รับเงินประกันสังคมคืน อายุ55 เอกสาร

การเงิน

12 พ.ค. 2565 เวลา 11:30 น.68.5k

ทำความเข้าใจข้อดี ข้อควรระวัง ของเกณฑ์ใหม่ (ร่าง) พ.ร.บ.ประกันสังคม ก่อนขอเบิก "เงินชราภาพ" ที่ผู้ประกันตน ประกันสังคม ม.33 สะสมไว้บางส่วนออกมาใช้จ่ายก่อนครบกำหนด หรือเลือกรับเงินแบบ "บำเหน็จชราภาพ"

เรียกได้ว่าเป็นโอกาสของ "ผู้ประกันตน" ในกองทุน "ประกันสังคม ม.33" หลัง ที่ประชุม ครม. เมื่อ 10 พ.ค. 65 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบ (ร่าง) พ.ร.บ.ประกันสังคม เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน โดยหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ ใน ร่าง พ.ร.บ. ชุดนี้ คือ การมีโอกาสเลือกว่าจะรับเงินที่สมทบในส่วน "เงินชราภาพ" เป็นเงิน "บำเหน็จ" ที่หมายถึงการรับเงินก้อนเดียว หรือ "บำนาญ" แบบทยอยจ่ายไปตลอดชีวิต

เปิดโอกาสให้ผู้ประกันตน นำเงินกรณีชราภาพบางส่วนไปเป็นหลักประกันการกู้เงินรวมถึงปรับเกณฑ์ให้สามารถขอนำเงินบางส่วนออกมาใช้ก่อนได้

ทว่า แม้ผู้ประกันตนจะสามารถเลือกรับเงินสะสมของตัวเองได้ แต่อีกมุมหนึ่งก็มีข้อห่วงใยจากนักวิชาการว่า การนำเงินออกมาใช้ก่อนจะกระทบทำให้เสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมลดลงหรือไม่

รวมถึงสิ่งที่ผู้ประกันตนจะคำนึงถึงคือ การเลือก "บำเหน็จชราภาพ" กับ "บำนาญชราภาพ" มีข้อดีข้อด้อยที่ต้องทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจเลือก ให้สอดคล้องกับแผนการเงินของตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าการเลือกรับเงินจะไม่ส่งผลกระทบกับตัวเองในอนาคตด้วย

อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้จะถูกต้องประกาศใช้บังคับ "กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ชวนผู้ประกันตนมาทำความเข้าใจ หลักการ เหตุผล และข้อดี ข้อสังเกต ของการเปลี่ยนในครั้งนี้ไปทีละข้อ 

 1. ขอเลือก : "บำเหน็จชราภาพ" VS "บำนาญชราภาพ" 

ขอเลือก : มีสิทธิเลือกรับเงินบำนาญชราภาพ หรือเงินบำเหน็จชราภาพ เมื่อนำส่งเงินสมทบครบเงื่อนไขการได้รับเงินบำนาญชราภาพแล้ว

ตามหลักเกณฑ์ปัจจุบัน (ณ เดือนพ.ค.65) การรับเงินชราภาพ ของผู้ประกันตนประกันสังคมนั้นจะเน้นการให้เงินแบบ บำนาญชราภาพ โดยจะได้สิทธินี้ก็ต่อเมื่อจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน (15 ปี) และมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

ส่วนเงินบำเหน็จชราภาพนั้นจะได้สิทธิเฉพาะกรณี คือ คนที่จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง หรือกรณีเป็นผู้ทุพพลภาพหรือตายก่อนอายุ 55 ปีบริบูรณ์จะได้รับเงินเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ 

ซึ่งหากมีการประกาศใช้ ร่าง พ.ร.บ. ประกันสังคม ใหม่ล่าสุดนี้จะทำให้ผู้ประกันตนสามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินก้อนในครั้งเดียว (บำเหน็จ) หรือรับเงินรายเดือนทุกๆ เดือนจนกว่าจะเสียชีวิต (บำนาญ) ได้เอง ซึ่งอาจจะต้องพิจารณาให้ดีว่าการรับเงินแบบไหนที่เหมาะกับแผนการเงินของเรามากกว่า 

รับเงินประกันสังคมคืน อายุ55 เอกสาร

 2. ขอกู้ : ผู้ประกันตนนำเงินกรณีชราภาพบางส่วนไปเป็นหลักประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงินได้ 

เช่น หากตรวจสอบดูว่าเรามีเงินชราภาพอยู่ในระบบ แต่ไม่มีเงินสด ไม่มีเครดิตจะไปกู้สถาบันการเงิน ถ้าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวผ่าน ผู้ประกันตนสามารถไปกู้สถาบันการเงิน โดยกระทรวงแรงงานจะใช้สิทธิในเงินชราภาพไปค้ำประกันได้

เปรียบกับผู้ประกันตนมีหลักทรัพย์ใช้ค้ำประกันได้ชัวร์ยิ่งกว่าที่ดิน ก็คือ เงินที่หักไปให้ประกันสังคมทุกเดือน  ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราจำเป็นต้องใช้เงิน ไม่ต้องอาศัยกู้เงินนอกระบบ

 3. ขอคืน : สามารถนำเงินกรณีชราภาพที่ตนสมทบอยู่ในกองทุนประกันสังคมออกมาใช้ก่อนบางส่วน 

โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่าในส่วนของการ ขอคืน สามารถนำเงินกรณีชราภาพที่สมทบอยู่ในกองทุนประกันสังคมออกมาใช้ก่อนบางส่วน 

พร้อมชี้แจงว่าการนำเงินออกมาใช้ก่อนจะไม่กระทบเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม เพราะการขอคืนไม่ใช่จู่ๆ จะขอคืนได้เลย แต่ต้องเกิดวิกฤติ เช่น สถานการณ์โควิด ถูกล็อกดาวน์ และเป็นวิกฤติของโลก จึงออกเป็นกฎหมายนี้ออกมาเพื่อช่วยเหลือ 

พร้อมให้เหตุผลว่า จำเป็นต้องทำเรื่องนี้เพราะกฎหมายประกันสังคม 33 ปี ไม่เคยแก้ไข และไม่เคยแก้ปัญหาในยามจำเป็น ทุกคนที่มาบริหารคิดอย่างเดียวว่ากองทุนต้องให้คงไว้ ซึ่งความจริงกองทุนนั้นคงไว้อยู่แล้ว แต่จะให้ผู้ประกันตนมีประตูปิดเปิดหลายๆ ประตู

อย่างไรก็ตาม ยังต้องดูรายละเอียดต่อไปว่าการขอนำเงินประกันชราภาพออกมาใช้ในวิกฤติครั้งนี้จะมีเงื่อนไขอะไรอย่างไรอีกบ้าง 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

  • ครม.ไฟเขียวแก้ พ.ร.บ.ประกันสังคม เปิดช่องกู้เงินออมชราภาพ แก้หนี้นอกระบบ
  • ผู้ประกันตน เฮ! ครม.อนุมัติหลักการ เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ เช็คเลย

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์

          เงินชราภาพประกันสังคม ไม่ว่าจะเป็นบำเหน็จ หรือบำนาญ ถ้าอายุยังไม่ถึง แต่อยากได้เงินบางส่วนมาก่อนจะทำได้ไหม มาตอบคำถามคาใจ 

รับเงินประกันสังคมคืน อายุ55 เอกสาร

         

สิทธิประกันสังคม มาตรา 33 และมาตรา 39 ได้ให้ความคุ้มครองผู้ประกันตนหลายส่วน หนึ่งในนั้นก็คือ กรณีชราภาพที่จะได้รับเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ คือ เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และต้องเป็นไปตามเงื่อนไขอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ 

          แต่ที่ผ่านมาก็มีหลายคนตั้งคำถามว่า เราจะสามารถขอคืนเงินชราภาพบางส่วนออกมาก่อนครบกำหนดได้หรือไม่ เพื่อให้มีเงินเยียวยาในช่วงเวลาที่ชีวิตประสบปัญหาทางการเงิน หรืออย่างน้อยก็สามารถนำเงินส่วนนี้ไปค้ำประกันเงินกู้จากธนาคารได้

          เอาเป็นว่าใครกำลังสงสัยประเด็นนี้อยู่ ลองมาทำความเข้าใจกัน

เช็กเงินชราภาพประกันสังคม มีสะสมอยู่เท่าไร 

รับเงินประกันสังคมคืน อายุ55 เอกสาร

         

แล้วเงินก้อนนี้มาจากไหนล่ะ ? ไม่ต้องสงสัยไป เพราะนี่คือเงินสมทบที่เราจ่ายไว้ทุกเดือนนั่นเอง บวกกับเงินสมทบที่นายจ้างร่วมจ่ายให้เราด้วย โดยสำหรับผู้ประกันตน มาตรา 33 จะต้องจ่ายเงินสมทบ 5% ของเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 750 บาท (คิดจากฐานเงินเดือน 15,000 บาท) และในเงิน 5% นี้ จะถูกแบ่งเป็นกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพถึง 3%

          เท่ากับว่า หากเดือนนั้นเราจ่ายเงินสมทบประกันสังคม 750 บาท ก็จะถูกแบ่งเป็นเงินกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพถึง 450 บาท โดยมีนายจ้างสมทบให้อีก 450 บาท เมื่อรวม ๆ กันหลายปีก็มีเงินสมทบถึงหลักแสนได้เลย

รับเงินประกันสังคมคืน อายุ55 เอกสาร

เงินชราภาพประกันสังคม มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร  

เราจะได้รับเงินชราภาพในรูปแบบใดนั้นไม่สามารถเลือกเองได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับจำนวนปีที่ส่งเงินสมทบเข้าประกันสังคมที่แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1. เงินบำเหน็จชราภาพ : จ่ายก้อนเดียวจบ

  • กรณีเราจ่ายเงินสมทบ 1-11 เดือน จะได้บำเหน็จเฉพาะส่วนที่เราเคยส่งสมทบไว้ แต่จะไม่ได้ส่วนที่นายจ้างร่วมจ่ายให้ด้วย
     
  • กรณีเราจ่ายเงินสมทบ 12-179 เดือน จะได้บำเหน็จส่วนที่ตัวเองและนายจ้างจ่ายไว้ รวมกับกำไรที่ประกันสังคมนำเงินไปลงทุน โดยกำหนดอัตราผลตอบแทนที่ได้รับเป็นปี ๆ ไป

2. เงินบำนาญชราภาพ : จ่ายทุกเดือนตลอดชีวิต

  • เงื่อนไขเดียวที่จะได้รับบำนาญชราภาพก็คือ ต้องจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน หรือ 15 ปีขึ้นไป จะส่งติดต่อกัน 15 ปี หรือส่ง ๆ หยุด ๆ บางช่วงก็ได้ จะส่งในฐานะผู้ประกันตน มาตรา 33 หรือมาตรา 39 ก็ได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องครบ 180 เดือน 
     
  • กรณีนี้จะได้รับเงินบำนาญเท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ซึ่งหากเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 จะคิดที่ฐานเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท แต่หากเป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 จะคิดที่ฐานเงินเดือน 4,800 บาท
     
  • หากใครจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ก็จะได้บำนาญบวกเพิ่มขึ้นไปอีก 1.5% ทุก ๆ 12 เดือน หรือ 1 ปี เช่น จ่ายเงินสมทบ 30 ปี ก็จะได้รับบำนาญเป็น 20% + (1.5% x 15 ปี) เท่ากับ 42.5%
     
  • แต่ถ้าในช่วง 60 เดือนสุดท้ายของการทำงาน ใครเป็นทั้งผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 ก็ให้คำนวณจากฐานเงินเดือนสูงสุดของแต่ละมาตรา เช่น ช่วง 40 เดือนแรก เป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 คิดจากฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท บวกกับช่วง 20 เดือนสุดท้าย เป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 คิดจากฐานเงินเดือน 4,800 บาท 

รับเงินประกันสังคมคืน อายุ55 เอกสาร

เงินชราภาพจะได้คืนเมื่อไร

ลูกจ้างจะได้รับเงินชราภาพคืนก็ต่อเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

         

หมายความว่า เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้ว ไม่ใช่ว่าจะได้เงินทันที เราจะต้องลาออกจากงาน และลาออกจากประกันสังคมด้วย แต่หากเรายังทำงานอยู่ และส่งเงินสมทบไม่ว่าจะเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 หรือมาตรา 39 แม้อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้วก็ยังไม่มีสิทธิรับเงินชราภาพ

          สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับเงินคืน จะต้องทำเรื่องขอคืนเงินชราภาพประกันสังคมภายใน 1 ปี หลังลาออกจากกองทุนประกันสังคม ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิรับเงินบำเหน็จ-บำนาญทันที โดยศึกษาขั้นตอนการขอคืนเงินได้ที่นี่

ทั้งนี้ ต้องทราบก่อนว่า เมื่อลาออกจากประกันสังคมเพื่อรับเงินชราภาพ จะทำให้เราเสียสิทธิอื่น ๆ ของประกันสังคมไปด้วย โดยเฉพาะสิทธิการรักษาพยาบาลที่ต้องเปลี่ยนไปใช้บัตรทอง หรือหากไม่มีประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ก็ต้องควักเงินจ่ายเองเมื่อเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล

ขอคืนเงินชราภาพก่อนอายุ 55 ปีได้หรือไม่

รับเงินประกันสังคมคืน อายุ55 เอกสาร

         

สมมติว่า คุณเอ ส่งเงินสมทบครบ 15 ปีแล้ว และได้ลาออกจากงานพร้อมกับลาออกจากประกันสังคมเมื่ออายุ 40 ปี แบบนี้คุณเอจะขอรับเงินชราภาพเลยได้ไหม ?

          คำตอบคือ ไม่ได้ แม้ว่าจะส่งเงินมาครบ 15 ปี แต่ถ้าคุณเออายุยังไม่ถึง 55 ปีบริบูรณ์ ก็ต้องรอจนกว่าอายุจะครบเท่านั้น ถึงจะได้รับเงินส่วนนี้ เพราะหลักการของเงินชราภาพก็คือ ต้องการให้ทุกคนมีบำนาญรายเดือนหลังเกษียณ โดยไม่ต้องห่วงว่าหากตัวเองอายุยืนแล้วจะมีเงินสมทบไม่พอใช้

          ยกเว้น 2 กรณีที่จะสามารถรับเงินชราภาพคืนก่อนอายุ 55 ปีได้ คือ

          1. ผู้ประกันตนกลายเป็นผู้ทุพพลภาพก่อนอายุ 55 ปี จะคืนเป็นเงินบำเหน็จ

          2. ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายก่อนอายุ 55 ปี ทายาทจะได้รับเป็นเงินบำเหน็จเท่านั้น ไม่มีสิทธิรับเป็นเงินบำนาญ แม้จะส่งเงินสมทบครบ 15 ปีแล้วก็ตาม

ลุ้น ! แก้ไขสิทธิประโยชน์
ขอเลือก ขอคืน ขอกู้เงินชราภาพได้

         

จะเห็นได้ว่ากรณีการขอรับเงินชราภาพมีข้อจำกัดหลายประการ ทำให้ผู้ประกันตนเรียกร้องให้สำนักงานประกันสังคมพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวประกาศใช้มามากกว่า 20 ปีแล้ว

          นั่นจึงเป็นเหตุให้สำนักงานประกันสังคมพิจารณาแก้ไขกฎหมายเรื่องนี้ โดยมี 3 ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจก็คือ ขอเลือก ขอคืน ขอกู้ 

1. ขอเลือก : ให้ผู้ประกันตนที่มีสิทธิรับบำนาญ ขอเลือกรับบำเหน็จแทนได้

         

เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกันตนไม่สามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินแบบไหน เพราะกฎหมายให้คำนวณจากจำนวนปีที่ส่งเงินสมทบเป็นเกณฑ์

          กล่าวคือ หากส่งเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน ก็จะได้เงินบำเหน็จ แต่หากส่งเงินสมทบตั้งแต่ 180 เดือนขึ้นไป ถึงจะได้รับเงินบำนาญ ดังนั้น คนที่ทำงานมาเกิน 15 ปี จะต้องรับบำนาญเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถเลือกรับบำเหน็จได้

          ทั้งนี้ การรับเงินบำเหน็จมีข้อดีตรงที่ได้เงินก้อนใหญ่มาเลยทีเดียว เหมาะกับคนที่ต้องการใช้เงินก้อน แต่ก็มีข้อเสียคือ ในกรณีที่เราอายุยืน เราจะได้บำเหน็จน้อยกว่าบำนาญ และมีโอกาสที่จะใช้เงินหมดก่อน อาจไม่มีเงินใช้ในบั้นปลายชีวิต

2. ขอคืน : ให้ผู้ประกันตนขอรับเงินชราภาพบางส่วน ก่อนอายุ 55 ปี

โดยปกติเราจะได้รับเงินชราภาพเมื่ออายุ 55 ปี และลาออกจากประกันสังคมเท่านั้น แต่ขณะนี้กำลังศึกษาแนวทางที่จะให้ผู้ประกันตนเลือกขอรับบำเหน็จหรือบำนาญชราภาพล่วงหน้าได้บางส่วนก่อนอายุ 55 ปี ซึ่งมีข้อดีคือ สามารถบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินได้ แต่มีข้อเสียคือ หากใช้สิทธิรับเงินล่วงหน้าไปแล้วจะเหลือเงินบำเหน็จหรือบำนาญลดลง 

3. ขอกู้ : ให้ผู้ประกันตนนำเงินชราเป็นหลักประกันเงินกู้ผ่านธนาคาร

         

กล่าวคือ ให้ผู้ประกันตนนำสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพซึ่งมีเงินสมทบอยู่จำนวนหนึ่งไปใช้เป็นหลักประกันเมื่อต้องการขอกู้เงินจากธนาคารได้ ซึ่งจะช่วยให้คนที่ได้รับความเดือดร้อนทางการเงิน และไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สามารถยื่นขอกู้ธนาคารได้

          แต่ก็ต้องระวังว่าหากผู้ประกันตนไม่ผ่อนชำระเงินคืนธนาคารตามกำหนด อาจถูกยึดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และต้องถูกปรับลดเงินบำเหน็จหรือบำนาญลงตามจำนวนเงินที่นำไปค้ำประกัน

ครม. ไฟเขียวหลักการ เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน

          สำหรับความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ 3 ประเด็น ทั้งขอเลือก, ขอคืน และขอกู้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นการปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้

  • ให้ผู้รับเงินบำนาญชราภาพสามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนได้
  • ให้ผู้รับเงินบำนาญชราภาพสามารถขอรับเงินบำนาญจ่ายล่วงหน้าได้ 
  • ให้ผู้ประกันตนที่มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ สามารถเลือกรับเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญชราภาพได้ (ขอเลือก)
  • ในกรณีเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สาธารณภัย หรือเหตุการณ์อื่นใดอันส่งผลกระทบต่อผู้ประกันตน ก็สามารถนำเงินสะสมกรณีชราภาพบางส่วนออกมาใช้ได้ก่อนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ (ขอคืน)
  • สามารถนำเงินสะสมกรณีชราภาพบางส่วนไปเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินได้ (ขอกู้) 

       

นอกจากนี้ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่น ๆ แก่ผู้ประกันตน อาทิ

  • ขยายอายุขั้นสูงของผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้าง จากเดิมอายุ 60 ปีบริบูรณ์ เป็นอายุ 65 ปีบริบูรณ์
  • เพิ่มเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ จากร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เป็นร้อยละ 70 ของค่าจ้าง
  • เพิ่มระยะเวลาในการจ่ายเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร โดยเหมาจ่ายครั้งละร้อยละ 50 ของค่าจ้าง จากเดิม 90 วัน เป็น 98 วัน
  • กรณีผู้ประกันตนสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง และภายหลังการสิ้นสภาพเป็นผู้ประกันตน จะยังได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรต่อไปอีก 6 เดือน

          อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ ครม. อนุมัติหลักการแล้ว และต้องรอการประกาศให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการต่อไป