บริษัท บี.กริม เพา เวอร์ อู่ ตะเภา จำกัด

บี.กริม เพาเวอร์ กดปุ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ โรงไฟฟ้า อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 แล้ว กำลังผลิต 140 เมกะวัตต์ รุกขายไฟฟ้าให้ กฟผ. และกลุ่มอุตสาหกรรมรองรับ EEC

บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 จำกัด บริษัทย่อยของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM (ถือหุ้น 50.7%) ประกาศเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD)โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 (ABP1R) กำลังการผลิตติดตั้ง 140 เมกะวัตต์ โดยเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2565

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 30 เมกะวัตต์ กับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปี และส่วนที่เหลือเป็นการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำระยะยาวกับลูกค้าอุตสาหกรรมภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ให้ได้รับการสนับสนุนไฟฟ้าและไอน้ำที่มีเสถียรภาพในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง 

โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม (SPP Replacement) ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง และลดปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติต่อหน่วยลง 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า SPP Replacement อีก 3 โครงการ (ABP2R และ BGPM1&2R) กำลังการผลิตรวม 420 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการภายในปี 2565 – ต้นปี 2566 โครงการโรงไฟฟ้า SPP ใหม่อีก 2 โครงการ (BGPAT2 และ BGPAT3) กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 280 เมกะวัตต์ มีกำหนดการ COD ในปี 2566 และโครงการโรงไฟฟ้าแบบผสมผสาน (โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงาน) อู่ตะเภา เฟสแรก มีกำหนดการ COD ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566

บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 จำกัด บริษัทย่อยของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM (ถือหุ้น 50.7%) ประกาศเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 (ABP1R) กำลังการผลิตติดตั้ง 140 เมกะวัตต์ โดยเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2565

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 30 เมกะวัตต์ กับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปี และส่วนที่เหลือเป็นการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำระยะยาวกับลูกค้าอุตสาหกรรมภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ให้ได้รับการสนับสนุนไฟฟ้าและไอน้ำที่มีเสถียรภาพในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม (SPP Replacement) ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง และลดปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติต่อหน่วยลง

นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า SPP Replacement อีก 3 โครงการ (ABP2R และ BGPM1&2R) กำลังการผลิตรวม 420 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการภายในปี 2565 - ต้นปี 2566 โครงการโรงไฟฟ้า SPP ใหม่อีก 2 โครงการ (BGPAT2 และ BGPAT3) กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 280 เมกะวัตต์ มีกำหนดการ COD ในปี 2566 และโครงการโรงไฟฟ้าแบบผสมผสาน (โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงาน) อู่ตะเภา เฟสแรก มีกำหนดการ COD ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566

เราให้ความสำคัญกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นอย่างยิ่ง เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้ (Cookies) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีกับผู้ใช้ ดูรายละเอียด นโยบายความเป็นส่วนตัว

การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกมีความคืบหน้าเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้ลงนามสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็นในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก วานนี้ (26 มิ.ย.)

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานพิธีลงนามครั้งนี้ ซึ่งผู้ร่วมลงนามประกอบด้วยนายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ สกพอ. นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกรรมการ และนางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) 

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกได้ลงนามสัญญาร่วมลงทุนไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2563 ถือเป็นหนึ่งในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ” 

รวมทั้งเชื่อมสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูง และทำให้ 3 สนามบิน รองรับผู้โดยสารรวมกันได้ถึง 200 ล้านคนต่อปี เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation รวมทั้งเป็น “มหานครการบินภาคตะวันออก” ที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินและประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย

โครงการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น เป็นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นที่โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก พร้อมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในพื้นที่สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถรองรับการขยายตัวของผู้โดยสาร ธุรกิจการขนส่งสินค้า ธุรกิจอุตสาหกรรมการบิน ศูนย์กลางธุรกิจ E – Commerce และศูนย์เทคโนโลยีด้านอากาศยาน

กองทัพเรือในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกร่วมกับ สกพอ.ได้คัดเลือก บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เช่าที่ราชพัสดุ 100 ไร่ เพื่อดำเนินการ

ลงทุนโรงไฟฟ้าแบบไฮบริด

ด้านสาธารณูปโภค โครงการงานระบบไฟฟ้าและน้ำเย็น เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา โดยจะผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Power Plant) ระหว่างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Co-Generation Power Plant) โดยใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (PV Solar Farm) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดตามแนวคิดหลักของอีอีซี ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 95 เมกะวัตต์ 

พร้อมด้วยระบบกักเก็บพลังงานอัจฉริยะ (Energy Storage System-ESS) ขนาด 50 เมกะวัตต์ชั่วโมง และจัดหาแหล่งพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมเมื่อสนามบินมีการพัฒนาสูงสุดและมีความต้องการพลังงานไฟฟ้ามากกว่า 95 เมกะวัตต์ และเสริมความมั่นคงด้วยการสำรองไฟฟ้า 100% 

ทั้งนี้ความร้อนที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าได้นำมาเปลี่ยนเป็นระบบน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศสนามบิน ทำให้มีการใช้พลังงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ ระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Power Plant) เลือกใช้แหล่งพลังงานที่คุ้มค่าหรือมีราคาประหยัดเหมาะสม เพื่อพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพต่อเนื่อง มีพลังงานสำรอง ลดความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารที่ใช้บริการภายในสนามบินอู่ตะเภาอย่างมีประสิทธิภาพ

หวังมีส่วนร่วมพัฒนา“อีอีซี”

นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกรรมการ บี.กริม กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นโครงการสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักของอีอีซี โดยสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งใหม่ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่ บี.กริม เป็นบริษัทเอกชนไทยมีส่วนร่วมริเริ่มการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่สำคัญให้ไทยมาตลอด 142 ปีแห่งการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา

บี.กริม เป็นผู้เชี่ยวชาญในการก่อสร้าง พัฒนา และบริหารโรงไฟฟ้าที่ประสบความสำเร็จให้กับพื้นที่อุตสาหกรรมชั้นนำในเขตอีอีซีมาตลอด ตั้งแต่เริ่มการพัฒนาโรงไฟฟ้าเอกชนครั้งแรกในปี 2538 จึงเชื่อมั่นว่าจะใช้ความพร้อมและประสบการณ์พัฒนาโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ให้สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อเป็นการรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีคุณภาพที่เพิ่มขึ้นต่อไปภายในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษแห่งนี้ได้อย่างมั่นคงตามที่ได้รับความไว้วางใจจากกองทัพเรือ และ สกพอ.

“บี.กริม”ผนึกจีน-เกาหลีใต้

นอกจากนี้ บี.กริม ได้รับความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นจากพันธมิตรชั้นนำระดับโลก นำโดย China Energy Engineering Corporation หรือ Energy China ซึ่งเป็นบรรษัทรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ให้การสนับสนุนเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าไฮบริด

รวมทั้ง Korea Electric Power Corporation หรือ KEPCO บรรษัทรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานจากสาธารณรัฐเกาหลีให้การสนับสนุนเทคโนโลยีระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน - ESS และระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ

พร้อมทั้งมี Siemens จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สนับสนุนเทคโนโลยี Gas & Steam Turbine ซึ่งทำให้เชื่อว่าจะสร้างระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่มั่นคงทันสมัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะเป็นรากฐานระบบสาธารณูปโภคหลักที่สำคัญต่อการสนับสนุนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกให้สำเร็จ

เปิดเชิงพาณิชย์ปี 2567

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันได้จัดเตรียมความพร้อมไว้แล้วทุกประการ เพื่อให้สามารถดำเนินงานตอบสนองต่อนโยบายการพัฒนาพื้นที่สนามบินอู่ตะเภาได้ทันที โดยโรงไฟฟ้าแบบไฮบริดสำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกนี้ใช้งบลงทุน 3.8 พันล้านบาท จะพร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) อย่างสมบูรณ์ในปี 2567 

รวมทั้งเป็นโรงไฟฟ้าไฮบริดแบบผสมผสานเทคโนโลยีทั้ง 3 ระบบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่จะสามารถนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด มีประสิทธิภาพด้านการผลิตไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพมากที่สุด ทั้งยังปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน โรงไฟฟ้าแห่งนี้ ถือเป็นระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สำคัญ ที่จะสามารถสร้างความมั่นคงด้านพลังงานแห่งอนาคตให้กับสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ได้ตามนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาลได้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง