุงสอน ดังนี้ - สัมมนาการจัดการเรียนการสอน - การวิจัยในและนอกชั้นเรียน ๔. การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนิสิตในรายวิชา ี่ การออกผลการเรียนรายวิชา มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์โดยรวมในวิชา ดังนี้ - การทวนสอบการให้คะแนนจากการสุ่มตรวจผลงานของนิสิตโดยอาจารย์อน หรือผู้ทรงคุณวุฒิ - มีการตั้งคณะกรรมการในสาขาวิชา ตรวจสอบผลการประเมินการเรียนรู้ของนิสิต โดยตรวจสอบ ข้อสอบรายงาน วิธีการให้คะแนนสอบ และการให้คะแนนพฤติกรรม ๕. การด าเนินการทบทวนและการวางแผนปรับปรุงประสิทธิภาพของรายวิชา จากผลการประเมิน และทวนสอบผลสัมฤทธิ์ประสิทธิผลรายวิชา ได้มีการวางแผนการปรับปรุงการสอนและ ุ - เปลี่ยนหรือสลับอาจารย์ผู้สอน เพื่อให้นิสิตมีมุมมองในเรื่องการประยุกต์ความรู้นี้กับปัญหาที่มาจาก งานวิจัยของอาจารย์หรือแนวคิดใหม่ ๆ ๑ บทที่ ๑ ความหมาย แนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) ขอบข่ายรายวชา ประศาสนศาสตร์ ความส าคัญของรัฐประศาสนศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์กับการบริหารธุรกิจ สถานภาพของ รัฐประศาสนศาสตร์ และความสัมพันธ์ของรัฐประศาสนศาสตร์กับสาขาวิชาอื่นๆ
วัตถุประสงค์ ๒.เพื่อศึกษาและเข้าใจความส าคัญของรัฐประศาสนศาสตร์ ๓.เพื่อศึกษาและเข้าใจรัฐประศาสนศาสตร์กับการบริหารธุรกิจ ๕.เพื่อศึกษาและเข้าใจความสัมพันธ์ของรัฐประศาสนศาสตร์กับสาขาวิชาอื่นๆ ๖.เพื่อศึกษาและเข้าใจแนวคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์และวิกฤตทางด้านเอกลักษณ ์ ค าน า การศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ หรือ Public Administration ในปัจจุบันมีขอบเขตครอบคลุมถึงการ ั การน านโยบายออกไปปฏิบัติให้บรรลุผล ๑.ความหมายของรัฐประศาสนศาสตร์ ั Nicholas Henry ( Nicholas Henry, ๑๙๘๐ ) “รัฐประศาสนศาสตร์เป็นวิชาที่มีเอกลักษณ์โดยมี ความแตกต่างจากวิชารัฐศาสตร์ในแง่ที่ว่า ให้ความสนใจในการศึกษาถึงโครงสร้างและพฤติกรรมของระบบ ราชการรวมทั้งเป็นศาสตร์ที่ มีระเบียบและวิธีการศึกษาเป็นของตนเอง มีความแตกต่างจากศาสตร์การบริหาร ในแง่ที่ว่าเป็นวิชาที่ศึกษาเรื่องขององค์การของรัฐที่ไม่ได้มุ่งแสวงหาก าไรเหมือนองค์การธุรกิจเอกชนและ ๒ เป็นวิชาที่สนับสนุนให้องค์การของรัฐมีโครงสร้าง กลไกการตัดสินใจและพฤติกรรมของข้าราชการที่เกื้อกลต่อ การให้บริการสาธารณะ” George S. Gordon ( George S. Gordon, ๑๙๗๕) “รัฐประศาสนศาสตร์หมายถึงกระบวนการ องค์การ และบุคคลที่ด ารงต าแหน่งทางราชการทั้งหลายและมีส่วนเกี่ยวข้องกบการก าหนดและน าเอากฎหมาย ระเบียบแบบแผนต่างๆ ที่ออกโดยฝุายนิติบัญญัติ ฝุายบริหาร และฝุายตุลาการออกไปปฏิบัติ ” James W. Fesler ( James W. Fesler, ๑๙๘๐) “วิชารัฐประศาสนศาสตร์คือการก าหนดและปฏิบัติ ตามนโยบายของระบบราชการซึ่งตัว ระบบมีขนาดใหญ่โตและมีลักษณะความเป็นสาธารณะ ” Felex A. Nigro and Lloyd G.Nigro (Felex A. Nigro and Lloyd G. Nigro, ๑๙๗๗) “รัฐประศาสนศาสตร์ ( Public Administration ) ื ตุลาการตลอดจนความสัมพนธ์ที่มีระหว่างกน การเมือง ๔. มีความแตกต่างจากการบริหารงานของภาคธุรกิจเอกชนในประเด็นที่ส าคัญๆหลายประการ ั ิ ( Study ) ในภาษาองกฤษคือ “Public Administration”
ส่วนในภาษาไทยจะใช้ค าว่า “รัฐประศาสน ดังนั้น วิชารัฐประศาสนศาสตร์หรือ Public Administration จึงหมายถึงวิชาที่ว่าด้วยการบริหารและ ประโยชน์สาธารณะ หรือเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกบการบริหารงานสาธารณะทั้งหลาย ศาสตร์ทางการบริหาร ทางการเมือง (Science of Politics ) ที่เป็นวิชาที่ว่าด้วย การปกครองของรัฐและมีการศึกษามายาวนานกว่า ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ๓ นัยยะที่สอง เป็นการพจารณาในแง่ของกิจกรรม ปกติในภาษาองกฤษจะใช้ค าว่า “public “การบริหารรัฐกิจ” หรือ “การบริหารราชการ” แต่จะไม่เรียกว่า “รัฐประศาสนศาสตร์” ี่ ในส่วนกลาง ได้แก่กระทรวง ทบวงกรม กองต่าง ๆ แทบทั้งหมดแต่ใน ปัจจุบัน การจัดท าบริการสาธารณะได้ ขยายหรือถ่ายโอนไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนซึ่งกิจการบางอย่างได้มีการมอบอานาจให้ ภาคเอกชนมาร่วมด าเนินการกับรัฐ หรือจัดท าแทนรัฐนอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งหน่วยงานประเภทอนๆ เช่น ื่ ภารกิจที่เกี่ยวข้องบงานสาธารณะนั้นอาจปรากฏในลักษณะต่างๆ ได้ดังนี้ ื่ ของรัฐ การอ านวยความยุติธรรม เช่น กิจการทหาร ต ารวจ ศาล กิจการตางประเทศ ฯลฯ เป็นต้น ๒) ในลักษณะของการท างานร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ กับภาคเอกชน ในเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ สาธารณะ หรืออาจเรียกว่า “ ภารกิจสาธารณะ” หรือ “ Public Affairs ” เช่น กิจการเกี่ยวกับบริการ สาธารณะทางด้านการศึกษาสาธารณะสุขการรักษาความสะอาด ฯลฯ เป็นต้น ๓) ในลักษณะที่รัฐควรท าแต่ไม่สามารถด าเนินการเองได้เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูง ต้องใช้ เทคโนโลยีเฉพาะ รัฐจงมอบหมายให้เอกชนเข้ามาร่วมด าเนินการ หรือด าเนินการแทน เช่น กิจการทาง สาธารณูปโภคต่างๆ ได้แก่ กิจการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ โทรศัพท์รถไฟฟา ๔) งานที่รัฐมอบหมายให้ชุมชน องค์กรที่ไม่หวงผลก าไร ( Non- Profit Organization ) องค์กร ที่ไม่ใช่หน่วยงานภาครัฐ ( Non- Government Organization : NGOs ) ซึ่งหน่วยงานเหล่านนี้เป็นองค์กรที่มี ื่ ๔ ๕) การบริหารงานสาธารณะยังครอบคลุมถึงการบริหารงานองค์กรระหว่างประเทศด้วย เช่น องค์การสหประชาชาติองค์การแรงงานระหว่างประเทศ องค์การการค้าโลกซึ่งจะมีรัฐสมาชิก ส่งตัวแทนไปเข้า ๑ ความหมายที่หนึ่ง หมายถึงกิจ กรรมการบริหารงานสาธารณะครอบคลุมทั้งการบริหารราชการและรัฐวิสาหกิจ ๒ เกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาลค าว่า Public Administration หมายถึง สาขาวิชาการบริหารงาน ภาครัฐบาล ส่วน public administration (ตัวเล็ก) หมายถึง กิจกรรมหรือกระบวนการการบริหารงาน ภาครัฐบาลในภาษาไทยนั้น รัฐประศาสนศาสตร์ โดยทั่วไปหมายถึง สาขาวิชาการบริหารงานของรัฐ ส่วน ๓ ั ที่เป็นกระบวนการหรือกิจกรรมของการบริหารงานที่เกี่ยวกับสาธารณะแทนค าว่า การบริหารรัฐกิจการบริหาร ๔ ๑.ความพยายามของกลุ่มคนที่ร่วมกนปฏิบัติงานในหน่วยงานต่างๆให้บรรลุผลโดยมุ่งที่ประโยชน์ ฝุายบริหาร และฝุายตุลาการ ๓. มีบทบาทต่อการก าหนดนโยบายสาธารณะจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมืองและมี บทบาทส าคัญในการน านโยบายออกไปปฏิบัติให้บรรลผลุ ๑ ๕ ๔. มีความแตกตางจากการบริหารงานของภาคธุรกิจเอกชนในประเด็นที่ส าคัญๆ หลายประการ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความใกล้ชิดกับกลุ่มเอกชนปัจเจกบคคลอย่างมาก เนื่องจากเป็นผู้จัดท าบริการ สาธารณะให้แก่ชุมชนและสังคม ๕. มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการระหว่างประเทศด้วย ๒.ความส าคัญของรัฐประศาสนศาสตร์ ในระบบการปกครองทั่วๆ ไปจะมีการก าหนดเอาไว้ว่าอ านาจสูงสุดในการปกครองประเทศมาจากที่ใด และใครเป็นผู้ใช้โดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายหลักหรือกฎหมายแม่บท กมล อดุลพันธุ์ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นนิยมแบ่งแยกการใช้อานาจสูงสุดในการ ๕ สถาบันที่รับผิดชอบในการออกกฎหมายคือ รัฐสภา ๒. อานาจบริหาร (Executive หรือ Administrative Power) อานาจนี้ หมายถึงการจัดการกิจการ ความสะดวกในการใช้ชีวิตแต่ละคนผู้ใช้อ านาจบริหารนี้คือ คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลทั้งชุด ในการด าเนินงานของฝุายบริหารในแต่ละกระทรวงจะมีผู้ปฏิบัติงาน ๒ ฝุาย คือ ๑. ฝุายการเมือง (ข้าราชการการเมือง) ซึ่งเข้ามาด ารงต าแหน่งตามวาระหรือตามวิถีทางการเมือง มีระยะเวลาในการด ารงต าแหน่ง เช่น นายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวง, เลขานุการรัฐมนตรี, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง เป็นต้น ๒. ฝุายประจ า (ข้าราชการประจ า) เข้ามาด ารงต าแหน่งโดยยึดเป็นอาชีพและผลการสอบแข่งขันสอบ คัดเลือก หรือคัดเลือกตามตัวบทกฎหมายที่ก าหนดไว้ ข้าราชการประจ าสูงสุด คือ ปลัดกระทรวง ข้าราชการเมืองจะท างานร่วมกับข้าราชการประจ า โดยข้าราชการเมืองจะเป็นผู้ก าหนดนโยบาย (Policy – Making) และควบคุมการท างานของข้าราชการประจ าให้เป็นไปตามนโยบายที่วางไว้ ส่วนข้าราชการประจ านั้นจะ เป็นผู้น านโยบายไปปฏิบัติ (Implementation) ให้บรรลุผล ซึ่งจะเห็นได้ว่า การเมืองกับการบริหารเป็นสิ่งที่ต้องด าเนินไปได้ด้วยกันแยกจากกันไม่ได้ เพราะโดยเนื้อแท้ไม่มีการบริหารใด ๕ ๖ ที่จะปลอดจากการเมือง ทั้งนี้เพราะว่าการบริหารรัฐกิจจะเกิดขึ้นไม่ได้ในสุญญากาศทางการเมือง (public administration never exists in political vacuum) หรือตามที่ Dimock, Marshall E. (๑๙๖๓ : ๗๕) ั ๓.รัฐประศาสนศาสตร์กับการบริหารธุรกิจ ประเด็น ซึ่งทั้งรัฐประศาสนศาสตร์และการบริหารธุรกิจต่างมุ่งเน้นในเรื่องการบริหารงานของบุคลากรใน องค์การเพื่อให้บรรลุเปูาหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การ ๓.๑ ความเหมือนระหว่างรัฐประศาสนศาสตร์และการบริหารธุรกิจ ๒. การบริหารซึ่งมีลักษณะเป็นพลังความร่วมมือร่วมใจ ปฏิบัติการของกลุ่มทีมงาน (Cooperative ๓. แต่ละองค์การไม่ว่าจะเป็นราชการหรือธุรกิจเอกชนล้วนแต่ต้องมีลักษณะในการบริหารและการ ๓.๒ ความแตกต่างระหว่างรัฐประศาสนศาสตร์และการบริหารธุรกิจ สนองความต้องการของประชาชนโดยยึดประโยชน์และความพงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวมเป็นหลัก ข้อสังเกต ประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง การด าเนินงานให้ได้ผลลัพธ์ตามแผนที่วางไว้ หรือ บรรลุผลส าเร็จตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการในเมื่อวัตถุประสงค์รัฐประศาสนศาสตร์ คือ การจัดท าบริการ ึ ๒.ความรับผิดชอบ รัฐประศาสนศาสตร์นั้นกระท าโดย รับผิดชอบต่อประชาชน ส่วนการบริหารธุรกิจ จะรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นหรือ เจ้าของกิจการ ๓.ทุน รัฐประศาสนศาตร์ งบประมาณและทุนการด าเนินงาน ได้มาจากภาษีอากรของประชาชน ส่วนการบริหารธุรกิจทุนได้มาจากผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของกิจการ ๔. การก าหนดราคาสินค้าและบริการ รัฐประศาสนศาสตร์ ไม่จ าเป็นต้องก าหนดราคาเพราะไม่ได้ หวังผลก าไร ส่วนการบริหารธุรกิจจะต้องก าหนดราคาสินค้าตามกลไกตลาดของอุปสงค์และอุปทาน ๗ ๕. คู่แข่งในการด าเนินงาน รัฐประศาสนศาสตร์ไม่มีคู่แข่ง ส่วนการบริหารธุรกิจมีคู่แข่งมาก โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน ๖. การคงอยู่รัฐประศาสนศาสตร์ การบริหารภาครัฐจะคงอยู่ตราบเท่าที่มีรัฐหรือประเทศ ส่วนการ บริหารธุรกิจนั้นมีเปอร์เซ็นต์การอยู่รอดต่ ามากจะคงอยู่ได้ตราบเท่าที่สามารถจะท าก าไรเลี้ยงตัวเองได้เท่านั้น เพราะมีการแข่งขันมากในการบริหารงาน หน่วยงานธุรกิจที่ไม่สามารถแข่งขันอยู่ได้ก็อาจต้องเปลี่ยนกิจการ หรือปิดกิจการ ๗. ระบบราชการ (Bureaucracy) รัฐประศาสนศาสตร์มีลักษณะเป็นระบบราชการและลักษณะ ั ล่าช้าเหมือนระบบราชการ 8. การบริหารรัฐกิจ ประชาชนมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ได้ เปรียบการท างานของราชการนั้นเหมือนอยู่ ่ ห้างร้านต่างๆ มีการด าเนินงานเพื่อต้องการให้ลูกค้า คือ ประชาชนมีความพึงพอใจจากการใช้สินค้าและบริการ ๔.สถานภาพของรัฐประศาสนศาสตร์ จากการที่ได้พิจารณาความหมายของรัฐประศาสนศาสตร์เป็นสองความหมายดังกล่าวข้างต้น สามารถ ๖ ๑. ในฐานะที่มีความเป็นศาสตร์ (Science) คือ การมองในด้านของการเป็นสาขาวิชาหรือลักษณะวิชา
(Discipline) จะหมายถึงเฉพาะวิชา รัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) อนเป็นศาสตร์หรือ แนวคิด ทฤษฎี รวมถึงกฎเกณฑ์ที่สามารถน าไปศึกษาและ ถ่ายทอดให้กันได้ ๒. ในฐานะที่มีความเป็นศิลป์ (Art) คือ การมองในด้านของกิจกรรม (Activities) หรือการปฏิบัติงาน เรียกว่า การบริหารรัฐกิจ (public administration) การบริหารราชการ การบริหารสาธารณกิจหรือการ บริการสาธารณะ ซึ่งหมายถึง
การใช้ ศิลปะในการอานวยการ การจัดให้มีการประสานงาน การควบคุมคน ุ ของนักบริหารแต่ละคนเข้ามาเป็นเครื่องช่วย ๖ ๘ ๕.ความสัมพันธ์ของรัฐประศาสนศาสตร์กับสาขาวิชาอื่นๆ รัฐประศาสนศาสตร์มีลักษณะที่เป็นสังคมศาสตร์ประยุกต์ มีองค์ความรู้ที่เชื่อมโยงกับสาขาวิชาอนๆ ลักษณะที่เป็นสหวิทยาการ (Interdisciplinary) ท าให้นักบริหารงานภาครัฐและฝุายปฏิบัติ ต้องมีองค์ความรู้ ั ๗ ความจริงและการหาเหตุผล มีหลักในการ ตัดสินใจหรือวินิจฉัยสั่งการโดยยึดหลักเหตุผล ถ้าหากการออกค าสั่ง ของรัฐรวมถึงประชาชน ิ ทางการเมืองและสังคม” (public administration is a product of political and social heritage) บรรพบุรุษและอีกส่วนหนึ่งคือส่วนที่ชนรุ่นหลังหรือรุ่นปัจจุบันได้ท าการปรับปรุงไขให้พัฒนาดีขึ้นเพอให้ก้าวทัน ๒) การใช้หลักทางสังคมวิทยาท าให้ทราบลักษณะของสภาพแวดล้อมในสังคมที่มีอทธิพลต่อ ราชการเมื่อมีการสร้างส านักงานใหม่หรือปรับปรุงให้ดีขึ้นก็จะมีพธีกรรมท าบุญเปิดส านักงาน โดยมีความ การบริหารราชการ (administrative values) สามารถช่วยรักษาขนบธรรมเรียมประเพณีและคุณค่าทางสังคม ที่ดีของไทยไว้ เป็นส่วนส าคัญในการสร้างวัฒนธรรมองค์การที่ดีของระบบราชการไทย ๗ ๙ ๓) ช่วยให้เข้าใจองค์การทางสังคม โดยท าความเข้าใจองค์การแบบอรูปนัย (Informal Organization) ที่ซ่อนอยู่ในองค์การหรือส่วนราชการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ส าหรับองค์การอรูปนัยนั้นจะเป็นลักษณะการ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีทางสังคมเป็นความสัมพันธ์โดยส่วนตัวที่มิได้ยึดหลักเกณฑ์ระเบียบที่เคร่งครัดหรือเป็นไป ตามล าดับขั้นตามสายบังคับบัญชาเหมือนองค์การแบบรูปนัย (formal Organization) นอกจากนั้นการท าความเข้าใจในเรื่องส่วนราชการหรือองค์การ อรูปนัยในการบริหารราชการยังอาจ ิ ๑) การน าเอาความเข้าใจในเรื่องวัฒนธรรมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการบริหาร ๒) ลักษณะการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง (Resistance to Change) ๓) ลักษณะของการเกิดปัญหาขัดแย้งระหว่าง “พวกหัวเก่ากับ พวกหัวใหม่” (ปัญหาการขัดแย้งของ วัฒนธรรม) ๔. จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) ให้ประโยชน์ในการศึกษาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คือ ื่ ื่ ๕. เศรษฐศาสตร์ ให้ประโยชน์ต่อการศึกษาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คือ น าเอาหลักวิชาเศรษฐศาสตร์ ั วิธีการด าเนินงาน การก าหนดวงเงินงบประมาณรวมถึงการควบคุมและตรวจสอบประเมินผลการบริหาร งบประมาณในแต่ละโครงการในปีงบประมาณ และการด าเนินงานในแผนปฏิบัติราชการประจ าปี ๖. รัฐศาสตร์ วิชารัฐประศาสนศาสตร์นั้นแยกตัวออกมาจากรัฐศาสตร์ ดังนั้นวิชารัฐประศาสนศาสตร์ จึงมีส่วนสัมพันธ์แนบแน่นกับวิชารัฐศาสตร์ เพราะวิชารัฐประศาสนศาสตร์เป็นวิชาที่มุ่งศึกษาวิจัยเพอส่งเสริม ๑๐ รัฐศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองจากนั้น ใช้หลักวิชาทางรัฐประศาสนศาสตร์ในการบริหารงาน จัดท าบริการสาธารณะให้ เกิดความผาสุกและประโยชน์แก่ประชาชน ิ ๘. ประวติศาสตร์ นักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ในปัจจุบันใช้วิชาประวัติศาสตร์ให้เป็นประโยชน์ใน เรื่องราวการบริหารราชการต่างๆในอดีต เพราะวิชาประวัติศาสตร์เป็นสาขาวิชาที่จัดให้มีระบบการศึกษาเพอ แก้ไขเปลี่ยนแปลงให้สถานการณ์การบริหารราชการดีขึ้นอย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพฒนาระบบ เทคโนโลยีที่เหมาะสมและทันต่อการเปลี่ยนแปลง ในสังคมบริบทโลก ๙. การบริหารธุรกิจ ในการศึกษาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ซึ่งเป็น วิชาที่ต้องอาศัยศาสตร์ต่างๆเข้าช่วย เพอให้เข้าถึงความจริงในการบริหารงาน ได้โดยถูกต้องยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาหาความรู้ ระเบียบองค์การ การวางแผนงาน การตรวจสอบควบคุมงาน ฯลฯ รัฐประศาสนศาสตร์ได้อาศัยเทคนิคการ บริหารทางการทหารและการบริหารธุรกิจอยู่มาก ซึ่งจะเห็นได้จากการใช้โทรศัพท์ทางรัฐประศาสนศาสตร์ เช่น Chain of Command ได้มาจากทางราชการทหาร และค าว่า Office and Management ได้มาจากการ บริหารธุรกิจ เป็นต้น ศาสตร์ต่างๆที่นอกเหนือจากข้างต้น อนจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ใน พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะความสามารถอันจะน ามาซึ่งการพฒนาองค์การระบบราชการสู่ความเป็นเลิศ ๑๑ ๖.แนวคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์และวิกฤตทางด้านเอกลักษณ ์ วิชารัฐประศาสนศาสตร์มีความเจริญรุ่งโรจน์มากที่สุดในระยะเวลาประมาณ ค.ศ.๑๙๓o จนถึงก่อน สงครามโลกครั้งที่ ๒ คือราวประมาณ ค.ศ. ๑๙๔๕ ซึ่งในการศึกษษรัฐประศาสนศาสตร์ในช่วงนี้จะมุ่งเน้น การศึกษาถึงเรื่องหลักหรือเกณฑ์(Principles) ในการบริหาร โดยมีการเสนอกรอบเค้าโครงความคิดการแยก การเมืองและการบริหารออกจากกัน (Politics /administration Dichotomy) ในสมัยนี้แนวคิดทางรัฐศาสตร์ และแนวความคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์จึงมีช่วงห่างกันมาก เป็นเหตุให้มีการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ในยุค แรกๆนี้ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง โดยฝุายการเมืองเป็นผู้ก าหนดนโยบาย ส่วนฝุายบริหารเป็นผู้ ปฏิบัติตามภารกิจที่ฝุายการเมืองเป็นผู้ชี้น าให้ท า นักวิชาการสมัยนี้ได้แก่ วูดโรว์ วิลสัน(Woodrow Wilson) อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับรัฐประศาสน ศาสตร์นอกจากนี้ ไวท์ (White) แฟร็งค์ เจ กู๊ดเนาว์ (Frank J. Goodnow) วิลเลี่ยม วิลลูบี (William ้ ท าให้ในระยะนี้รัฐประศาสนศาสตร์และวิชาการบริหารธุรกิจมีแนวนโยบายร่วมกันอย่างใกล้ชิดและทั้งสอง ลักษณ์วิชานี้ต่างให้การยกย่อง เฟรเดอริก เทเลอร์
(Frederick Taylor) กูลิค และ อวิค (Gulick and Urwick) นักรัฐประศาสนศาสตร์ทางยุโรปที่โด่งดังในสมัยเดียวกันกับ วูดโรว์ วิลสัน(Woodrow Wilson) ของอเมริกา ุ บิดาแห่งระบบราชการและเป็นบิดาแห่งรัฐประศาสนศาสตร์ทางยุโรป ส่วน วูดโรว์ วิลสัน(Woodrow Wilson) ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งรัฐประศาสนศาสตร์ในอเมริกา ซึ่งเราอาจสรุปได้ว่าแนวความคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีกรอบ ความคิด โดยมุ่งเน้นถึงเรื่องการแยกการเมืองออกจากการบริหาร และการสร้างหลักหรืกกฏเกณฑ์ที่เกี่ยวกับ ี ต่อมาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ในอเมริกาเริ่มเสื่อมลงเป็นล าดับจนถึงจุดต่ าสุดในปี ค.ศ.๑๙๖๘ ซึ่งเป็น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยมีการเลิกการสอนหรือการเปลี่ยนแปลงแนวการสอบรัฐประศาสนศาสตร์ไปเป็น ๑๒ ื่ การขาดเอกลักษณ์ทางลักษณะวิชา การศึกษาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ เกิดวิกฤตการณ์ทางด้านเอกลักษณ์ขึ้นมา ๒ ครั้งด้วยกัน คือ (๑) วิกฤตการณ์ทางด้านเอกลักษณ์ครั้งที่๑ (ประมาณปี ค.ศ.๑๙๕o-๑๙๖o) ท าเกิดทฤษฎีท้าทายโดยนักวิชาการรุ่นใหม่ๆบางท่านที่เริ่มเกิดความสงสัยในแนวความคิดหลักของ เกณฑ์ทางการบริหารที่อวดอ้างว่าสามารถสร้างหลักการบริหารที่เป็นสากลใช้ได้กับในทุกสถานการณ์ได้ ถึงกับ ่ เช่นบุคลิกภาพของคนในองค์การ โครงการทางสังคมและวัฒนธรรมต่างๆก็ขึ้นอยู่กับในแต่ละองค์การเป็น ส าคัญฉะนั้นการที่จะน าหลักการบริหารมาใช้กับในทุกสถานการณ์นั้นก็ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ส่วน เซสเตอร์ ไอ. บาร์นาร์ด (Chester I. Barnard)ได้มีความคิดเห็นว่า การศึกษาในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้นมักให้ความส าคัญกับโครงการสร้างของระบบการบริหารมากกว่า จึงได้เสนอมิติใหม่ให้มีการหันมาให้ความ ื ประชาธิปไตย และความสัมพนธ์ระหว่างการเมืองและการบริหารให้มากกว่าที่จะไปสนใจแต่เรื่องภายใน ระบบการเมืองและหน้าที่ของการก าหนดนโยบายมากกว่าที่จะสนใจแต่เรื่องกฏเกณฑ์การบริหาร ่ (๑)การแยกการเมืองออกจากการบริหารและ (๒) หลักหรือกฏเกณฑ์ทางการบริหารท าให้รัฐ ประศาสนศาสตร์ขาดคงามมีเอกลักษณ์โดยไม่รู้แน่ว่า แกนกลางลักษณะวิชาอยู่ตรงไหน มีขอบข่ายของ ลักษณะวิชาแค่ไหน และมีทิศทางอย่างไร จึงได้พยายามทีหาจุดสนใจร่วมของรัฐประศาสนศาสตร์ และได้มี ความเห็นพองต้องกันว่าการเรียนการสอนทางรัฐประศาสนศาสตร์ควรมีความสนใจร่วมกัน (Core beliefs) ๘ ๑๓ ในวิชาแกนกลางหลักๆอยู่ ๓ วิชา คือ การบริหารองค์การ การบริหารงานบุคคล และการบริหารงานคลังซึ่งใน ขณะเดียวกันก็ได้มีนักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับกรอบความคิดการแยกการบริหารออกจากการเมือง ื ผู้ต่อต้านแนวการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์แบบแยกการเมืองออกจากการบริหา ร (Polities/Administrative Dichotomy) คือ พอล แอพเพลบี (Paul H. Appleby) กับ ไดม๊อก และไดม๊อก (๒) วิกฤตการณ์ทางด้านเอกลักษณ์ครั้งที่ ๒ (ประมาณปี ค.ศ. ๑๙๖o-๑๙๗o) ท าให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ในช่วงที่เกิดทฤษฎีท้าทายได้มีการชี้ให้เห็น สภาพของวิชารัฐประศาสนศาสตร์ต้องตกอยู่ในสภาพที่อลเวงสับสนและขาดความเป็นเอกลักษณ์ เนื่องมาจาก (๓) การท าลายล้างค่านิยมการบริหารของทฤษฎีดั่งเดิม (๔)ความล้มเหลวในการท าให้วิชามีลักษณะแบบ รัฐประศาสนศาสตร์ประสบอยู่จนถึงปัจจุบันก็คือ “การขาดเอกลักษณ์ของวิชา” ท าให้รัฐประศาสนศาสตร์ไม่มี study) กันได้เท่านั้นเอง ซึ่งสภาพที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้ ล้วนเป็นแรงเป็นแรงผลักดันให้นักรัฐประศาสนศาสตร์ โดยเฉพาะ นักวิชาการรุ่นใหม่ๆทางรัฐประศาสนศาสตร์ในอเมริกามารวมตัวกันครั้งใหญ่ และมีการจัดประชุดที่หอประชุม (Minowbrook) ในปี ค.ศ. ๑๙๖๘ ณ มหาวิทยาลัย Syracuse โดยมี ดไวท์ วอลโด เป็นผู้ตามมาด้วย ั วิชาการว่ารัฐประศาสนศาสตร์จะไม่ต้องอยู่กับรัฐศาสตร์และฝุายบริหารธุรกิจอกต่อไปแล้ว และรัฐประศาสน ๙ ๑๔ ศาสตร์จะต้องมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และต้องท าให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและให้ ความส าคัญกับความเสมอภาคทางสังคม (Social Equity) และในช่วงนี้ก็ได้เกิดการปฏิวัติทางพฤติกรรมศาสตร์(Behavioral Revolution) ขึ้นมาในวงการ วิชาการท าให้เนื้อหาและวิธีการศึกษาวิชารัฐประศาสนศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปตามปรัชญาของพฤติกรรม ศาสตร์ ซึ่งต้องท าให้ต้องหันมาให้ความสนใจพฤติกรรมของคนมากขึ้น เช่น มีการให้ความสนใจเรื่องที่ สอดคล้องกับความต้องการทางสังคม (Relevance) ในความส าคัญเกี่ยวกับค่านิยม(Value) โดยรัฐประศาสน ศาสตร์จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือคนที่เสียเปรียบทางสังคมและให้ความเสมอภาคทางสังคม (Social Equity) นักรัฐประศาสนศาสตร์จะต้องเข้าไปช่วยคนจนหรือคนด้อยโอกาสหรือคนที่เสียเปรียบทาง สังคม โดยมีการกระจายการให้บริการให้ทุกคนในสังคมได้มีโอกาสเท่าเทียมกันในการได้รับการบริการ ื้ ความต้องการของคนในสังคม ๗.สรุปท้ายบท ื่ ตุลาการที่จะท าให้นโยบายแห่งรัฐบรรลุผลส าเร็จ ซึ่งโดยทั่วไปจะเขียนภาษาองกฤษด้วยอกษรน าหน้าตัว P เกี่ยวกับการด าเนินงานกิจกรรมต่างๆที่รัฐปฏิบัติเพอประโยชน์สาธารณะ
หรือเพอประชาชนโดยส่วนรวมนิยม (Interdisciplinary) ท าให้นักบริหารงานภาครัฐและฝุายปฏิบัติต้องมีองค์ความรู้ที่รอบด้านในการพฒนา ในสถานการณ์สภาพแวดล้อมปัจจุบัน ๑๕ ค าถามท้ายบท ๑. จงอธิบายถึงความหมายของรัฐประศาสนศานตร์ ๒. จงอธิบายถึงความส าคัญของรัฐประศาสนศาสตร์ ๓. จงอธิบายถึงสถานภาพของวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ๔.ของรัฐประศาสนศาสตร์มีความสัมพันธ์กับสาขาวิชาใดบ้าง ๑๖ อ้างอิงท้ายบท กวี รักษ์ชน. (บรรณาธิการ). การบริหารรัฐกิจ เบื้องต้น, พมพ์ครั้งที่ ๙, ( กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัย (กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๕). ชุบ กาญจนประกร, “รัฐประศาสนศาสตร์” ใน สังคมศาสตร์, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มงคลการพิมพ์, ๒๕๐๙). ประศาสนศาสตร, วิทยาลัยการบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา, ๒๕๕๖). พิทยา บวรเดช, รัฐประศาสนศาสตร์ : ทฤษฎีและแนวทางการศึกษา, (กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ อุทัย เลาหวิเชียร ปรัชญา เวสารัชช์ และเฉลิมพล ศรีหงษ์. (บรรณาธิการ), รัฐประศาสน ศาสตร์ : ขอบข่าย สถานภาพ และพัฒนาการในประเทศไทย, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ : แสงรุ้งการพิมพ, ๒๕๒๓). ์ Herbert A. Simon, Administrative Behavior, (New York : Macmillion Co., ๑๙๔๗). ๑๗ บทที่ ๒ ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration Theory) ิ ของต่างประเทศ และทฤษฎีหรือแนวคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์ของไทย วัตถุประสงค์ ๑.เพื่อศึกษาและเข้าใจทฤษฎีทางรัฐประศาสนศาสตร์ของต่างประเทศ ค าน า ก่อนที่จะท าความรู้จักกับทฤษฎีรัฐประศาสนาศาสตร์ ผู้ศึกษาควรจะทราบเสียก่อนว่าทฤษฎี ก็คือ การที่เราเอาสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมาเขียนให้สั้นมีความหมาย เราเรียกว่า ทฤษฎี ทางการบริหารคือเราไปดูว่ามีอะไร เกิดขึ้นจริงในระบบการบริหารเกิดขึ้นในองค์กรเราก็น าเอามาเขียนให้สั้นอย่างมีความหมาย เราเรียกว่าทฤษฎี ๑.ทฤษฎีทางรัฐประศาสนศาสตร์ของต่างประเทศ วิชารัฐประศาสนศาสตร์นั้น มีลักษณะส าคัญคือการเป็นสหวิชาการ (Interdisciplinary)ท าให้มีการขอ หยิบยืมแนวคิด ทฤษฎี รวมถึงวิธีการของสาขาวิชาอนๆมาใช้ ดังแนวความคิดและทฤษฎีทางรัฐประศาสน บริหารหรือจิตวิทยา ทั้งนี้ในบทนี้จะได้น าเสนอแนวคิดและทฤษฎีที่น่าสนใจ ๙ ประการด้วยกัน ได้แก่ ๑. ระบบราชการของ แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ๒. วิทยาศาสตร์การจัดการของเฟรเดอริก เทย์ เลอร์(Frederick Taylor) ๓. หลักการบริหารของเฮนรี่ ฟาโยล์(Henri Fayol) ๔. หลักการPOSDCoRBของ กูลิค และอูร์วิก(Luther H. Gulick and LyndallUrwick) ๖. ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของดักกลาส แมกเกรเกอร์ (Douglas McGregor) ๗. ทฤษฎี Z ของวิลเลี่ยม จี. โออชิ (William G. Ouchi) ๑๘ ๙. แนวทางการรื้อปรับระบบ (Reengineering) ของไมเคิล แฮมเมอร์ และเจมส์ แชมปี้ (Michale Hammer and James Champy) ๑.ระบบราชการของแม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เมื่อกล่าวถึงระบบราชการแล้วผู้อานหลายคนก็คงจะนึกถึงของ แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber)นักคิดผู้ โดยวิธีการจัดการองค์การแบบระบบราชการนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดไปว่าเป็นวิธีการจัดการที่ใช้กับงาน ื่ ก็สามารถน าระบบราชการไปใช้ได้เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ธนาคารกรุงเทพ อย่างไรก็ตามในยุคสมัยของ ี พนฐานของทฤษฎีระบบราชการนั้นมาจากแนวความคิดเรื่องอานาจของเวเบอร์ ดังนั้นก่อนที่จะได้ กล่าวถึงระบบราชการจึงจะได้กล่าวถึงแนวคิดเรื่องอานาจอนชอบธรรมของเขาเสียก่อน โดยเวเบอร์เห็นว่า ั ๑. อ านาจที่เกิดจากจารีตประเพณี (Traditional) อ านาจชนิดนี้เกิดจากความเชื่อในอานาจหรือความศักดิ์สิทธิ์ของขนบธรรมเนียมประเพณีหรือจารีตที่ พระมหากษัตริย์นั้นเป็นผู้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เสมือนหนึ่งเป็นเทพเจ้าหรือเป็นอวตารของเทพเจ้าที่ลงมายังโลก ั ิ ิ ภักดี หรือเกรงกลัวอยากจะด าเนินการตามผู้น า อยากเลียนแบบผู้น า และเคารพเชื่อฟังผู้น า ๓. อ านาจที่เกิดจากการอ้างตามเหตุผล(Rational) อานาจที่มาจากการอางตามเหตุผลนี้มีที่มาจากความเชื่อในความมีเหตุผลของ “กฎหมาย” ถือว่า ๑๙ ต่างๆจึงอยู่ภายใต้กฎหมาย ผู้ปกครองอาจจะได้อานาจในการกระท าการต่างๆตามที่กฎหมายบัญญัติเอาไว้ซึ่ง อานาจหน้าที่ตามกฎหมายนี้มีตั้งแต่ระดับบนสุดจนกระทั้งระดับล่างสุดในระดับบนเช่น การที่กฎหมายให้ อ านาจแก่นายกรัฐมนตรีส าหรับการบริหารกิจการของรัฐบาลส่วนในระดับล่างก็เช่น การที่กฎหมายได้อานาจ ้ อ านาจจาก ๓ แหล่งนี้แตกต่างกันตรงที่ว่าอานาจที่เกิดจากการอางตามเหตุผลหรืออานาจหน้าที่ตาม บุคคลนั้นเข้ารับต าแหน่งอย่างถูกต้องตามกฎหมายย่อมมีสิทธิอานาจในการบังคับบัญชาภายใต้ขอบเขตที่ ั
กับประชาชนขึ้นอยู่กับความจงรักภักดีที่ประชาชนมีให้ต่อตัวผู้ปกครองเป็นส าคัญ และในส่วนของอานาจที่เกิด ้ ในทัศนะของแม็ก เวเบอร์ นั้นเห็นว่าอานาจที่เกิดขึ้นจากการอางตามเหตุผลหรืออานาจหน้าที่ตาม ราชการ เนื่องจากอานาจหน้าที่ตามกฎหมายสามารถบังคับเอาความมีเหตุมีผลออกมาจากตัวข้าราชการได้ การที่การจัดองค์การด้วยระบบราชการการอยู่เหนือการจัดองค์การในรูปแบบอนๆ ก็ด้วยระบบนี้มีความ ขึ้นจะก่อให้เกิดผลลัพธ์เป็นการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพสูง การจัดองค์การด้วยระบบราชการมีหลักการที่เป็นลักษณะส าคัญ ๖ ประการ ได้แก่ ๑. Hierarchy : หลักสายการบังคับบัญชา ๒. Rules and Regulations : หลักกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ๓. Division of Labo r: หลักการแบ่งแยกแรงงาน ๔. Impersonality : หลักการแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน ๖. Formal written records : หลักการปฏิบัติงานแบบลายลักษณ์อักษร ๑) Hierarchy : หลักสายการบังคับบัญชา สายการบังคับบัญชา หมายถึง แผนผังความสัมพันธ์ในการปฏิบัติงานตามล าดับชั้นระหว่างผู้บังคับบัญชา กับผู้ใต้บังคับบัญชาในองค์กร ๒๐ สายการบังคับบัญชาเป็นเครื่องบ่งบอกถึงอานาจในการบังคับบัญชาจากเบื้องสูงลงไปสู่เบื้องล่างทีละ ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่งมีขอบเขตความรับผิดชอบในการบังคับบัญชาใครบ้างหรือกล่าวแบบง่ายๆก็คือ หัวหน้า หนึ่งคนมีลูกน้องอยู่กี่คนนั้นเอง สิ่งส าคัญประการหนึ่งในระบบสายบังคับบัญชาที่ควรต้องจดจ าเอาไว้คือ “ผู้บังคับบัญชาหนึ่งคนจะม ี
ผู้ใต้บังคับบัญชากี่คนก็ได้ แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาหนึ่งคนจะมผูใต้บังคับบัญชาได้เพียงคนเดียว”เนื่องจาก บอกให้ไปทางซ้าย แต่เจ้านายคนที่๒ บอกให้ไปทางขวา แล้วผู้ใต้บังคับบัญชาจะปฏิบัติตามค าสั่งอย่างไร ๒) Rules and Regulations : หลักกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หลักการข้อนี้ คือ อานาจหน้าที่ต่างๆที่จะมอบให้บุคลากรให้องค์กร ข้อที่ต้องปฏิบัติ ข้อห้ามการปฏิบัติ ระบบการสั่งการ รวมถึงกระบวนการท างานในองค์กร ต้องมีก าหนดไว้เป็นลากลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน ทั้งนี้ก็ เพอที่จะให้เกิดความแน่นอนในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะท าให้การปฏิบัติงานท าได้รวดเร็วขึ้น ลดการสื่อสารใน ในระบบราชการไทย ระเบียบส านักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.๒๕๒๖ ได้ก าหนดวิธีการปฏิบัติ เกี่ยวกับ “หนังสือภายใน” เอาไว้ในข้อ ๑๒ ดังนี้ ข้อ ๑๒ หนังสือภายใน คือ หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีน้อยกว่าหนังสือภายนอกเป็นหนังสือ ติดต่อภายในกระทรวง ทบวง กรม หรือจังหวัดเดียวกันใช้กระดาษบันทึกข้อความ และให้จัดท าตามแบบที่ ๒ ท้ายระเบียบโดยกรอกรายละเอียดดังนี้ ี ระดับกรมและกอง ถ้าส่วนราชการที่ออกหนังสืออยู่ในระดับต่ ากว่ากรมลงมาให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่อง ี ิ่ ๑๒.๓ วันที่ ให้ลงตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือนและตัวเลขของปีพทธศักราชที่ออกหนังสือ ปกติให้ลงเรื่องของหนังสือฉบับเดิม ๒๑ ๑๒.๕ ค าขึ้นต้น ให้ใช้ค าขึ้นต้นตามฐานะของผู้รับหนังสือตามตารางการใช้ค าขึ้นต้นสรรพนาม และ ค าลงท้ายที่ก าหนดไว้ในภาคผนวก ๒ แล้วลงต าแหน่งของผู้ที่หนังสือนั้นมีถึง หรือชื่อบุคคลในกรณีที่มีตัวบุคคล ไม่เกี่ยวกับต าแหน่งหน้าที่ ๑๒.๖ ข้อความ ให้ลงสาระส าคัญของเรื่องให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายหากมีความประสงค์หลายประการ ให้แยกเป็นข้อๆ กรณีที่มีการอ้างถึงหนังสือที่เคยมีติดต่อกันหรือมีสิ่งที่ส่งมาด้วย ระบุไว้ในข้อนี้ ๑๒.๗ ลงชื่อและต าแหน่ง ให้ปฏิบัติตามข้อ ๑๑.๑o และข้อ ๑๑.๑๑ โดยอนุโลมในกรณีที่กระทรวง ื่ บุคลากร เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการเมื่อต้องปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับ “หนังสือภายใน”แล้วก็ต้อง ด าเนินการตามระเบียบส านักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณแบบนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี่คือตัวอย่างของ หลักกฎ ระเบียบ และข้อบังคับ ๓) Division of Labor: หลักการแบ่งแยกแรงงาน หลักการแบ่งแยกแรงงานนี้ นับเป็นหนึ่งในแนวคิดส าคัญเกี่ยวกับการปฏิบัติงานเลยทีเดียวหลักการนี้คือ การก าหนดว่างานแต่ละอย่างในองค์กรนั้นจะต้องมีผู้รับผิดชอบประจ าเป็นต าแหน่งๆไป การแบ่งงานกันท าจะ ท าให้บุคลากรที่ต้องปฏิบัติงานนั้นๆ ซ้ าไปซ้ ามาเกิดความช านาญงานเฉพาะอย่าง (specialization) การท างานก็จะเกิดประสิทธิภาพสูงผลผลิตเพิ่มขึ้นผลงานมีความถูกต้องแม่นย าสูง ๔) Impersonality: หลักการแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน การแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานหรือก็คอการที่บุคลากรต้องการแยกผลประโยชน์ส่วนตัวออกจาก ส่วนรวมขององค์การ บุคลากรจะต้องไม่น าเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาปะปนกับเรื่องงานต้องไม่น าความรัก ชอบ โกรธ เกลียด ส่วนตัวมาท าให้งานที่รับผิดชอบเกิดความเสียหาย ๕) Competence:หลักการยึดหลักความสามารถในการท างาน หลักความสามารถเป็นส่วนหนึ่งของระบบคุณธรรม ที่ส่งเสริมคนให้มีความเจริญก้าวหน้าได้ด้วยการเล่น พรรคพวก การเลือกที่รักมักที่ชัง ซึ่งเป็นวิธีการของระบบอปถัมภ์ เมื่อองค์กรส่งเสริมคนตามความสามารถ การแสดงให้เห็นเส้นทางความก้าวหน้าในสายงานหรืออาชีพของเขา และเมื่อเป็นเช่นนี้ บุคลากรก็จะเริ่ม แข่งขันกันด้วยการสร้างผลงานมากกว่าการเลียแข้งเลียขาผู้บังคับบัญชา ๒๒ ๖) Formal written records : หลักการปฏิบัติงานแบบลายลักษณ์อักษร สิ่งนี้ก็คือ บรรดาบันทึกข้อความ จดหมายรายงานต่างๆนั่นเอง วัตถุประสงค์ของหลักการนี้ก็เพอให้การ ้ ๒.วิทยาศาสตร์การจัดการของ เฟรเดอริก เทย์ เลอร์(Frederick Taylor) เฟรเดอริก เทย์เลอร์ ( Frederick Taylor) มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ.๑๘๕๖ – ๑๙๕๑ คือผู้ที่ได้รับ การขนานนามว่าบิดาแห่งวิทยาศาสตร์การจัดการ เป็นวิศวกรชาวอเมริกัน ผลงานชิ้นส าคัญของเขาคือ หนังสือเรื่องหลักการและจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( The Principles of Scientific Management ) ์ (One Best Way) ซึ่งการที่จะหาหนทางที่ดีที่สุดในการท างานมาให้ได้นั้น ต้องด าเนินการกรรมวิธีเรียกว่า การวิเคราะห์งาน นั่นคือการแจกแจงแยกแยะงานแต่ละอย่างออกเป็นส่วนๆให้เล็กที่สุด จากนั้นก าหนดว่าอะไร เป็นผลที่เกิดขึ้นจากงานนั้นๆ มีงานส่วนไหนบ้างที่ไม่มีความจ าเป็น การวิเคราะห์งานแบบนี้เทย์เลอร์เห็นว่า ื้ เทย์เลอร์ ได้น าเสนอหลักการส าหลับการปรับปรุงประสิทธิภาพในการท างานให้ดีขึ้นดังต่อไปนี้ ๑. ผู้บริหารจะต้องมีความรับผิดชอบในเรื่องของการวางแผนการท างานควรจะต้องมีวิธีการท างาน อย่างไร งานที่ต้องด าเนินการจ าเป็นต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้าง เครื่องมือที่เหมาะสมกับการท างานเป็น อย่างไร ี ๓. ไม่ควรจ ากัดผลผลิตของคนงาน (ว่าเอาแต่มาตรฐานเท่านั้น) แต่ควรมุ่งเน้นไปที่ผลผลิตสูงสุด โดยต้อง ใช้การเสนอค่าจ้างแบบจูงใจ พร้อมทั้งมีการก าหดมาตรฐานของงาน การเลือกเครื่องมือที่ถูกต้อง การฝึกอบรมหรือการสอนวิธีการท างานที่ถูกต้องให้แก่คนงาน ทั้งนี้เพอยกระดับมาตรฐานการท างาน ๒๓ ในการท างานของตนเองให้มากขึ้น ให้สูงกว่ามาตรฐานเพราะมีค่าจ้างงานที่สูงขึ้นเป็นแรงจูงใจท าให้ ผู้บริหารสามารถเลือกจ้างแต่ละคนงานที่มีประสิทธิภาพได้ เทย์เลอร์ เห็นว่าหากการด าเนินการตามแนวทางวิทยาศาสตร์การจัดการแล้วจะสามารถลดความขัดแย้ง ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างได้ เนื่องจากทุกฝุายต่างมีความเข้าใจในหลักเกณฑ์ของการท างานเป็นอย่างดีและ คนงานก็สามารถได้รับค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้นหากเพิ่มประสิทธิภาพในการท างานของตนเองให้สูงกว่ามาตรฐาน ได้ วิทยาศาสตร์ของเทย์เลอร์นี้แม้ว่าจะดูเป็นสิ่งที่มีความเป็นเหตุผลสูง แต่ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้ง การถูกปฏิเสธจากสหภาพการค้า แนวทางการบริหารของเทย์เลอร์ถูกปฏิเสธจากสหภาพการค้าของ สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าวิทยาศาสตร์การจัดการเป็นวิธีใหม่ในการใช่ประโยชน์ของชนชั้นแรงงานมากขึ้นแต่มติ หนึ่งของสหภาพแรงงานอเมริกัน (The American Federation of Labour) ยังเรียกมันว่าแผนที่โหดร้าย ในการลดความเป็นมนุษย์ให้เป็นแค่เครื่องจักรคนงานถูกบอกให้ท าตัวเหมือนเครื่องจักร ี การฝึกอบรมกลัวว่าจะถูกเทย์เลอร์กล่าวหาว่ามีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมในการบริหารเป็นที่น่าสังเกตว่า เทย์เลอร์ถูกบังคับให้ออกจากต าแหน่งแรกของเขาที่ The Midvale Steel Works เพราะการขัดแย้งกับ ผู้จัดการบริษัทกระทั่งในที่สุดเมื่อ ๑ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๐๑ บริษัทก็ให้เขาออก การสอบสวนวิธีการของเทย์เลอร์โดยคณะกรรมการคองเกรส ในปี
ค.ศ. ๑๙๑๒ คณะกรรมการพเศษ ผลที่ตามมาในค.ศ.๑๙๑๕ ก็คือ พวกเขาได้ออกกฎหมายห้ามการใช้นาฬิกาจับเวลาหรือการจ่ายโบนัสในกรม สรรพาวุธของกองทัพ กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในปัจจุบันนี้แนวทาง วิธีการแบบวิทยาศาสตร์การจัดการของเทย์เลอร์ยังเป็นสิ่งที่ได้รับการน ามาใช้อยู่เสมอ โดยเฉพาะในโรงงาน ต่างๆ ซึ่งแม้ว่าหนทางที่ดีที่สุดในการท
างานจะเป็นยอดปรารถนาในการบริหารงาน แต่จุดออนที่สุดของ ฟอกช์คอนน์ เทคโนโลยี กรุ๊ป (Foxconn Technology Group) ซึ่งมีบริษัทแม่คือ หงไห่ พรี ซีซัน ิ ๑๐ ๒๔ ิ หลายแห่งในมณฑลต่างๆ ของแผ่นดินใหญ่ มีคนงานโรงงานฟอกช์คอนน์ไท่หยวน มีคนงาน ๗๙,๐๐๐ คน ่ เมื่อวันที่ ๓ พ.ค. ๒๕๕๔ ระบุว่าเงื่อนไขการท างานที่เลวร้ายมาก คนงานฟอกช์คอนน์ต้องท างานล่วงเวลา ๘๐ – ๑๐๐ ชั่วโมงต่อเดือน นอกเหนือไปจากเวลาที่ต้องท างานปกติเดือนละ๑๗๔ชั่งโมง ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมาย จีนก าหนดไว้ถึง ๓ เท่า ทั้งนี้ แรงงานส่วนมากต้องท างานล่วงเวลาให้มากที่สุดเพราะว่าเงินเดือนปกติพอ ประทังชีวิต เงินเดือนของฟอกช์คอนน์อยู่ที่ ๒๐๐ เหรียญหรือประมาณ ๖๐๐๐ บาท นอกจากนี้โฆษก Geoffrey Crothallของ China Labour Bulletin ซึ่งมีฐานในฮองกงระบุฟอกช์คอนน์เลี่ยงสื่อในด้านการ หน่วยหนึ่งของการผลิตหมือนหุ่นยนต์ ไม่ใช่มนุษย์ ี มนุษย์ให้เจอเพื่อที่คนงานในระบบเช่นนี้จะได้ไม่เป็นเพียงเครื่องจักรกลที่มีลมหายใจ แต่วิธีการที่ว่านี้ก็ดูจะเป็น เรื่องที่ท าได้ยากแสนภายใต้แนวคิดแบบก าไรสูงสุด ๓.หลักการบริหาร ของ เฮนรี่ ฟาโยล์ ( Henri Fayol) เฮนรี ฟาโยล์ เป็นชาวฝรั่งเศส มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. ๑๘๔๑ – ๑๙๒๕ เขามีอาชีพเป็นวิศวกรเหมือง แร่และของบริษัทเหมืองแร่ การที่เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้บุกเบิกทฤษฎีหลักการบริหาร ฟาโยล์มีทัศคติ ต่อการบริหารว่าเป็นกิจกรรมของทุกๆคน คนไม่ว่าจะเป็นในบ้านในธุรกิจเอกชนหรือภาครัฐบาล เขาเน้นย้ าว่า ไม่มีทฤษฎีทางการบริหารทฤษฎีหนึ่งส าหรับเรื่องราวของรัฐและเมื่อการผู้ที่สนับสนุนให้มีการฝึกอบรมทางการ บริหารส าหรับบุคลากรทุกๆระดับ เพราะเขาไม่เชื่อว่าการบริหารจะสามารถพัฒนาได้จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพียงล าพัง ฟาโยล์ให้ความส าคัญกับการบริหารมากจนถึงเสนอว่าการเรียนการสอนด้านการบริหารนั้นควรจะมี ตั้งแต่ในโรงเรียนประถมเลยทีเดียวและเพื่อท าให้บริหารด าเนินไปอย่างถูกต้องเหมาะสมการบริหารทุกอย่างจึง ควรที่จะใช้หลักการเดียวกัน ฟาโยล์ ให้ความส าคัญกับการด าเนินงานขององคกรแบบบนสู่ล่าง (Top-Down ) เขาได้ใช้เวลายาวนานในการพัฒนาทฤษฎีในการบริหารและในที่สุดเขาก็ได้ข้อก าหนดหลักกานบริหาร ๑๔ ข้อ โดยเขามองว่าหลักการนี้มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะปรับใช้ได้กับการด าเนินการทุกๆองค์กร มีดังต่อไปนี้ ๒๕ ๑. การแบ่งงานกันท า ( Division of work ) หลักการท างานของฟาโยล์ก็เป็นเช่นเดียวกับการแบ่งแยกโรงงานของแมกช์ เวเบอร์ นั่นคือการ แบ่งแยกหน้าที่ในการท างานตามแนวราบ บุคลากรแต่ละคนต้องช านาญเฉพาะอย่าง ซึ่งจะก่อให้เกิดความ ช านาญงานอย่างเฉพาะ(specialization )ขึ้น ฝุายธุรกิจ ฝุายผลิต ฝุายบุคคล ฝุายการเงิน ฝุายขนส่ง เป็นต้น ๒. อ านาจหน้าที่และความรับผัดชอบ ( Authority And Responsibility ) ั อานาจหน้าที่และความรับผิดชอบนั้นเป็นของที่ต้องอยู่คู่และมีความสัมพนธ์กันอย่างใกล้ชิดเพราะ ื่
บุคลากรใดมีอานาจหน้าที่สูงขึ้นแล้วบุคลากรนั้นจ าเป็นต้องมีความรับผิดชอบสูงขึ้นตามไปด้วยทั้งนี้ บุคลากรยอมรับความรับผิดชอบในขณะที่มีอานาจหน้าที่ องค์กรที่ประสบความส าเร็จนั้นมักเป็นองค์กรที่มีบุคลากรที่เป็นผู้มีวินัยปฏิบัติข้อบังคับที่องค์กร ก าหนดไว้เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทุกๆคนการสร้างวินัยให้เกิดขึ้นในตัวบุคลากร ขององค์กรเป็นหน้าที่ส าคัญของผู้น าองค์กร ดังนั้นจึงต้องมีการก าหนดบทลงโทษให้ชัดเจนและยุติธรรม บังคับใช้โดยทั่วไปเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรมีระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ๔. เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unityof command) หลักการของเรื่องนี้คือ การที่เจ้านายคนหนึ่งจะมีลูกน้องกี่คนก็ได้แต่ข้อส าคัญคือลูกน้องคนหนึ่ง ี ๕. เอกภาพในการอ านวยการ (Unity of direction) เอกภพในการอานวยการคือการที่องค์กรหนึ่งๆควรมีเปูาหมายหลักอยู่เพยงเปูาหมายเดียวและ ื่ ทิศทางเดียวกันด้วย ๒๖ ๖. การค านึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมมากกวาผลประโยชน์ส่วนตัว (Subordination of การปล่อยให้ผลประโยชน์ส่วนตัวของบุคลากรคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาอยู่เหนือ ผลประโยชน์ขององค์กรแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับการจ้างโจรมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนั่นเอง ทั้งนี้ หลักการ นี้ยังรวมไปถึงเรื่องของการน าเอาอารมณ์ส่วนตัวมาปะปนกับกับท างานอีกด้วย ๗. การให้ผลประโยชน์ตอบแทน (Remuneration) การจ่ายค่าตอบแทนแก่บุคลากรควรเป็นไปตามความยุติธรรมในการให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ ิ ๘. การรวมอ านาจ (Centralization) การรวมอานาจเข้าสู่ศูนกลางนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติขององค์ขนาดใหญ่ทั่วไป แม้ว่าจะได้มีการแบ่ง อานาจออกไปให้ผู้บังคับบัญชาชั้นต่างๆก็ตาม แต่ที่สุดอานาจการตัดสินครั้งสุดท้ายก็ยังคงเป็นของ ผู้บังคับบัญชาขั้นสูงสุดอยู่ดี ทั้งนี้การที่องค์กรใดจะแบ่งอานาจหรือกระจายอานาจไปแต่ระดับชั้นแค่ไหน อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสภาพหรือองค์กรนั้นๆเป็นส าคัญ ๙. สายการบังคับบัญชา (Scalar chain) สายการบังคับบัญชานี้ฟาโยล์แสดงให้เห็นว่าผู้บังคับบัญชาในแต่ละดับชั้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของอานาจ หน้าที่ซึ่งต่อเนื่องกันเป็นห่วงโซ่ ดังนั้น การติดต่อสื่อสารกันระหว่างของบุคลากรที่อยู่ต่างแผนกกัน ในองค์กรเป็นทางการจึงต้องด าเนินการไปตามล าดับชั้นของการบังคับบัญชาหรือสายการบังคับบัญชา แต่วิธีการเช่นที่ว่านี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายเกินความจ าเป็นขึ้นมา ๑๐ การจัดระเบียบ (Order) ุ สิ่งของ อุปกรณ์ การจัดระเบียบควรอยู่ใต้หลักการที่ว่า หยิบก็ง่าย หายก็รู้ ดูก็งามตา ส่วนการจัดระเบียบ ของบุคลากรควรอยู่ภายใต้หลักการใช้คนให้ถูกงาน เพราะบุคลากรแต่ละคนควรอยู่ในต าแหน่งไหนที่ เหมาะสมกับคุณสมบัติและความสามารถ ๑๑ ความเสมอภาค (Equity) บุคลากรทุกคนในองค์กรควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคหรือเท่าเทียมกันเข้าท านอง ฝนตกทั่วฟูา เท่าที่จะสามารถเป็นไปได้หรืออาจกล่าวอกอย่างหนึ่งได้ว่าปฏิบัติต่อบุคลากรในกรณีเดียวกัน ๒๗ ๑๒ ความมั่นคงในหน้าที่การงาน (Stability of tenure of personnel) ความมั่นคงในหน้าที่การงานของบุคลากรถือเป็นขวัญใจก าลังใจประการส าคัญของบุคลากรที่มี หลักประกันว่าบุคลากรจะไม่ถูกไล่ออกจากงานโดยไม่มีเหตุผลหรือไม่มีความผิดตามกฎระเบียบข้อบังคับ ที่องค์กรได้ก าหนดไว้จึงเป็นเรี่องส าคัญ ๑๓ ความคิดริเริ่ม (Initiative) ความคิดริเริ่มถือเป็นอาวุธส าคัญประการหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กร ดังนั้นผู้บริหารที่ ดีจึงต้องส่งเสริมบุคลากรให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ปัจจัยส าคัญประการหนึ่งคือ ื่ ๑๔ ความสามัคคี (Esprit de corps of union is strength) ิ่ หลักการบริหารของเฮนรี ฟาโยล์ มีเนื้อหาที่ครอบคลุมการปฏิบัติงานเกี่ยวกับองค์กรอย่างกว้างขวาง แต่ก็ให้ความส าคัญเกี่ยวกับเรื่องประสิทธิภาพในการท างาน การตอบสนองต่อความรู้สึกของบุคลากร และการบริหารงานที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมภายในองค์กร อย่างไรก็ดี คุณูปการส าคัญที่เฮนรี ฟาโยล์ ได้มอบให้แก่การศึกษาศาสตร์การบริหารก็คือ ความพยายามในการวางหลักการทางการบริหารที่เป็น สากลขึ้นมา ๔.หลักการ POSDCoRB ของ กูลิค และอูร์วิก( Luther H. Gulick and LyndallUrwick) ภายหลังจากที่เฮนรี ฟาโยล์ ได้วางหลักการบริหาร ๑๔ ข้อ เอาไว้แนวคิดเกี่ยวกับหลักการบริหาร ั หลักการบริหารเอาไว้ กูลิค เป็นชาวอเมริกันแต่เขาเกิดที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุุน ใน ค.ศ. ๑๙๘๒ จบการศึกษาปริญญาเอก ู ๒๘ ื่ ๑. Planning การวางแผน ๒. Organizing การจัดองค์การ ๓. Staffing การบริหารงานบุคคล ๔. Directing การอ านวยการ ๖. Reporting การรายงาน ๗. Budgeting การงบประมาณ Planning การวางแผน คือ การก าหนดเปูาหมาย หรือวัตถุประสงค์ขององค์กรว่าจะด าเนินการไปได้ อย่างไร และวิธีการปฏิบัติที่จะท าให้บรรลุเปูาหมายนั้นต้องด าเนินการอย่างไรบ้าง
Organizing การจัดองค์การ คือ การจัดตั้งโครงสร้างอ านาจอย่างเป็นทางการภายในองค์กร เพอให้ ระเบียบ Staffing การบริหารงานบุคคล คือ การด าเนินการเกี่ยวกับการสรรหา บรรจุ พัฒนารักษาบุคลากรองค์กร รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการท างานให้เกิดขึ้นภายในองค์การด้วย Directing การอานวยการ คือ การตัดสินใจด าเนินการเรื่องต่างๆ และแปลงการตัดสินใจนั้นออกมาเป็น ผู้บังคับบัญชาอีกด้วย Coordinating การประสานงาน คือ การเชื่อมโยงการท างานของหน่วยงานต่างภายในองค์กรเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการท างานที่มีความสอดคล้อง สัมพันธ์และไปในทิศทางเดียวกันกับเปูาหมายขององค์กร ี Budgeting การงบประมาณ คือ การวางแผนรายรับ-รายจ่าย รวมทั้งการจัดท าบัญชีขององค์กร ื้ |