ภาษากฎหมาย: เรื่องชวนคิดและประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้อง Show บทความโดย ศรัณย์ พิมพ์งาม วงการหรือศาสตร์ต่าง ๆ ล้วนมีการใช้คำศัพท์หรือภาษาที่แตกต่างไปจากปกติ ดังเช่นในวงการกฎหมายก็จะมี “ภาษากฎหมาย” หรือคำศัพท์เกี่ยวกับกฎหมายที่รู้และเข้าใจกันในวงการ ซึ่งมักจะสร้างความแปลกใจให้กับคนที่ไม่ได้เรียนกฎหมาย เพื่อนที่แยกจากกันไปเรียนต่างคณะก็มักจะตกอกตกใจที่เพื่อนผู้เรียน คณะนิติศาสตร์ พูดภาษาอะไรแปลก ๆ ใส่ ซึ่งในบทความนี้ผมจะพาเดินชมวงการกฎหมายว่าพวกเขามีการใช้ภาษาเหมือนหรือแตกต่างจากปกติอย่างไรกันบ้าง 1. ภาพรวมเกี่ยวกับ ภาษากฎหมายจากเด็กม.ปลายวัยใส เมื่อพวกเขาได้ก้าวเข้ามาเรียนคณะนิติศาสตร์แล้ว เวลา 3-4 ปีในคณะนี้จะเปลี่ยนการรับรู้เรื่องภาษาของพวกเขาแตกต่างออกไปจากคนปกติ ซึ่งอันที่จริงในแต่ละศาสตร์วิชาก็มีกระบวนเช่นนี้เป็นปกติ โดยเฉพาะคณะที่ทำการสอนในลักษณะของวิชาชีพ เพราะไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คณะเหล่านี้สร้างกำแพงป้องกันคนนอกศาสตร์ด้วยการมีกฎเกณฑ์บางอย่างอันรวมไปถึงเรื่องของภาษาในการกีดกันคนนอก ยกตัวอย่างเช่น ศาสตร์เกี่ยวกับบัญชีก็จะมีภาษาทางบัญชีที่ใช้กัน ซึ่งเราจะต้องอาศัยนักบัญชีในการให้บริการเกี่ยวกับบัญชีโดยเฉพาะอย่างยิ่งบัญชีเชิงลึก ที่เห็นภาพชัดก็คือการสร้างมาตรฐานทางบัญชีขึ้นมา อันทำให้คำบางคำมีความหมายเฉพาะในทางบัญชีที่คนในวงการหรือเฉพาะคนที่ศึกษาเรื่องของบัญชีเท่านั้นถึงจะเข้าใจ เช่น คำว่า “รายได้” นั้น คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าได้รับเงินจากการขายของหรือให้บริการก็นับเป็นรายได้ แต่อันที่จริงในทางบัญชีนั้นมันจะมีเกณฑ์เป็นพิเศษว่าต้องถึงระดับไหน มีพฤติการณ์เช่นไร จึงจะสามารถคำนวณหรือบันทึกสิ่งนั้นว่าเป็นรายได้ หากพิจารณาจากเรื่องของอำนาจ การตีความกฎหมายถือเป็นการใช้อำนาจอย่างหนึ่ง การแย่งชิงอำนาจในการตีความมีมาตั้งแต่สมัยโรมัน เดิมนักบวชซึ่งเป็นชนชั้นสูงจะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายศาสนาท้องถิ่นของโรมันและมีหน้าที่ในการตีความกฎหมายจารีตประเพณีโรมัน ซึ่งในหลายครั้งใช้อำนาจในการตีความกฎหมายเข้าข้างชนชั้นสูงมากกว่าชนชั้นล่าง1 นอกเรื่องนิดหน่อย หากจะว่าไปแล้ว ประเด็นด้านภาษาในกฎหมายยังมีประเด็นเล็ก ๆ ที่แม้กระทั่งเด็กนิติเองก็ยังงง ๆ เช่น ถ้อยคำในบทบัญญัติกฎหมายมักจะมีภาษาเก่า ๆ ที่ใช้มาตั้งแต่สมัยร่างกฎหมายเมื่อเกือบ 100 ปีมาแล้ว เช่น คำว่า “ท่านว่า…” ซึ่งนักศึกษากฎหมายในปีแรกก็จะงุนงง จนผมมั่นใจว่านักศึกษาคณะนิติศาสตร์เกือบทุกคนต้องเคยตั้งคำถามนี้ในใจแน่ ๆ ท่านว่านั้น ท่านคือใคร! ใครคือท่าน ท่านอยู่ไหน จนเพลงต้องมา ใครหนออออ ท่านว่านี่ใครกันหนอออ แต่ดแต่ดแต่ด ตึ้ง ๆ (ทำนองชิงร้อยชิงล้าน) ประเด็นเรื่อง ภาษากฎหมาย นั้น ผมเคยตั้งข้อสงสัยบางอย่างและคิดว่า การตีความกฎหมายไทยบางครั้งเกิดปัญหาขึ้นมาก็เพราะเรื่องของภาษานี่ล่ะ โดยเฉพาะการตีความครั้งสำคัญที่ทำให้เกิดการสืบทอดการตีความกฎหมายและผลลัพธ์ของการตีความนั้นจะถูกยึดถือเป็นบรรทัดฐานในการใช้กฎหมายครั้งต่อ ๆ ไปด้วย ด้วยเหตุนี้ วงการกฎหมายจึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการใช้การตีความกฎหมาย นั่นส่งผลให้ นิสิตนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ที่ใช้เวลาประมาณ 4 ปีในรั้วโรงเรียนกฎหมายกำลังและล้วนถูกสอนให้ฝึกตีความ ภาษากฎหมาย และทักษะที่จะต้องถูกนำไปใช้ในชีวิตเมื่อทำงานกฎหมายก็คือ ทักษะในการใช้และตีความกฎหมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่ตัวบทบัญญัติกฎหมายจะถูกชำแหละกันทีละคำเพื่อประกอบการตีความและทำความเข้าใจกฎหมายในเรื่องนั้น ๆ เราสามารถดูตัวอย่างประจักษ์อันแสนชัดเจนได้จากมาตรา 4 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ซึ่งต่อไปจะย่อว่า ป.พ.พ. นะครับ)
โปรดสังเกตถ้อยคำในมาตรา 4 ซึ่งใช้คำว่า “ซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร” อันส่งผลให้นักกฎหมายจะต้องใช้และตีความกฎหมายตามตัวอักษรที่ปรากฏเสียก่อน ซึ่งจริง ๆ มันก็ควรจะต้องเป็นเช่นนั้นเพราะมันต้องมีถ้อยคำให้เราอ่านก่อนว่ากฎหมายเขียนไว้ว่าอย่างไร การตีความและใช้กฎหมายตามตัวอักษรจึงเป็นความสมเหตุสมผลในตัวมันเองระดับหนึ่ง ถ้ากฎหมายมีความชัดเจน มีตัวอักษรแสดงความมุ่งหมายอย่างแน่นอน ศาลก็ต้องบังคับคดีไป ตามความในกฎหมายซึ่งปรากฏอยู่2 เป็นกรณีที่ถ้อยคำของกฎหมายชัดเจนจึงไม่ต้องตีความ3 อย่างไรก็ดี มีนักกฎหมายบางท่านได้ให้ความเห็นอีกว่า ไม่มีบทกฎหมายใดเลยที่ไม่ต้องตีความ ยังไงก็จะต้องพิเคราะห์ตัวอักษรในตัวบทกฎหมายประกอบกับความมุ่งหมายของกฎหมายเสมอ4 นี่ล่ะครับที่ผมจะพาท่านเดินชมว่า ภาษากฎหมาย ที่นักกฎหมายได้เรียนกันมันมีประเด็นอะไรที่แตกต่างและน่าสนใจต่างไปจากภาษาไทยทั่วไปตามปกติบ้าง 2. คำในภาษาไทยกับในกฎหมายมีความหมายต่างกันเราต้องเริ่มต้นด้วยความเข้าใจก่อนเลยว่า คำที่ปรากฏในกฎหมายมักจะมีความหมายในทางกฎหมาย และการตีความคำ ๆ นั้นก็ควรจะต้องตีความไปในทางกฎหมายเป็นหลัก ซึ่งผมจะได้อธิบายเพิ่มเติมทีละประเด็นดังนี้ครับ ก. คำในกฎหมายคำในกฎหมายส่วนใหญ่มักจะมีความหมายเป็นของตัวเองที่เป็นการแตกต่างจากความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน การใช้คำในบริบทของกฎหมายจึงต้องพึงระลึกถึงสิ่งนี้ไว้เสมอ โดยเฉพาะถ้อยคำที่เป็นศัพท์แสงเทคนิคทางนิติศาสตร์อันเป็นเรื่องของกฎหมายโดยแท้ เช่น คำว่า กรรมสิทธิ์ ละเมิด โมฆะกรรม หรือคำที่กฎหมายอยากให้ต่างจากความเข้าใจของคนทั่วไป คำพวกนี้ก็จะมีความหมายตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น5 ผมลองยกตัวอย่างคำว่า “ละเมิด” ซึ่งเป็นคำกริยาที่มีความหมายว่า ล่วงเกินหรือฝ่าฝืนจารีตประเพณีหรือกฎหมายที่มีบัญญัติไว้ หรือล่วงเกิน ฝ่าฝืน ทำไปโดยพลการ หากแต่คำนี้ในกฎหมายมีสถานะเป็นหลักกฎหมายสำคัญเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว เพราะละเมิดเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ชนิดหนึ่งในกฎหมาย ซึ่งนักกฎหมายจะเริ่มทำความเข้าใจความหมายของละเมิดก็จากการเรียนเริ่มต้นที่มาตรา 420 ของป.พ.พ.
หรือคำว่า “ประมาท” ซึ่งเป็นคำที่คนทั่วไปส่วนใหญ่เข้าใจว่าหมายถึง การไม่ระมัดระวังจนไปทำให้เกิดความเสียหายอะไรบางอย่างขึ้นมา หากแต่คำนี้ในวงกฎหมายกลับมีความสลับซับซ้อน และการใช้คำนี้ในบริบทของประเภทกฎหมายที่ต่างกันก็อาจจะไม่เหมือนกัน เพราะประมาทในทางอาญากับทางแพ่งก็อาจจะมีความแตกต่างในบางประเด็น แม้กระทั่งประมาทในกฎหมายแพ่งก็ยังมีความแตกต่างกันด้วย เช่น ประมาทในเรื่องสัญญากับประมาทในเรื่องละเมิดก็มีหลักการบางอย่างที่ไม่คล้ายกัน เพราะระดับความระมัดระวังในความรับผิดตามสัญญาจะใช้เกณฑ์วัดแบบวิญญูชน แต่ความระมัดระวังที่ใช้ดูว่าประมาทหรือไม่ในความรับผิดแบบละเมิดจะเปรียบเทียบกับบุคคลที่มีความระมัดระวังตามพฤติการณ์และตามฐานะในสังคมเช่นเดียวกับผู้กระทำความเสียหาย6 และในภาษากฎหมายยังแยกระดับหรือความรุนแรงของความประมาทด้วย เพราะเหนือกว่าประมาทเลินเล่อ (ทั่วไป) ก็ยังมี “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” ด้วย ซึ่งประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจะยกระดับไปเท่ากับการกระทำโดยจงใจ (gross negligence is equivalent to evil intention) คำธรรมดา ๆ เช่นคำว่า “วรรค” คนทั่วไปอาจจะนึกถึงการเขียนที่จะต้องมีการเว้นวรรค การเว้นช่องว่างระหว่างคำหรือระหว่างข้อความ แต่ในแวดวงกฎหมายนั้น คำว่า วรรค จะเป็นที่เข้าใจตรงกันว่าเป็นการพูดถึง ย่อหน้าหนึ่ง ๆ ของบทบัญญัติในแต่ละมาตราของกฎหมาย ลองดูบทบัญญัติมาตรา 159 ป.พ.พ. ด้านล่างนี้ครับ
นักกฎหมายจะไม่พูดว่า มาตรา 159 นี้มีทั้งหมด 3 ย่อหน้า แต่จะพูดว่า มาตรานี้มีทั้งหมด 3 วรรค และลองสังเกตในวรรค 2 ตัวบทบัญญัติเองก็ใช้คำว่า วรรค ในการพูดถึงย่อหน้าก่อนด้วย ข. การตีความคำในกฎหมายอย่างที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้าครับ การตีความคำในกฎหมายควรจะต้องมีกฎหลักว่าให้ตีความไปในทางกฎหมายก่อน เช่น การตีความหรือทำความเข้าใจคำว่า ละเมิด หรือ ประมาท จะต้องตีความโดยอาศัยศาสตร์ทางกฎหมาย มิใช่การเปิดพจนานุกรมแล้วนำความหมายทั่วไปมาตีความ เพราะพจนานุกรมไม่ใช่บทบัญญัติของกฎหมายและด้วยระบบนิติวิธี (Juristic Method) รวมไปถึงการใช้การตีความกฎหมาย คำในกฎหมายก็ควรจะต้องตีความตามกฎหมายก่อนเสมอ แม้บทบัญญัติกฎหมายจะใช้ภาษาไทยในการบัญญัติขึ้นมา แต่ถ้อยคำในบทบัญญัติกฎหมาย แม้หลาย ๆ ครั้งจะเป็นถ้อยคำธรรมดาสามัญที่ใช้กันโดยทั่วไป อันอาจจะต้องตีความตามความเข้าใจทั่วไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผลสุดท้ายของความหมายของถ้อยคำ (ที่ตอนนี้เป็นบทบัญญัติกฎหมายแล้ว) จะต้องเหมือนกันกับความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ7 พูดง่าย ๆ ก็คือ คำธรรมดาทั่วไปเมื่อมาอยู่ในบทบัญญัติกฎหมายแล้ว หลายครั้งนั้นมันมักจะถูกเปลี่ยนความหมายไปจากที่คนทั่วไปเข้าใจกัน ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น คำว่า “เหตุสุดวิสัย” นั้น หากเราเปิดพจนานุกรมก่อนเราจะได้ความหมายประมาณว่า ภาวะที่พ้นความสามารถที่ใครจะป้องกันได้ ถ้าเรามาเอาใช้ในการตีความกฎหมาย ผลจะกลายเป็นว่าอะไรที่ไม่อาจป้องกันได้ก็จะกลายเป็นเหตุสุดวิสัย หากแต่นักกฎหมายจะต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า การตีความกฎหมายต้องตีความไปในทางกฎหมายก่อน เพราะฉะนั้นเหตุสุดวิสัยซึ่งมีมาตรา 8 แห่ง ป.พ.พ.นิยามไว้ เราก็ควรจะต้องพิจารณามาตรา 8 ก่อน
การยกความหมายในพจนานุกรมมาใช้ก่อนจึงอาจสร้างปัญหาในการตีความกฎหมายได้ เพราะย่อมเป็นการตีความกฎหมายที่ขัดกับบทบัญญัติกฎหมายและเจตนารมณ์ในการออกกฎหมายเรื่องนั้น ค. นักกฎหมายแปลงโฉมคำได้เนื่องจากกฎหมายโดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นสภาพบังคับให้ต้องปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นคำในกฎหมายจึงทรงพลังในการกำกับพฤติกรรมของผู้คนให้ทำหรือไม่ให้ทำในบางสิ่ง อันนำไปสู่ความอัศจรรย์ในเรื่องที่ว่า นักกฎหมายสามารถสร้างหรือแปรเปลี่ยนความหมายของคำบิดไปจากการรับรู้ปกติได้ด้วย โดยปกติแล้ว นักกฎหมายสามารถทำการสร้างหรือแปรเปลี่ยนความหมายของคำได้ 2 วิธี คือ วิธีที่หนึ่งโดยอาศัยการออกหรือตรากฎหมาย และวิธีที่สองโดยการร่างข้อตกลงในสัญญาบังคับระหว่างคู่สัญญา เช่น พระราชบัญญัติฉบับหนึ่งที่ถูกตรามาใช้บังคับยานยนต์ อาจระบุให้คำว่ายานยนต์คลุมไปถึงรถจักรยานยนต์ เครื่องบิน เรือ หรืออาจทำให้คำ ๆ นั้นแคบกว่าปกติ เช่น คำว่าสัตว์น้ำในกฎหมายฉบับนี้ไม่รวมถึงกุ้ง เป็นต้น 3. การใช้ ภาษากฎหมาย มักจะมีความซับซ้อนดูจะเป็นเรื่องที่ยอมรับและคุ้นชินไปแล้วว่า ภาษากฎหมายมักจะมีความซับซ้อนหรือยากต่อการทำความเข้าใจโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เรียนกฎหมายมา ซึ่งถ้ายังจำกันได้จากช่วงต้นของบทความ การทำให้กฎหมายมีความซับซ้อนเป็นการสร้างกำแพงโดยอ้อมให้กับวงวิชาชีพนักกฎหมายที่จะเข้ามาทำหน้าที่ตีความ หรือพูดอีกแบบได้ว่า นักกฎหมายได้สร้างเครื่องมือผูกขาดในการตีความกฎหมายผ่านทาง ภาษากฎหมาย ตัวอย่างชัดเจนในการใช้ภาษากฎหมายที่ซับซ้อนของวงการกฎหมายก็คือ การใช้รูปแบบปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ ซึ่งนักกฎหมายที่เรียนปีแรก ๆ จะเข้าใจกันดีว่า ภาษากฎหมายชอบใช้คำแบบปฏิเสธ เช่น มิให้ ต้องห้ามมิให้ มิอาจ มิชอบด้วยกฎหมาย ไม่อาจกระทำได้ โดยตัวอย่างของการคำเหล่านี้อาจดูได้จากบทบัญญัติของกฎหมายเอง เช่น มาตรา 151 ของป.พ.พ.
นอกจากนี้ยังมีขั้นที่ซับซ้อนกว่าของการปฏิเสธคือการใช้ปฏิเสธซ้อนทบ หรือเป็นลักษณะของนิเสธซ้อนนิเสธได้หลายขั้นไปเรื่อย ๆ เช่น ถ้อยคำในมาตรา 154 ป.พ.พ. ซึ่งผมใส่สีแดงน้ำตาลให้เห็นชัดเจนว่ามันมีคำแบบปฏิเสธอยู่จำนวนมาก
หรือท่านอาจจะไปเจอข้อความในสัญญาหรือกฎหมายที่เขียนไว้อย่างสลับซับซ้อนตีความหลายชั้นและต้องย้อนอ่านทวนหลายตลบ เช่น “…ไม่เป็นการต้องห้ามที่ลูกจ้างจะถูกห้ามโดยนายจ้างมิให้ประกอบธุรกิจในลักษณะอันเป็นการแข่งขันกับธุรกิจของนายจ้าง” พอจะเข้าใจไหมครับว่าข้อความข้างบนนี้บอกเราว่า นายจ้างสามารถห้ามลูกจ้างทำธุรกิจแข่งกับนายจ้างได้ หรืออธิบายอีกแบบก็คือ ลูกจ้างอาจถูกนายจ้างห้าม[ทำธุรกิจที่แข่งขันกับนายจ้าง] ประเด็นหนึ่งที่ชาวไทยอาจไม่ฉุกคิด แต่ชาวต่างประเทศที่ไม่ชินกับภาษาไทยอาจจะมีคำถามขึ้นมาได้ ก็คือ การเขียนภาษาไทยมักจะไม่ค่อยมีการใส่เครื่องหมายวรรคตอนสักเท่าใดนัก ในขณะที่หลาย ๆ ภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน ล้วนถือว่าเครื่องหมายวรรคตอนเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เพราะทำให้ความหมายเปลี่ยนได้ทันที ในประเด็นนี้ผมเคยโดนเพื่อนต่างชาติถามว่า ภาษา(ไทย)ของเธอไม่มีเครื่องหมายจบประโยค (ไม่มี ” . ” หรือ 。) แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่ามันจบประโยคตรงไหน คำถามนี้เล่นเอาผมมึนไปชั่วขณะเพราะตอบไม่ได้ นั่นสิครับ เรารู้กันได้ยังไงว่ามันจบประโยคหรือประโยคนี้สิ้นสุดลงที่ตรงไหน จะอาศัยดูจากการเว้นวรรคก็ไม่ใช่ ทั้งนี้อาจจะเพราะความที่เราใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ (native speaker) ซึ่งเรียนรู้ภาษาผ่านการใช้ในชีวิตประจำวัน สั่งสมผ่านประสบการณ์ตั้งแต่เล็กจนโต ผมคิดว่าในทางภาษาศาสตร์หรือไวยากรณ์ไทยน่าจะมีคำตอบสำหรับประเด็นนี้ แต่ถ้าสำหรับคนทั่วไป เราคงจะใช้การอนุมานหรือใช้สามัญสำนึกตอบไว ๆ ซะมากกว่า ว่าประโยคนี้มันสิ้นสุดน่าจะตรงนี้นะ ซึ่งเพื่อนคนที่ถามเป็นนักกฎหมายด้วย เขาก็เลยถามต่อว่า แล้วเวลาใช้เขียนภาษากฎหมาย ร่างสัญญา ร่างกฎหมาย มันจะไม่คลุมเครือหรอ เพราะไม่รู้ว่าสิ้นสุดประโยคตรงไหน ผมมาพบว่าประเด็นที่เพื่อนถาม เป็นประเด็นที่อาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียรเคยยกมาถกในหนังสือของท่านว่า เรื่องวรรคตอนและเครื่องหมายวรรคตอนเป็นปัญหาสำคัญของภาษาโดยเฉพาะภาษากฎหมายตั้งแต่สมัยก่อน การที่เราเขียนติดกันทั้งประโยคหรือวลี บางทีก็สร้างความกำกวม เช่น หากเจอป้าย “ขับช้า ๆ อันตราย” สรุปคือต้องขับเร็วหรือช้า จึงจะปลอดภัยกันแน่8 ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่หลาย ๆ เพจตลกใน Facebook จึงชอบเอามาเล่นมุกกัน เช่น การที่ติดป้ายไว้หน้าตึกว่า “ขายหรือเช่า ติดต่อ 08X…” ก็จะเอามาถามกันขำ ๆ ว่า สรุปเจ้าของจะขายหรือจะเช่า งงไปหมดแล้ว ในทางปฏิบัติก็เกิดปัญหานี้จริง ๆ อาจารย์วีระวงค์ จิตต์มิตรภาพ (หัวหน้าสำนักงานกฎหมายวีระวงค์ ชินวัฒน์ และพาร์ทเนอร์ส) ก็เคยตั้งข้อสังเกตและให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า
จากบทสัมภาษณ์ของอาจารย์วีระวงศ์จะพบว่า สัญญาทางธุรกิจจำนวนมากในไทยแม้จะบังคับตามกฎหมายไทยก็ยังถูกจัดทำและเขียนขึ้นโดยใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อขจัดปัญหาการตีความ ที่มักจะเกิดจากการไม่นิยมใส่ไวยากรณ์ในภาษาไทย การไม่มีเครื่องหมายจบประโยคก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้ครับ 4. ประธานเทียมกับภาษาเกี่ยวกับกฎหมายการสื่อสารในชีวิตประจำวันทั้งการพูดและการเขียน เรามักจะเจอการใช้ภาษาแบบไม่ตรงตัว เป็นการที่ผู้พูดหรือเขียนใช้คำ วลี หรือประโยคที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้ อธิบายอีกแบบก็คือ เป็นการพูดหรือเขียนอย่างหนึ่งแต่จริง ๆ แล้วหมายถึงอีกอย่าง ที่ไม่สามารถแปลออกมาตามที่พูดหรือเขียนได้ตรง ๆ ที่เราเข้าใจกันก็เพราะเราเติบโตผ่านวิธีการสื่อสารและรับสารจนเกิดความเข้าใจกันว่า สิ่งที่ผู้พูด ๆ หรือผู้เขียน ๆ นั้น แม้จะไม่ได้พูดตรง ๆ เขียนตรง ๆ แต่เราเข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่อความหมายอะไร โดยสาเหตุหนึ่งของเรื่องนี้ คือ การที่ภาษาไทยสามารถสร้างประธานเทียมขึ้นมาได้ ซึ่งการใช้ประธานเทียมมักจะเป็นการใช้ประโยคแบบกรรมวาจก (passive voice) ที่ละคำว่า “ถูก” ทิ้งไป ทำให้เกิดประโยคที่ประธานเทียมไม่ได้เป็นผู้กระทำกิริยานั้น ๆ ในประโยค9 เช่น โต๊ะนี้เมา (คนที่นั่งโต๊ะนี้เมา) หนังสืออ่านสนุก (คนอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกสนุก) กรุงเทพอึดอัด (คนที่อาศัยในกรุงเทพรู้สึกอึดอัด) ปัญหาที่จะเกิดขึ้นของการพูดอย่างแต่หมายถึงอีกอย่างหนึ่งนั้น ก็คือความยุ่งยากตอนแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งบางครั้งเป็นการเรียบเรียงการสื่อสารที่ขัดกับตรรกะแบบน่าประหลาดใจ แน่นอนว่าในวงการกฎหมายก็น่าจะต้องมีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเช่นกัน ผมลองรวบรวมมาให้จำนวนหนึ่งครับ (ก) โฉนดที่ดินมีขนาด 5 ไร่ โฉนดที่ดินปกติก็คือกระดาษหนึ่งแผ่นซึ่งไม่มีทางใหญ่ขนาด 5 ไร่ได้อย่างแน่นอน (เข้าลักษณะแบบเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง) ซึ่งความหมายที่เขาต้องการสื่อก็คือ ที่ดินที่ระบุไว้ในโฉนดฉบับนี้มีขนาด 5 ไร่ และแม้ไม่พูดตรง ๆ แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจประโยคนี้ได้ ไปซะอย่างงั้น (ข) รับทำ พ.ร.บ. รถยนต์ การที่ป้ายเขียนแบบนี้พบเจอได้บ่อย เราอาจจะเดาหรือเข้าใจได้ว่า บริษัทหรือหน่วยงานนี้มีบริการช่วยต่ออายุหรือดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องของประกันภัยรถยนต์ให้ แต่หากตั้งข้อสงสัยขึ้นมา เราจะงง ๆ ว่าที่นี่สามารถทำพระราชบัญญัติได้เลยหรอ นั่นหมายความว่า ที่นี่มีอำนาจนิติบัญญัติหรือเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวกับการร่างหรือจัดทำพระราชบัญญัติได้ ซึ่งไม่ใช่ ข้อสังเกตของผมก็คือ การไม่ได้พูดตรง ๆ หรือพูดอย่างหนึ่งแต่ความหมายจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่น่าสนใจและประหลาดใจไปพร้อมกัน เนื่องจากโดยปกติเราก็จะชินกับคำพูดต่าง ๆ เหล่านี้และเข้าใจนัยที่ผู้พูดหรือเขียนต้องการสื่อ แต่พอนั่งคิดดี ๆ มันก็เป็นการทำให้เราพูดอ้อม ๆ เฉไฉ หรือบิดตรรกะบางอย่างทิ้ง เป็นความอัศจรรย์ทางภาษาที่เราอาจจะไม่ได้ฉุกใจคิด หากแต่ปัญหาจะเกิดในกรณีที่มีการร่างสัญญาจากภาษาไทยเป็นอังกฤษ นักกฎหมายอาจจะมีต้นทุนที่มองไม่เห็นในการแปลหรือปรับเปลี่ยนภาษา เช่น หากมีคนเขียนว่าโฉนดมีขนาด 1 ตารางกิโลเมตรและโฉนดนี้มีปัญหาเพราะได้รุกล้ำหรือถูกรุกล้ำ ซึ่งท่านผู้อ่านน่าจะเข้าใจจากบริบทได้ว่าผมต้องการจะหมายถึงอะไร หากแต่ลองแกะประโยคทีละขั้น เราจะพบว่าโฉนดมีขนาด 1 ตารางกิโลเมตรไม่ได้ และกระดาษใบหนึ่ง (โฉนด) จะถูกรุกล้ำหรือไปรุกล้ำเขาได้ยังไง คำกริยารุกล้ำใช้กับโฉนดไม่ได้ 6. สรุปคำในภาษากฎหมายโดยปกตินั้นจะมีความหมายในทางกฎหมายโดยเฉพาะที่แตกต่างจากความหมายอันเป็นที่เข้าใจทั่วไป และรูปแบบการใช้ภาษาอาจมีความสลับซับซ้อนมากกว่าธรรมดาโดยเฉพาะการใช้คำในลักษณะปฏิเสธซ้อนทบ และนักกฎหมายเองก็ยังต้องใช้ความระมัดระวังในการตีความกฎหมาย ซึ่งตัวนักกฎหมายเองเวลาโดนถามประเด็นหรือคำในกฎหมาย หลายท่านก็ไม่สามารถตอบแบบไว ๆ ได้ สมมติท่านมาถามว่า ประมาทในละเมิดกับประมาทในสัญญาต่างกันไหม ผมอาจจะต้องตอบว่าไม่รู้เลย คงต้องขอเวลาไปค้นก่อน (ดังเช่นตอนที่เขียนบทความนี้ ผมก็ต้องเปิดหนังสือดู เพราะมันคลับคล้ายคลับคลา ไม่แน่ใจ) ทว่า แม้มันจะทำความเข้าใจยาก ซับซ้อน แต่ในบางแง่มุมของภาษากฎหมายนั้น ลองคิด ๆ ดู มันก็มีเสน่ห์ที่น่าสนใจมากทีเดียวครับ |