Language Skills มีกี่ระดับ อะไรบ้าง

วิธีหา ทักษะความสามารถพิเศษ มีอะไรบ้าง ที่น่าเอามาเขียน ลงใน ประวัติส่วนตัว หรือ เรซูเม่ นั้น เราจะต้อง เลือกทักษะ ให้เฉพาะ และ ตรงกับงานที่กำลังจะสมัคร ถึงแม้ว่า เราจะมี ความสามารถพิเศษ มากมาย แต่ถ้า มันไม่ตรงกับ คุณสมบัติ หรือ สิ่งที่บริษัทต้องการ มันก็ไม่พิเศษอีกต่อไป สำหรับสายตากรรมการ นะคะ

 1.หาจากป้ายประกาศหางาน

ที่ บริษัทระบุไว้ว่า ต้องการ ผู้เข้าสมัคร ที่มีคุณสมบัติ อะไรบ้าง หรือในหัวข้อ ภาษาอังกฤษ

  • Job Requirements
  • Qualification
  • Job Description
  • Career Description

ลองหา มาอ่านซึ่งในหัวข้อเหล่านี้ บริษัทจะระบุ ว่า รูปแบบงานเป็นอย่างไร จะต้องเข้าไปทำงานอะไรบ้าง โดยจะต้องใช้โปรแกรมอะไร ในการจัดการข้อมูล ซึ่งหลายๆบริษัท จะระบุไว้เลย ว่า ต้องใช้โปรแกรมนั้น โปรแกรมนี้นะ

สำหรับใครที่ คิดว่าตัวเอง ไม่มีความสามารถพิเศษ หรือ น้องๆ นักเรียนที่ กำลังหา ความสามารถพิเศษ เพิ่มเติม ใน พอร์ตฟอลิโอ้ ให้ เริ่มหา ทั้ง ความสามารถเทคนิคเฉพาะ หรือ ทักษะในการจัดการต่างๆ

2. ให้นึกถึง Soft Skill กับ Hard Skill เวลาหา ทักษะพิเศษของตัวเอง

Soft Skill คือ ทักษะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นลักษณะ ลักษณะการทำงาน ลักษณะเฉพาะตัว ที่เราทุกคนสามารถฝึกได้  เช่น มี ทักษะผู้นำ (Leadership skill) มีทักษะในการแจกจ่ายงาน (Delegation skills) มี ความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้คน (Influencing skills) เป็นต้น

Hard Skill คือ ความสามารถพิเศษ เฉพาะ ทางเทคนิค มีใบประกาศนียบัตร และ สามารถวัดผล ได้ ตัวอย่างเช่น ความสามารถทางคอมพิวเตอร์ ความสามารถทางงภาษา IT ทักษะในการใช้ โปรแกรม กราฟฟิก ต่างๆ เช่น การใช้โปรแกรม Microsoft Word การเขียนโค้ด html เป็นต้น

3. ความสามารถพิเศษง่ายๆ หา ได้จาก สิ่งที่สนใจ งานอดิเรก

อีกวิธีหนึ่ง ในการหา ความสามารถพิเศษง่ายๆ คือให้ใส่ สิ่งที่เราสนใจ หรือ งานอดิเรก ที่เรา ถนัดลงไปใน เรซูเม่ เช่น ความสามารถในการเล่นกีฬา ความสามารถทางดนตรี ความสามารถทางศิลปะ

  • Contact Information ข้อมูลสำหรับติดต่อ
  • Resume Summary เขียนแนะนำตัวเองสั้น ๆ
  • Education ประวัติการศึกษา
  • Work Experience ประวัติการทำงาน
  • Skills ทักษะการทำงาน

ปัจจุบัน Resume ภาษาอังกฤษมีความนิยมค่อนข้างมาก เพราะการทำ Resume ภาษาอังกฤษสามารถบ่งบอกได้ถึงทักษะภาษาของเราไปด้วยในตัว และ Resume ภาษาอังกฤษนี่แหละที่เป็นหนึ่งในตัวชี้ชะตาว่าเราจะถูกเรียกไปสัมภาษณ์หรือไม่ ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าการจะทำ Resume ภาษาอังกฤษให้ออกมาดีนั้นเป็นเรื่องยาก จ้างคนที่รับทำน่าจะง่ายกว่าเยอะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถ้ายังนึกไม่ออกว่าต้องเริ่มต้นยังไง วันนี้ JobThai จะพาทุกคนไปดูพร้อมกันเลย

ฝึกภาษาอังกฤษแบบสนุก ๆ ดาวน์โหลด JADOH Learning Application เลย

iOS

Android

การเริ่มต้นเขียน Resume ให้ถูกต้องและน่าสนใจ สามารถเพิ่มโอกาสให้เราถูกเรียกไปสัมภาษณ์งานได้มากยิ่งขึ้น โดยอย่างแรกที่ต้องทำคือให้ทุกคนสร้าง Resume ผ่าน Google Docs, Microsoft Word หรือโปรแกรมที่ถนัด จากนั้นลองลิสต์ข้อมูลสำคัญของตัวเอง 5 ข้อหลัก ๆ ดังนี้

1. Contact Information ข้อมูลส่วนตัวสำหรับติดต่อ

การเขียนข้อมูลสำหรับติดต่อ ให้ใส่ ชื่อจริง-นามสกุล, เบอร์โทรศัพท์ และ อีเมล ข้อมูลที่ใส่ควรสั้นและกระชับที่สุด ซึ่งที่อยู่บ้านอาจจะเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างกินพื้นที่ ดังนั้นเราอาจจะตัดส่วนของที่อยู่ออกก็ได้ สำหรับอีเมลควรใช้ชื่ออีเมลที่เป็นทางการเพื่อความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้อย่าลืมเน้น ชื่อจริง-นามสกุล ของคุณด้วยตัวหนาเพื่อเพิ่มความเด่นชัด จำไว้ว่าพาร์ทนี้ต้องชัดเจน อ่านง่าย ใช้ฟ้อนต์ตัวหนังสือให้ใหญ่กว่าส่วนอื่นใน Resume และทางที่ดีควรวางไว้ตำแหน่งบน ๆ

ตัวอย่าง

Cody Brown

Tel.: (+123) 456-789

Email:

2. Resume Summary เขียนแนะนำตัวเองสั้น ๆ

Resume Summary หรือ Summary Statement คือการเขียนแนะนำตัวเองสั้น ๆ ใส่ไว้ในส่วนบนของ Resume เปรียบเสมือนคำโปรยที่เรามักจะอ่านก่อนเลือกซื้อหนังสือสักเล่ม เรียกได้ว่าเป็นการสรุปข้อมูลทั้งหมดใน Resume แบบกระชับ ส่วนนี้จะเป็นตัวดึงความสนใจของ HR ให้อ่านเรซูเม่เราต่อจนจบ โดยจะพูดถึงจุดเด่นของเรา ประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา หรือบอกว่าเรากำลังมองหาประสบการณ์แบบไหนอยู่ ซึ่งจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ แต่ถ้ามีไว้ก็จะช่วยให้ HR เข้าใจตัวตนเราได้ก่อนจะเริ่มอ่านรายละเอียดบน Resume

ตัวอย่าง

Digital Marketer with 5+ years experience in social media marketing who managed a ฿500,000 budget with a reduction of costs totaling 15% over two years. Certified Marketing Management Professional with excellent leadership skills. I’m currently looking to leverage my knowledge and experience into a role as a Project Manager.

สิ่งที่ควรใส่ในการเขียนแนะนำตัวเองสั้นๆ

  • ระยะเวลาและประสบการณ์ในการทำงาน ส่วนเด็กจบใหม่ให้ใส่ทักษะที่เป็นจุดเด่น หรืองานพิเศษ
    - Digital Marketer with 5+ years experience in social media marketing.
    เป็นนักการตลาดดิจิทัลที่มีประสบการณ์การทำการตลาดด้าน Social Media มากกว่า 5 ปี

  • ผลงานและความสำเร็จในงานที่ผ่านมา เขียนให้สอดคล้องกับความต้องการของบริษัทนั้น
    - Managed a ฿500,000 budget with a reduction of costs totaling 15% over two years.
    เคยบริหารงบประมาณ 500,000 บาท โดยสามารถลดต้นทุนรวมได้ถึง 15% ในระยะเวลา 2 ปี

  • ทักษะที่น่าจะเป็นประโยชน์ และสอดคล้องกับบริษัทนั้น ๆ
    - Excellent leadership skills.
    มีทักษะความเป็นผู้นำ

  • เป้าหมายในการทำงาน หรือตำแหน่งงานที่เรากำลังมองหา
    - Looking to leverage my knowledge and experience into a role as a Project Manager.
    อยากนำความรู้และความสามารถทั้งหมดที่มีมาใช้ในตำแหน่งผู้จัดการโครงการ

3. Education ประวัติการศึกษา

ประวัติการศึกษาเป็นจุดสำคัญที่สุดบน Resume สำหรับเด็กจบใหม่ หากเราไม่มีประสบการณ์การทำงาน เราควรใส่เอาไว้ด้านบน เรียงลำดับบรรทัดบนสุดด้วยวุฒิการศึกษาล่าสุด และไล่ย้อนลงไป หากเราเคยไปเรียนแลกเปลี่ยน เข้าคอร์สอบรม สอบวัดความรู้ หรือได้รับใบประกาศนียบัตร ที่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัคร ก็สามารถใส่ลงไปในช่องประวัติการศึกษาได้เลย โดยการเรียงลำดับไล่จาก สถาบัน > ระยะเวลาปีที่ศึกษา > สาขาที่จบ > เกรดเฉลี่ย ในส่วนเกรดเฉลี่ยนั้นอาจไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ เว้นแต่ในกรณีที่เราได้เกียรตินิยม หรือบริษัทระบุไว้ชัดเจนว่าต้องการพิจารณาเกรดเฉลี่ย

ตัวอย่าง

  • ABC University - AUG 2015-AUG 2019

       B.A. in Marketing, GPA 3.7

  • NNNN Analytics Individual Qualification (2018)

  • AAAA Digital Management Certification (2018)

4. Work Experience ประวัติการทำงาน

ประวัติการทำงานเป็นส่วนสำคัญที่ควรมีข้อมูลละเอียดแต่กระชับ เข้าใจง่าย และน่าสนใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเรามีประสบการณ์การทำงานอะไรมาบ้าง หากมีประสบการณ์การทำงานหลายที่ ให้เอาบริษัทที่ทำล่าสุดขึ้นก่อน สำหรับวิธีการเขียน เริ่มต้นจาก ชื่อบริษัท > ตำแหน่งงานทำ > ระยะเวลาที่ทำ จากนั้นใส่รายละเอียดงานที่รับผิดชอบเป็นข้อ ๆ แบบกระชับ แต่หากเราเป็นเด็กจบใหม่ เราสามารถใส่งานพิเศษที่เคยทำ งานจิตอาสา หรือประสบการณ์ฝึกงานได้ โดยสามารถเขียนด้วยรูปแบบเดียวกันได้เลย

ตัวอย่าง

NNN Tech, Senior Customer Service Representative FEB 2015 – Current

- Responds to customer complaints and effectively deescalates altercations over the phone resulting in customer satisfaction improvement of 17%.

- Maintains a working knowledge of company products to assist with specific customer inquiries.

- Developed and implemented standard operating procedures to maintain a monthly quality service level of 90% and above.

5. Skills ทักษะการทำงาน

การใส่ข้อมูลส่วนนี้จะแสดงให้ HR เห็นว่าคุณมีทักษะอะไรบ้าง และตรงกับที่บริษัทกำลังมองหาไหม ดังนั้นจึงควรใส่ทักษะที่เราซึ่งสอดคล้องกับ Job Description ที่บริษัทระบุไว้ในประกาศงาน หรือสามารถเอามาปรับใช้ได้ โดยทักษะในการทำงาน จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ Hard Skills และ Soft Skills

Hard Skills คือ ทักษะเฉพาะทางที่ได้จากการเรียน หรือการปฏิบัติงานจริง ซึ่งเกี่ยวข้องกับสายงานโดยตรง เช่น ทักษะภาษาต่างประเทศ, ทักษะการใช้โปรแกรมต่าง ๆ เช่น Photoshop, AutoCAD หรือ การซื้อโฆษณาบน Social Media สำหรับทักษะการใช้ Microsoft Word, PowerPoint หรือ Excel อาจจะไม่จำเป็นต้องใส่ เว้นแต่เราจะทำได้ขั้นแอดวานซ์จริง ๆ ที่สำคัญอย่าลืมใส่ระดับความชำนาญลงไปด้วย เช่น ทักษะด้านภาษา ให้เลือกใส่เป็น Basic (ระดับพื้นฐาน), Conversational (ระดับสื่อสารเข้าใจ), Proficient (ระดับสูง), Fluent (ระดับเชี่ยวชาญ) หรือ Native (ระดับเจ้าของภาษา) นอกจากนั้นก็สามารถใส่ผลคะแนนการสอบวัดระดับทางภาษาลงไปได้ เช่น TOEIC Score 700, HSK 5 หรือ TOPIK 4

ตัวอย่าง Hard Skills

- Workflow Development

- UX Design

- Data Visualization

- Content Creation and Storytelling

- Database Management

- Fluent in English

Soft Skills คือ ทักษะที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสายงานโดยตรง แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกสายงาน เช่น การทำงานเป็นทีม, การนำเสนอ, ความเป็นผู้นำ หรือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า สำหรับคนที่จะสมัครงานไม่ตรงกับสายที่เรียนมา หรืออยากเปลี่ยนสายงาน Soft Skills จะเป็นส่วนสำคัญที่อาจเพิ่มโอกาสในการถูกเรียกไปสัมภาษณ์ได้

ตัวอย่าง Soft Skills

- Conflict Management

- Time Management

- Life-Long Learning

- Communication

- Complex Problem Solving

- Critical Thinking and Decision-making

- Creativity & Innovation

นอกจากนั้น Soft Skills อาจจะเขียนอยู่ในส่วน Work Experience ที่เราอธิบายถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่เคยได้รับในตำแหน่งงานนั้น ๆ ก็ได้

ตัวอย่าง

- Communicated with customers daily, updating them about new products and upselling promotional merchandise.

- Collaborated with a team of 4 interns to develop a redesigned UI for the company’s flagship products.

- Quickly adapted our marketing approach after a major algorithm update, recouping 70% of lost traffic in under 4 months.

นอกจากการใส่ข้อมูลสำคัญใน Resume ให้ครบถ้วนแล้ว การดีไซน์ Resume ให้ออกมาดึงดูด น่าอ่าน รวมถึงเหมาะกับตำแหน่งงานที่เราสมัครก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยการดีไซน์ Resume ของแต่ละสายงานจะแบ่งกว้าง ๆ ได้ดังนี้

งานทั่วไป: โชว์จุดเด่นของตัวเอง มีลูกเล่นและสีสันที่แสดงตัวตนได้บ้าง แต่ไม่ควรมากเกินไปจนอ่านยาก

งานสายอาร์ต: โชว์เซนส์ด้านศิลปะของเราให้มากที่สุด หรือถ้าจะดีไซน์ออกมาแบบเรียบ ๆ ก็ควรจะต้องเรียบแบบดูดีมีสไตล์ และบ่งบอกความเป็นตัวเอง

งานบริการ: ดีไซน์แบบเรียบง่าย คลาสสิค รูปภาพของเราสำคัญมาก เพราะเขาจะได้เห็นบุคลิกภาพของเราจากรูป

งานราชการ: ดีไซน์แบบเป็นทางการ เรียบร้อย ใช้สีโทนสุภาพ

การทำ Resume ให้ออกมาน่าสนใจนั้นไม่ยาก เราทุกคนมีจุดเด่นจุดขายของตัวเองอยู่แล้ว อย่ากังวลหรือไม่กล้าที่จะเขียนความรู้ ความสามารถ หรือประสบการณ์ของตัวเองลงไปบน Resume ถ้าคุณสามารถทำให้ Resume ของคุณกระชับ อ่านง่าย ข้อมูลครบถ้วน ไม่มีคำสะกดผิด การถูกเรียกไปสัมภาษณ์งานก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

หางานที่ต้องใช้ทักษะภาษาอังกฤษได้ ที่นี่

JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน

ที่มา:

JADOH Learning 

Language Skills มีกี่ระดับ

ระดับภาษาอังกฤษ 5 ระดับ มีความหมายดังนี้ Beginners : ยังไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ Elementary : เข้าใจและถามด้วยประโยคง่ายๆได้ และเข้าใจบทสนทนาได้ ถ้าพูดช้า ๆ Pre-Intermediate : เข้าใจ และสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลในชีวิตประจำวันได้

Language Skills มีอะไรบ้าง

Fair : ใช้ภาษาอยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้ สามารถเข้าใจและสื่อสารในประเด็นต่าง ๆ ได้มากขึ้น Good : ใช้ภาษาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สามารถเข้าใจเนื้อหาที่มีความยาก ซับซ้อน และที่เป็นประโยคยาว ๆ ได้ Fluent : สามารถใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว พูดคุยโต้ตอบ ฟัง อ่าน เขียน ได้อย่างรวดเร็ว Native : ใช้เป็นภาษาแม่ในชีวิตประจำวัน

Proficiency in English คือระดับไหน

C1 (Advanced), C2(Proficiency) เป็นระดับสูง Proficient C1 ผู้เรียนสามารถเข้าใจเรื่องราวได้หลากหลายมิติมากขึ้น รวมถึงความประโยคที่ยาวขึ้นและการมีความหมายแฝงต่างๆ สามารถพูดถึงเรื่องที่ซับซ้อนมีการจัดเรียงประโยคได้ดี