ถ้าถามว่า ‘แสงแดด’ ในช่วงเวลาไหนที่มีความร้อนและอันตรายมากที่สุด ก็คงตอบได้อย่างไม่ยากว่าเป็นช่วง 10 โมงถึงบ่าย 2 แล้วการที่จะต้องโดนแสงแดดในช่วงเวลาดังกล่าวส่องเป็นระยะเวลานาน แม้แต่กับผิวหนังของมนุษย์ ยังอาจทำให้เกิดอาการแดงและไหม้ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่มีโอกาสอยู่กลางแจ้งมากกว่าคนเราถึงหลายเท่าตัว Show
หลายคนคงสงสัยแล้วว่า คนยังสามารถทาครีมกันแดดหรือกางร่มเพื่อป้องกันได้ แล้วสำหรับรถยนต์จะทำอย่างไร คำตอบก็คือ ‘ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์’ นั่นเอง ตัวช่วยที่ดีที่สุด วันนี้ Topfilm Thailand จะมาแนะนำว่าเลือกอย่างไรดี อ่านเพิ่มเติม: ยี่ห้อฟิล์มติดรถยนต์ที่ดี มีอะไรบ้าง Topfilm ยินดีให้คำปรึกษา เรื่องการติดฟิล์มรถยนต์ประเภทต่างๆ ติดต่อเราสิครับติดฟิล์มกรองแสงมีประโยชน์อย่างไร?การติดฟิล์มกรองแสงให้กับรถยนต์นั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แน่นอน สำหรับคนที่เพิ่งซื้อรถมาใหม่ ยังไงก็ต้องคิดเรื่องนี้เป็นลำดับแรกๆ เพราะมันมีหน้าที่หลักคือการป้องกันความร้อนและรังสีจากดวงอาทิตย์นั่นเอง ฟิล์มกรองแสงนอกจากจะกรองแสงสว่างแล้ว ยังทำให้อุณหภูมิภายในรถไม่ร้อนจนเกินไป ไม่จำเป็นต้องเร่งแอร์ให้เย็นขึ้น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ในห้องโดยสารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังช่วยให้มีทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้นเพราะกรองแสงไม่ให้แยงตาอีกด้วย โดยฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ในยุคนี้มีให้เลือกหลายชนิดหลายประเภท แต่ที่เราจะพูดถึงก็คือ ‘ฟิล์มกรองแสงเซรามิค VS ฟิล์มดำ’ ว่ามันจะดีและมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง อ่านเพิ่มเติม: ประโยชน์ของฟิล์มกรองแสงที่คุณคาดไม่ถึง ฟิล์มดำธรรมดาคืออะไร?ก่อนจะไปพูดถึงฟิล์มเซรามิคที่จะยกมาเปรียบเทียบ เราควรจะมารู้จัก ‘ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ธรรมดาทั่วไป’ กันก่อนว่ามันเป็นอย่างไร? คุณสมบัติของฟิล์มกรองแสงธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็คือ ฟิล์มกรองแสงแบบดำธรรมดาผลิตมาจากพลาสติกโพลิเอสเตอร์ประเภทนี้ เป็นฟิล์มกรองแสงแบบย้อมสีให้มีความดำเข้มเท่านั้น (Dye Film) ไม่มีสารกรองแสงประเภทต่างๆ มีหน้าที่ลดความเข้มข้นของแสงจากดวงอาทิตย์ให้มีระดับที่น้อยลง มีความบางมาก หนาประมาณ 1 Mill (1/1000นิ้ว ไม่ใช่ 1 มิลลิเมตร) เท่านั้น สำหรับการสะท้อนรังสีความร้อนนั้นสามารถทำได้บางส่วน แต่ไม่สามารถกรองรังสีที่เป็นอันตรายเช่นรังสี UV ออกไปได้ ไม่ได้มีการเคลือบสารอะไรเพื่อป้องกันรังสี นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ ฟิล์มดำธรรมดาไม่สามารถลดความร้อนสะสมภายในห้องโดยสารได้ด้วย ฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้เป็นที่นิยมมากในช่วงสมัยก่อน เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว จนมาถึงปัจจุบันเหมาะสำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด แต่อยากลดแสงแดดลงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ราคาติดตั้งฟิล์มรถยนต์ถูกมาก เพียงคันละ 1,000-2,000 บาทเท่านั้น ซึ่งในช่วงหลังๆ มีการพัฒนาฟิล์มที่ดีขึ้นกว่าฟิล์มดำธรรมดาขึ้นมา เราเรียกฟิล์มประเภทนี้ว่า ฟิล์มดำคาร์บอน นั่นเอง ฟิล์มดำคาร์บอน คืออะไร?ฟิล์มดำคาร์บอน หรือ ฟิล์มคาร์บอน (Carbon Film) ลักษณะภายนอกเป็นฟิล์มดำเหมือนกัน แต่ต่างกันที่กระบวนการผลิต ที่มีการฝังอนุภาคคาร์บอนลงในเนื้อฟิล์ม ทำให้สามารถป้องกันรังสีความร้อน Infarred ได้บางส่วน ไม่สะท้อนแสง และไม่รบกวนสัญญาณ GPS ฟิล์มดำคาร์บอน ถือว่าเป็นฟิล์มรุ่นที่ upgrade มาจากฟิล์มดำธรรมดา สีซีดยากกว่า และมีความทนทานมากกว่าฟิล์มดำธรรมดา ราคาติดตั้งประมาณคันละ 3,000-5,000 บาท หลายคนยังอ่านเพิ่มเติม: วิธีอ่านSpecฟิล์มกรองแสงให้ถูกต้อง เมื่อรู้จักฟิล์มกรองแสงธรรมดาทั่วไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องมารู้จักกับ ‘ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์แบบเซรามิค’ หรือหลายคนอาจเคยได้ยินในชื่อว่า ‘ฟิล์มนาโนเซรามิค’ ซึ่งแน่นอนว่ามันแตกต่างจากฟิล์มธรรมดาอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงกระบวนการผลิตนั่นเอง ฟิล์มเซรามิคคืออะไร?ฟิล์มเซรามิค คือ ฟิล์มกรองแสงที่ผลิตโดยการเคลือบเซรามิคอนุภาคเล็กระดับนาโน ประมาณ 65 นาโนเมตร (0.000000065 m) มาทำการเคลือบหรือฝังลงบนเนื้อฟิล์ม ซึ่งจะทำให้มีความสามารถในการกรองแสง กรองรังสีต่างๆ ได้ละเอียดกว่าฟิล์มธรรมดาทั่วไปอย่างชัดเจน สามารถป้องกันรังสี UVA UVB ได้ 99.9% และรังสีอินฟราเรด(IR) ได้สูงมากกว่า 80% ไม่มีส่วนผสมของโลหะ คาร์บอน หรือสีย้อมในแผ่นฟิล์ม จุดเด่นของฟิล์มเซรามิค คือ ฟิล์มมีความแข็งแรงทนทาน ดำนอกสว่างใน คมชัด ไม่สะท้อนแสง ป้องกันรังสีความร้อนได้สูงมากอีกด้วย จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในช่อง 3-5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งราคาติดฟิล์มรถยนต์เซรามิค ก็ค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน แต่แนวโน้มของราคาฟิล์มเซรามิคก็ค่อยๆราคาถูกลงเรื่อยๆ จากติดฟิล์มเซรามิคคันละเป็นหมื่นบาท มาถึงในปัจจุบันก็ราคาเพียงไม่กี่พันบาท ก็สามารถติดฟิล์มเซรามิคได้แล้ว ซึ่งอนุภาคเซรามิคในปัจจุบัน จะมีตัวที่นิยมใช้ในการเคลือบฟิล์มกรองแสง มีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ ITO (Indium Tin Oxide), ATO (Antimony Tin Oxide) และ TiN (Titanium Nitride) ซึ่งราคาและความคมชัดของอนุภาคเซรามิคทั้ง 3 ชนิด ต่างกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ ฟิล์มเซรามิคมีหลากหลายเกรด ราคาถูกแพงต่างกันนั่นเอง ขอบคุณข้อมูลจาก: https://ceramicpro.com/what-is-a-ceramic-window-tint/ อยากรู้ข้อมูลฟิล์มเซรามิคอย่างละเอียด อ่านบทความเพิ่มเติม: ฟิล์มเซรามิคยี่ห้อไหนดี คิดราคาอย่างไร ยังไม่แน่ใจว่าติดฟิล์มดำ หรือฟิล์มเซรามิคดี ปรึกษาเราสิครับเมื่อรู้จักฟิล์มติดรถยนต์ทั้ง 2 ประเภทไปพอสมควรแล้ว ว่าแต่ละอย่างมีกระบวนการผลิตอย่างไร? และมีความสามารถในการกรองแสงได้มากน้อยแค่ไหนบ้าง? เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราจะมาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย ของฟิล์มกรองแสงธรรมดาทั่วไปกับฟิล์มกรองแสงแบบเซรามิคกันว่า แบบไหนจะดีกว่ากัน? ข้อดีของฟิล์มธรรมดาคืออะไร?
อย่างที่บอกไปว่า ‘ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์แบบธรรมดา’ นั้นเป็นที่นิยมในช่วงยุคก่อนหน้านี้ ซึ่งถ้าดูแล้วกระบวนการผลิตนั้นไม่ได้มีความยากเย็นหรือซับซ้อนมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นวัสดุที่นำมาผลิตเป็นฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากมาย นั่นอาจจะทำให้การผลิตฟิล์มชนิดนี้ไม่ได้ใช้ต้นทุนที่สูง จึงสามารถนำออกมาวางขายในราคาที่ถูกกว่าฟิล์มกรองแสงประเภทอื่นพอสมควร ติดรถยนต์รอบคัน คันละประมาณ 1,000-2,000 บาท ถือว่าราคาติดฟิล์มรถยนต์แบบย่อมเยา ถ้านำฟิล์มดำธรรมดาไปติดอาคาร ราคาจะอยู่ที่ประมาณ ตารางฟุตละ 40 บาท ซึ่งจะถูกกว่าฟิล์มประเภทอื่นๆมาก ข้อดีของฟิล์มเซรามิคคืออะไรบ้าง?
ต้องบอกว่าในยุคนี้ การป้องกันรังสีและลดความร้อนนั้นเป็นหน้าที่หลักของฟิล์มกรองแสงเลยก็ว่าได้ และ ‘ฟิล์มกรองแสงแบบเซรามิค’ ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง มันสามารถทำหน้าที่หลักนั้นได้อย่างดีเยี่ยม เพราะสามารถป้องกันรังสี UV ได้มากกว่า 99% เลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังป้องกันอันตรายที่เกิดจากรังสี UV ได้เป็นอย่างดี และยาวนาน ฟิล์มธรรมดา ในตอนแรกก็จะยังป้องกันรังสี UV ได้99% แต่พอใช้ไปซักพัก จะป้องกันได้ไม่ดี เสื่อมไปตามกาลเวลา
เพราะว่าอินฟราเรดหรือรังสีความร้อนจะมีอยู่ 53% ของรังสีทั้งหมดจากแสงอาทิตย์ ยิ่งลดได้มากเท่าไรก็จะยิ่งดี และฟิล์มกรองแสงเซรามิคก็สามารถป้องกันรังสีอินฟราเรดได้สูงสุดถึง 99% เลยทีเดียว นับว่าเป็นตัวเลขที่เยอะมาก เพราะปกติฟิล์มที่ป้องกันความร้อนได้เกิน 80% ก็นับว่าดีมากแล้ว และนั่นยังทำให้สามารถลดความร้อนรวมในห้องโดยสารได้สูงสุดถึง 93% แม้ว่าจะต้องจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน ก็ไม่ทำให้อุณหภูมิภายในรถนั้นสูงมากเกินไป แล้วยังป้องกันอาการเมื่อยล้าดวงตาเมื่อต้องขับรถเวลาแดดจัดอีกด้วย
สำหรับคนที่ต้องการทั้งอุณหภูมิที่เย็นสบายในห้องโดยสาร และต้องการความเป็นส่วนตัวภายในรถ ‘ฟิล์มกรองแสงเซรามิค’ เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เนื่องจากฟิล์มติดรถยนต์ชนิดนี้จะมีเนื้อฟิล์มเป็นสีดำเมื่อมองจากด้านนอก นั่นทำให้ผู้ที่อยู่ในรถได้รับความเป็นส่วนตัวไปเต็ม ๆ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะ ถ้าหากมองออกไปจากด้านใน มันจะกลายเป็นฟิล์มที่มีความสว่างทันที นั่นหมายความว่ายังสามารถขับรถได้ในทัศนวิสัยที่สว่างชัดเจน ตัวฟิล์มจะไม่รบกวนการขับแม้ในที่แสงน้อย เป็นไปตามคอนเสป ฟิล์มมืดนอกสว่างใน นั่นเอง
มาถึงข้อดีข้อสุดท้ายของ ‘ฟิล์มกรองแสงเซรามิค’ กันแล้ว นั่นคือเรื่องของความทนทานและอายุการใช้งาน เนื่องจากฟิล์มกรองแสงชนิดนี้ได้มีการเคลือบสารป้องกันรอยขีดข่วนในขั้นตอนการผลิต ไม่ว่าจะมีอะไรมาโดนหรือมาขูดก็เป็นรอยได้ค่อนข้างยาก ไม่ว่าแสงแดดจากดวงอาทิตย์จะร้อนแรงแค่ไหน ก็ไม่ทำให้สีของเนื้อฟิล์มนั้นซีดจางไปได้ง่าย ๆ แน่นอน ทำให้ฟิล์มชนิดนี้สามารถติดทนทาน ป้องกันความร้อนและรังสีให้กับรถยนต์ไปได้นานกว่า 10 ปีแน่นอน อ่านเพิ่มเติม: วิธีการดูแลรักษาฟิล์มกรองแสง รู้ข้อดีของฟิล์มกรองแสงทั้ง 2 ชนิดแล้ว อยากติดฟิล์มติดรถยนต์ ติดต่อเราสิครับข้อเสียของฟิล์มดำธรรมดาคืออะไรบ้าง?
อย่างที่บอกไปตอนต้นแล้วว่า ‘ฟิล์มกรองแสงธรรมดาทั่วไป’ สามารถลดความเข้มของแสงจากดวงอาทิตย์ให้น้อยลงเท่านั้น แต่ไม่ได้สามารถสะท้อนหรือกรองรังสีที่เป็นอันตรายได้ เช่นรังสี UV จะกรองได้ไม่ถึง 99% ซึ่งเมื่อผู้ขับขี่ได้รับรังสีพวกนั้นเป็นเวลานานหรือในปริมาณที่มาก อาจทำให้เกิดอาการกระจกตาอักเสบ ต้อกระจก มะเร็งผิวหนัง ผิวหนังไหม้ เหี่ยวย่น เป็นฝ้า หรือถึงขั้นเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลายเลยทีเดียว
นอกจากจะทำได้แค่ลดความเข้มของแสงและสะท้อนรังสีได้เพียงบางส่วนแล้ว ฟิล์มติดรถยนต์แบบธรรมดาทั่วไปนี้ ยังไม่สามารถลดความร้อนสะสมภายในรถอีกด้วย เนื่องจากไม่มีการเคลือบการป้องกันความร้อนประเภทต่างๆ เช่น สารโลหะประเภทต่างๆหรือเซรามิค บอกเลยว่าใครที่จอดรถไว้กลางแจ้งแล้วหวังว่ากลับขึ้นมาจะไม่ร้อนเท่าไร คิดผิดแน่นอน เพราะ ฟิล์มธรรมดา จะกันเฉพาะแสงแดด แต่ไม่กันความร้อนนั้นเอง
ด้วยกระบวนการผลิตที่ไม่ได้ซับซ้อนและไม่ได้ใช้วัสดุชนิดพิเศษอะไรมากมาย เพียงแค่เอาสีมาย้อมลงบนแผ่นฟิล์มติดกระจกเท่านั้น ไม่ได้มีการเคลือบสารป้องกันอะไรให้ตัวเนื้อฟิล์มเอง จึงทำให้ฟิล์มธรรมดานี้ไม่ได้มีอายุการใช้งานที่นานมากนัก โดยเฉลี่ยก็ประมาณ 1-2 ปีเท่านั้นเอง หลังจากนั้น ฟิล์มกรองแสงก็จะค่อยๆซีดและเปลี่ยนสีเป็นสีม่วง ดูไม่สบายตา และต้องเปลี่ยนใหม่ในที่สุด ข้อเสียของฟิล์มเซรามิคคืออะไร?
อย่างที่เห็นกันว่ากระบวนการผลิต ‘ฟิล์มกรองแสงแบบเซรามิค’ นั้นเป็นการนำอนุภาคขนาดเล็กจิ๋วเพียงประมาณ 65 นาโนเมตรของเซรามิคเคลือบเป็นชั้นฟิล์ม ซึ่งทั้งทำได้ยากและตัววัสดุก็มีความพิเศษมาก ทำให้ราคาของฟิล์มเซรามิคนั้นจะสูงเมื่อเทียบกับฟิล์มชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มปรอท หรือฟิล์มดำ ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่หลักหลายพันบาท ไล่ตามขนาดและยี่ห้อของรถไปจนถึงหมื่น นั่นเอง โดยฟิล์มกรองแสงเซรามิคในตลาดก็มีมีายมากให้เลือกหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น ฟิล์มSolarFX ฟิล์มเซรามิค3M ฟิล์มเซรามิคHikool เป็นต้น
เนื่องจาก ‘ฟิล์มเซรามิค’ นั้นมีคุณภาพที่ดี ราคาสูง เป็นที่นิยมอย่างมากในปุจจุบัน จึงทำให้เป็นที่ต้องการของผู้ใช้รถจำนวนมากที่ต้องการติดฟิล์มเซรามิค แต่งบประมาณไม่ถึง ซึ่งอาจทำให้เกิดการผลิตฟิล์มกรองแสงแบบเซรามิคคุณภาพต่ำและไม่มีประสิทธิภาพมากพอเพื่อมาวางขายในท้องตลาด บางแห่งมีการปลอมแปลงบอกว่าฟิล์มดำธรรมดา เป็นฟิล์มเซรามิค โดยที่ลูกค้าไม่รู้ตัว เพราะการแยกฟิล์มดำธรรมดากับฟิล์มเซรามิคจะแยกค่อนข้างยาก ถ้าไม่มีประสบการณ์ด้านการเลือกดูฟิล์มกรองแสงจริงๆก็จะโดนหลอกเอาง่ายๆ เพราะฉะนั้น ต้องระวัง ฟิล์มเซรามิคปลอมในตลาดด้วย อยากดูว่าฟิล์มเซรามิคแท้ ปลอม ดูอย่างไร อ่านเพิ่มเติม: เทคนิคดูฟิล์มเซรามิคแท้ สรุป ฟิล์มดำกับฟิล์มเซรามิค ต่างกันอย่างไร?เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็ทำให้เห็นว่าทั้ง ‘ฟิล์มกรองแสงแบบธรรมดาทั่วไป’ และ ‘ฟิล์มกรองแสงแบบเซรามิค’ นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน เนื่องจากกระบวนการผลิตฟิล์มที่ต่างกัน ทำให้คุณสมบัติต่างๆ ต่างกันด้วยเช่นกัน ใครที่เน้นเรื่องทัศนวิสัยในการขับ มองทางอย่างชัดเจน แต่ลดแสงบ้างเล็กน้อยก็ควรซื้อฟิล์มธรรมดา แต่ถ้าใครเน้นเรื่องการกรองรังสีกรองความร้อน และความเป็นส่วนตัว แล้วมีกำลังซื้อก็แนะนำให้ติดฟิล์มเซรามิครอบคันไปเลย ถึงแม้ราคาจะสูงกว่า แต่ในระยะยาวแล้ว รับรองว่า คุ้มกว่าอย่างแน่นอน หลายคนยังสงสัยว่าติดฟิล์มรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี คลิกอ่านบทความด้านล่างเลยTopfilm Thailand เรามีบริการติดฟิล์มรถยนต์ ทั้งในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี กรุงเทพฯ และบริเวณปริมณฑล คุณสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำหรือสอบถามค่าใช้จ่ายในการติดฟิล์มรถยนต์ ฟิล์มบ้าน ฟิล์มอาคารได้ทันที |