สหภาพยุโรป (European Union : EU) ความเป็นมาของศัพท์ “สหภาพยุโรป” ศัพท์คำว่า สหภาพยุโรป นั้น ปรากฏอย่างเป็นทางการในที่ประชุมสุดยอดของบรรดาผู้นำประเทศสมาชิกประชาคม ยุโรป ณ กรุงปารีส ในปี ค.ศ 1972 โดยที่ประชุมในครั้งนั้นได้ตั้งจุดมุ้งหมายเอาไว้ว่า จุดหมายหลักคือการพัฒนาด้วยความเคารพและยึดมั่นในสนธิสัญญาที่ประเทศสมาชิก ได้ลงนามไว้ ในอันที่จะกระทำความสัมพันธ์อันซับซ้อนทั้งมวลระหว่างประเทศให้กลายเป็น สหภาพยุโรป ต่อมาได้มีการระบุแนวความคิดดังกล่าวไว้ในบทอารัมภกถาของสัญญาจัดตั้งตลาด เดียวแห่งยุโรป แต่ไม่ปรากฏในสนธิสัญญาจัดตั้งสหภาพยุโรป โดยมาตรา A ของสนธิสัญญาดังกล่าวได้ระบุข้อความที่เกี่ยวกับสหภาพไว้แทนที่ว่า สนธิสัญญาฉบับนี้เป็นสัญญาลักษณ์ของก้าวใหม่ในกระบวนการสร้างสรรค์สหภาพที่ มีความสัมพันธ์ไกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ ของประชาชาติยุโรป โดยการตัดสินใจใดๆ ของสหภาพจะกระทำใกล้ชิดกับเมืองของยุโรปให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในกระบวนการดังกล่าวนี้ สหภาพควรจะจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างประขาชาติยุโรปให้แสดงถึงความมีเอกภาพ และความเป็นปึกแผ่น อย่างไรก็ดี ความพยายามในการกำหนดรูปแบบของสหภาพยุโรปอย่างชัดเจนทั้งจากแวดวงการเมือง และจากนักวิชาการประสบความสำเร็จอยู่ในวงจำกัด การตรวจสอบความหมายของคำว่า สหภาพ หรือจุดมุ้งหมายกันตามแบบของนักวิชาการยังไม่รับการยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ ในทางการเมือง ดังจะเห็นได้จาก คำประกาศแห่งสตุตการ์ท ค.ศ 1986 ซึ่งมีการระบุไว้เพียงจุดมุ้งหมายทั่วไปในการบรรลุถึงการเป็นสหภาพยุโรป อาทิเช่น หลักการประชาธิปไตยและการเคารพในกฎหมายสิทธิมนุษยชน เป็นต้น มีข้อสังเกตว่า ในเอกสารทั้ง2ฉบับได้ว่างแนวทาง 2 ในการพัฒนาสหภาพยุโรปไว้ กล่าวคือประเทศสมาชิกจะดำเนินการเพื่อให้บรรลุถึงการเป็นสหภาพยุโรปโดยอาศัย หลัก2ประการคือ
จะเห็นได้ว่าหลักการดังกล่าวเหล่านี้ชี้ชัดว่า พัฒนาการของประชาคมยุโรปจะดำเนินควบคู่กันไประหว่างการบูรณาการและความร่วม มือระหว่างรัฐบาลชาติสมาชิกรูปแบบเดียวกันนี้ ปรากฏอยู่ในมาตรา A ของสนธิสัญญามาสทริกท์
ซึ่งระบุว่าสหภาพยุจะก่อตั้งขึ้นบนรากฐานของประชาคมยุโรป ซึ่งเพิ่มด้วยนะโยบายและรูปแบบที่จัดตั้งขึ้นโดยสนธิสัญญาฉบับนี้ นอกจากนี้แนวคิดเกี่ยวกับสหภาพยุโรปอีกประการหนึ่งคือ แนวคิดเรื่อง ระบบสหพันธ์ ยังปรากฏอยู่ในร่างสนธิสัญญาว่าด้วยสหภาพยุโรป ค.ศ 1984 ทั้งนี้ในร่างฉบับดังกล่าวได้รัฐสภายุโรปมีบทบาทในการวางหลักการจุดมุ้งหมาย และกำหนดนิยามของสถาบันต่างๆ ของสหภาพยุโรปตามแนวทางของสหพันธืนิยม อย่างไรก็ดีรูปแบบของ Spinelli
ดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นแบบอย่างของสหภาพยุโรปที่จัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ 1993 สนธิสัญญามาสทริกท์ว่าด้วยสหภาพยุโรป
องค์ประกอบขั้นพื้นฐานที่ปรากฏในสนธิสัญญาจัดตั้งสหภาพยุโรป มีดังต่อไปนี้ วัตถุประสงค์ของสหภาพยุโรปและหลักการ Subsidiarity
การขยายตัวของสหภาพยุโรป (Enlargement)
ฐานทางกฎหมายและกระบวนการรับสมาชิกใหม่โดยทั่วไป
เมื่อสนธิสัญญาเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปเริ่มมีผลบังคับใช้ ประเทศสมาชิกใหม่ก็จะกลายเป็นภาคีของสนธิสัญญาทุกฉบับของประชาคม/สหภาพยุโรป ภายใต้กรอบแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ
รวมทั้งจะได้รับสิทธิและมีหน้าที่ในฐานะประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป นอกจากนี้แม้ว่าจะมีการขยายตัวเพื่อรับสมาชิกใหม่แต่สหภาพยุโรปก็ยังมีฐานะ เป็นนิติบุคคล ดังนั้นเมื่อประเทศใดเข้าเป็นสมาชิกแล้วกฎหมายของสหภาพยุโรปก็จะมีผลบังคับ ใช้ในประเทศสมาชิกใหม่นั้นด้วย
ต่อมาในการประชุมที่กรุงมาดริด
คณะมนตรียุโรปได้กล่าวถึงความจำเป็นในการกำหนดเงื่อนไขในการบูรณาการประเทศ ในยุโรปตะวันออกที่ได้ทำข้อตกลงรวมกลุ่มกับสหภาพยุโรปไว้แล้วเพื่อให้เข้ามา อยู่ในสหภาพได้อย่างราบรื่นและมีความก้าวหน้าด้วยการพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบ ตลาด การปรับโครงสร้างในการบริหาร รวมทั้งการสร้างสถานภาพทางเศรษฐกิจและการเงินที่มีเสถียรภาพ เป็นต้น กลยุทธ์ในการเตรียมความพร้อมของกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกในการเข้าเป็น สมาชิกของสหภาพยุโรปดังกล่าวนี้ได้รับความเห็นชอบในเดือน ธันวาคม ค.ศ. 1994
โดยมีการเน้นที่มาตรการในการให้ความช่วยเหลือกระบวนการปรับตัวของกลุ่ม ประเทศยุโรปตะวันออก อาทิเช่น การให้ความช่วยเหลือโดยผ่านทางโครงการ PHARE (Poland and Hungary : Aid for Economic Restructuring) และการใช้กระบวนการปรับตัวตามที่ระบุไว้ในสมุดปกขาว (White Paper) สหภาพเศรษฐกิจและการเงินของยุโรป
แม้ว่าเงื่อนไขเพื่อวัดความสอดคล้องในทางเศรษฐกิจและการเงินของชาติ สมาชิกจะเกิดจากแรงจูงใจในทางการเมือง แต่ก็สามารถใช้เป็นเครื่องวัดความพร้อมในการเข้าร่วมสหภาพเศรษฐกิจและการ เงินของยุโรปที่มีประโยชน์ แม้ว่าอีกนัยหนึ่งจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความแตกต่างในทางเศรษฐกิจการ เงินของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปด้วยก็ตาม ในแง่นี้สนธิสัญญามาสทริกท์จึงได้พยายามประนีประนอมระหว่างความต้องการระยะ
เวลาปรับตัวที่ยาวพอสมควรในการปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ของแผนการจัดตั้ง EMU และการร่วมขั้นตอนต่าง ๆ ใน EMU ของชาติสมาชิกอย่างรวดเร็วและย้อนกลับมาไม่ได้ การดำเนินงานและแนวโน้มสำหรับอนาคต
ต่อมาที่ประชุมสุดยอดประชุมยุโรปที่กรุงมาดริดในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1995 ได้กล่าวย้ำถึงความปรารถนาที่จะให้มีการเมสหภาพเศรษฐกิจและการเงินที่ สมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1999 และได้มีมติให้เงินสกุลของสหภาพยุโรปมีชื่อว่า “เงินยูโร” (The Euro) นอกจากนี้ยังมีความเห็นให้กำหนดรายละเอียดที่เกี่ยวกับกลไกด้านการเงินต่าง ๆที่ธนาคารกลางแห่งยุโรปสามารถใช้ได้ภายในปี ค.ศ. 1996 พร้อมกันนั้น เพื่อไม่ให้สหภาพเศรษฐกิจและการเงินมีผลกระทบต่อตลาดเดียวของยุโรป จึงได้มีการเสนอให้มีการจัดตั้ง “ระบบการเงินยุโรป 2” (EMU 2) ขึ้นมา เพื่อเชื่อมโยงสกุลเงินของชาติสมาชิกที่เข้าร่วมในแผนขั้นตอนที่สามของ EMU กับชาติสมาชิกที่ไม่ได้เข้าร่วมให้สอดคล้องกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเตรียมงานในด้านเทคนิคเพื่อจัดตั้งสหภาพทางเศรษฐกิจ และการเงินนั้นได้ถูกวางแผนได้อย่างเรียบร้อย นับตั้งแต่ได้รับการสัตยาโดยชาติสมาชิกเป็นต้นมา สนธิสัญญามาสทริกท์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ อาทิเช่น ในเรื่องสหภาพทางเศรษฐกิจและการเงินนั้น ส่วนใหญ่มุ่งวิจารณ์ประเด็นที่ว่าสหภาพทางการเมืองและสหภาพทางเศรษฐกิจและ การเงินไม่ได้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
การมุ่งบูรณาการด้านเศรษฐกิจโดยไม่มีการบูรณาการด้านการเมืองมารองรับอาจ เป็นไปได้ยาก และการประสานนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงแน่หรือที่จะค้ำประกันประเทศสมาชิกจะ รักษาพันธกรณีในการรักษาเสถียรภาพด้านราคา นอกจากนี้ยังมีผู้ไม่แน่ใจในความเหมาะสมของเงื่อนไขที่ใช้วัดความพร้อมในการ เข้าร่วมEMU อยู่ เป็นต้น เงินยูโร
หลังจากการตัดสินใจข้างต้น สหภาพยุโรปก็จะดำเนินการดังนี้
คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปจะบัญญัติกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนทุนการรวบรวม ข้อมูลทางสถิติ ปริมาณเงินสำรองขั้นต่ำ ระบบที่ปรึกษาของธนาคารกลางแห่งยุโรป และค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมทางธุรกรรม ธนาคารแห่งยุโรปและระบบธนาคารกลางยุโรปเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติงาน โดยการเริ่มใช้กรอบทางกฎหมาย หรือทดลองโครงสร้างกลไกต่างๆทางการเงิน เป็นต้น
สถาบันการเงินแห่งยุโรป สถาบันการเงินแห่งยุโรป (European Monetary Instiute หรือ EMI)ได้ รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1994 โดยการเริ่มมีผลบังคับใช้ของขั้นตอนที่สองของการก่อตั้งสหภาพเศรษฐกิจและการ เงินของยุโรป แม้ว่าจะเริ่มปฏิบัติการจริงตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ก็ตาม
สถาบันดังกล่าวตั้งอยู่ในเมืองแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี และมีประธานคนแรกคือ นาย AlexandreLamfalussyชาวเบลเยี่ยม ซึ่งได้รับจากการเลือกตั้งโดยประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป ระบบการเงินยุโรป
(European Monetary System)
โครงสร้างของสถาบัน : ประกอบ ด้วยคณะมนตรีที่มาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของชาติสมาชิก คณะกรรมการด้านการเงิน (ประกอบด้วยผู้แทนชาติละ 2 คน และผู้แทนคณะกรรมาธิการยุโรป 2 คน) และกองทุนความร่วมมือทางการเงินของยุโรป (ประกอบด้วยผู้ว่าการธนาคารกลางของชาติสมาชิก
โดยคณะกรรมาธิการยุโรปมีฐานะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น)
โครงสร้างดังกล่าวของ EMS มีความสำคัญทางการเมืองเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจาก ยิ่งอัตราห่างของกรอบอัตราแลกเปลี่ยนน้อยลงเท่าใด ก็ยิ่งจำเป็นที่ชาติสมาชิกจะต้องปรับนโยบายด้านเศรษฐกิจการเงินและการคลัง ให้สอดคล้องกันมากขึ้นเท่านั้น
อีกทั้งธนาคารก็จะยิ่งมีช่องทางในการเข้าไปแทรกแซงน้อยลงไปด้วย ด้วยเหตุนี้เองกรอบอัตราห่างดังกล่าวจึงสมารถบ่งชี้ถึงระดับการบูรณาการ ระหว่างนโยบายหลักทางเศรษฐกิจในบรรดาประเทศสมาชิกรวมทั้งระดับความมุ่งมั่น ของชาติสมาชิกในการสร้างเสถียรภาพของประชาคมยุโรปอีกด้วย สิ่งนี้จะช่วยอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดชาติสมาชิกบางประเทศจึงยังไม่พร้อมที่ จะเข้าร่วมในกลไกแทรกแซงทางการเงินตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม ( จนถึงปลายปี ค.ศ. 1994 อังกฤษ อิตาลี และกรีซ ยังคงไม่เข้าร่วมในกลไกแทรกแซงดังกล่าว)
พัฒนาการและการประเมินบทบาทของ EMS รัฐสภายุโรป
กระบวนการลงคะแนนเสียงของรัฐสภายุโรป การประชุมระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป |