We’ve updated our privacy policy so that we are compliant with changing global privacy regulations and to provide you with insight into the limited ways in which we use your data. You can read the details below. By accepting, you agree to the updated privacy policy. Thank you! View updated privacy policy We've encountered a problem, please try again. หลักสูตรรายวิชากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เรื่อง ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสต์ร ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เจตคติ ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และโครงงานวิทยาศาสตร์ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เรื่อง เซลล พันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสารเพื่อชีวิต เรื่องละสมบัติของธาตุธาตุและกัมมันตภาพรังสี สมการเคมีและปฏิกิริยา เคมี โปรตีน คาร์ โบไฮเดรตและไขมัน ปิโตรเลียมและพอลิเมอร สารเคมีกับสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม แรงและพลังงานเพื่อชีวิต เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ พลังงานเสียง ดาราศาสตร์ เพื่อชีวิตเทคโนโลยีอวกาศ แบบทดสอบก่อนเรียนแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยที่ 1 ทักษะทางวิทยาศาสตร์ และโครงงานวิทยาศาสตร์หน่วยที่ 2 เซลล์ การถ่ายทอดทางพันธุกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพหน่วยที่ 3 ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมหน่วยที่ 4 ธาตุ สมบัติของธาตุ และปฏิกิริยาเคมีหน่วยที่ 5 ปิโตรเลียมและพอลิเมอร์ สารเคมีกับชีวิตและสิ่งแวดล้อมหน่วยที่ 6 แรงและการเคลื่อนที่หน่วยที่ 7 เทคโนโลยีอวกาศหน่วยที่ 8 อาชีพช่างไฟฟ้าสรุปเนื้อหาแบบทดสอบหลังเรียนติวเข้มข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์ พว31001ข้อสอบกลางภาค1. ใช ้ความรู้ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เจตคติทางวิทยาสาสตร์ ทําโครงงานวิทยาศาสตร์ และนําผลไปใช้ ได้ 2. อธิบายเกี่ยวกับการแบ่งเซลล์ พันธุกรรมและการถ่ายทอดทางพันธุกรรม การผ่าเหล่ า ความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ การใช้ ประโยชน์ และผลกระทบที่เกิดจากการใช้ เทคโนโลยีชีวภาพต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมได้ 3. อธิบายเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดจากใช้ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่น ประเทศและโลก ปรากฏการณ์ ทางธรณีวิทยาที่มีผลกระทบต่อชีวิต และสิ่งแวดล้อม วางแผนและ ปฏิบัติร วมกับชุมชนเพื่อป้องกันและแก้ ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4. อธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอม ตารางธาตุ สมการและปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจําวัน คาร์ โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ปิโตเลียมและผลิตภัณฑ์ พอลิเมอร์ ปิโตรเลียม สารเคมีกับ ชีวิต การนําไปใช้ และผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้ 5. อธิบายเกี่ยวกับแรงและความสัมพันธ์ ของแรงกับการเคลื่อนที่ในสนามโน้มถ่วง สนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ า การเคลื่อนที่แบบต่างๆ และการนําไปใช้ ประโยชน์ ได้ 6.อธิบายเกี่ยวกับสมัติ ประโยชน์ และมลภาวะจากเสียง ประโยชน์ และโทษของธาตุ กัมมันตรังสีต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้ 7.ศึกษา ค้นคว้าและอธิบายเกี่ยวกับการใช้ เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษาปรากฏการณ์ ต่างๆ บนโลกและในอวกาศ หนงั สือเรียนสาระความรู้พ้นื ฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ( พว 31001 ) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ห้ามจาหน่าย หนงั สือเรียนเล่มน้ีจดั พิมพด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพื่อการศึกษาตลอดชีวติ สาหรับประชาชน หนงั สือเรียนสาระความรู้พ้นื ฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ( พว 31001 ) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560 ลิขสิทธ์ิเป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ คํานํา กระทรวงศึกษาธิการไดป้ ระกาศใชห้ ลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน ในปี งบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการไดก้ าํ หนดแผนยุทธศาสตร์ในการขบั เคลือนนโยบาย การปรับปรุงหนงั สือเรียนในครังนี ไดร้ ับความร่วมมอื อยา่ งดียงิ จากผทู้ รงคุณวุฒิในแต่ละสาขาวิชา สารบัญ หน้า คาํ นาํ คําแนะนําการใช้หนังสือเรียน หนงั สือเรียนสาระความรู้พนื ฐาน รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย รหสั พว ในการศึกษาหนงั สือเรียนสาระความรู้พนื ฐาน รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ผเู้ รียนควรปฏบิ ตั ิดงั นี โครงสร้างรายวิชา (พว 31001) วิทยาศาสตร์ สาระสําคญั . กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรือง ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ กระบวนการ . สิงมีชีวิตและสิงแวดล้อม เรื อง เซลล์ พันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ 3. สารเพือชีวิต เรือง ธาตุและสมบตั ิของธาตุ กมั มนั ตภาพรังสี
สมการเคมีและปฏิกิริยาเคมี . แรงและพลงั งานเพอื ชีวิต เรือง แรงและการเคลอื นที พลงั งานเสียง ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั . ใชค้ วามรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทาง การทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์และนาํ ผลไปใชไ้ ด้ 6. อธิบายเกียวกบั สมบตั ิ ประโยชน์และมลภาวะจากเสียง ประโยชน์และโทษของธาตุกมั มนั ตรังสี 7. ศกึ ษา คน้ ควา้ และอธิบายเกียวกบั
การใชเ้ ทคโนโลยีอวกาศในการศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆ บน 8. อธิบาย ออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏิบตั ิการเรืองไฟฟ้ าไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งและปลอดภยั ขอบข่ายเนือหา บทที ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1 บทที 1 สาระสําคญั วิทยาศาสตร์เป็ นเรืองของการเรียนรู้เกียวกับธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ชท้ ักษะต่างๆ สํารวจและ ในการดาํ เนินการหาคาํ ตอบเรืองใดเรืองหนึงนอกจากจะตอ้ งใชท้ กั ษะทางวิทยาศาสตร์แลว้ ในการ ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั เรืองที 1 อธิบายธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ ขอบข่ายเนือหา เรืองที ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ 2 เรืองที ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เป็ นเรืองของการเรียนรู้เกียวกบั ธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ชก้ ระบวนการสังเกต สาํ รวจ ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย ทางธรรมชาติทีเกิดขึน ขอ้ สงสยั นนั ๆ ต่อตวั แปรทีตอ้ งการศึกษา และตวั แปรทีตอ้ งควบคุม ทีกาํ หนด ทักษะกระบวนการทางวทิ
ยาศาสตร์ประกอบด้วย ทักษะ ดงั นี 3 . ทกั ษะการกาํ หนดนิยามเชิงปฏบิ ตั ิการ (Defining Operationally) 4 ทักษะการจดั กระทําและสือความหมายข้อมูล (Communication)
ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิมเติมความคิดเห็นให้กับ ทักษะการพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนหาคาํ ตอบล่วงหน้าก่อนการ
ทักษะการตงั สมมตุ ฐิ าน (Formulating Hypothesis) หมายถงึ การคิดหาค่าคาํ ตอบล่วงหนา้ ทกั ษะการควบคมุ ตวั แปร (Controlling Variables) หมายถงึ การควบคุมสิงอนื
ๆ ตวั แปรแบ่งออกเป็น ประเภท คือ 5 และสามารถสงั เกตและวดั ได้ เช่น “ การเจริญเติบโต ” หมายความว่าอย่างไร ตอ้ งกาํ หนดนิยามให้ชดั เจน ทกั ษะการทดลอง ( Experimenting ) หมายถงึ กระบวนการปฏบิ ตั ิการโดยใชท้ กั ษะต่าง ๆ 1. การออกแบบการทดลอง 6 5. มีความเพยี รพยายาม 6. มีความละเอยี ดรอบคอบ เรืองที กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การดาํ
เนินการเรืองใดเรืองหนึงจะตอ้ งมกี ารกาํ หนดขนั ตอน อยา่ งเป็ นลาํ ดบั ตงั แต่ตน้ จนแลว้ เสร็จ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จึงเป็ นแนวทางการดาํ เนินการ โดยใชท้ กั ษะวิทยาศาสตร์มาใชใ้ น 1. การกาํ หนดปัญหา ขันตอนที การกาํ หนดปัญหา เป็ นการกาํ หนดหัวเรืองทีจะศึกษาหรือปฏิบตั ิการแกป้ ัญหาเป็ น ตวั อยา่ งการกาํ หนดปัญหา 7 ในเรืองนนั ๆ ฯลฯ และกาํ หนดตวั แปรทีเกียวขอ้ งกบั การทดลอง ไดแ้ ก่ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม
ตวั แปร ตวั อย่าง สมมตฐิ าน ขันตอนที การทดลองและรวบรวมขอ้ มลู เป็นการปฏบิ ตั ิการทดลองคน้ หาความจริงใหส้ อดคลอ้ ง ตวั อย่าง - ทรายสาํ หรับใส่กระบะทงั ใหม้ ปี ริมาณเท่า ๆ กนั 8 ผลการทดลอง เทคโนโลยี และการนาํ เทคโนโลยไี ปใช้ ทีสามารถนาํ ไปปฏบิ ตั ิใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุด สนองความตอ้ งการของมนุษยเ์ ป็นสิงทีมนุษยพ์ ฒั นาขึน เทคโนโลยใี นการประกอบอาชีพ 9 แวดลอ้ มหลายดา้ น เช่น ทรัพยากรสิงแวดลอ้ ม ความเสมอภาคในโอกาสการแข่งขนั ทางเศรษฐกิจและสงั คม เทคโนโลยที ีใช้ในชีวติ ประจาํ วนั 10 เทคโนโลยชี ีวภาพทางการเกษตร เรืองที วสั ดุและอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ อปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ คือ เครืองมือทีใหท้ งั ภายในและภายนอกห้องปฏิบตั
ิการเพือใชท้ ดลอง . ประเภททวั ไป เช่น บีกเกอร์ หลอดทดสอบ ไพเพท บิวเรต กระบอกตวง หลอดหยดสาร 2. ประเภทเครืองมือช่าง เป็นอปุ กรณ์ทีใชไ้ ดท้ งั ภายในหอ้
งปฏบิ ตั ิการ และภายนอกหอ้ งปฏิบตั ิการ 3. ประเภทสินเปลือง และสารเคมี เป็นอปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ทีใชแ้ ลว้ หมดไปไม่สามารถ การใช้อปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ประเภทต่าง ๆ บีกเกอร์มีหลายขนาดและมีความจุต่างกนั โดยทีขา้ งบีกเกอร์จะมีตวั เลขระบุความจุของบีกเกอร์ 11
การเลือกขนาดของบีกเกอร์เพือใส่ของเหลวนันขึนอย่กู บั ปริมาณของเหลวทีจะใส่ โดยปกติให้ หลอดทดสอบ ( TEST TUBE ) ขนาดของหลอดทดสอบระบุได้ 2 แบบ คือ ความยาวกบั เส้นผ่าศนู ยก์
ลางริมนอกหรือขนาดความจุเป็ น ความยาว * เส้นผ่าศูนย์กลางริมนอก ความจุ 75 * 11 4 หลอดทดสอบส่วนมากใชส้ าํ หรับทดลองปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารต่าง ๆ ทีเป็ นสารละลาย ใชต้ ม้ หลอดทดสอบแบบทนไฟจะมขี นาดใหญ่ และหนากว่าหลอดธรรมดา ใชส้ าํ หรับเผาสารต่าง ๆ ดว้
ย ไพเพทเป็นอปุ กรณ์ทีใชใ้ นการวดั ปริมาตรไดอ้ ยา่ งใกลเ้ คียง มีอยหู่ ลายชนิด แต่โดยทวั ไปทีมีใชอ้ ยู่ 12 ปริมาตรของของเหลวไดเ้ ฉพาะ 25 มล.
เท่านนั Transfer pipette มหี ลายขนาดตงั แต่ 1 มล. ถงึ 100 มล. ถึงแม้ Transfer pipette ขนาด 10 มล. มคี วามผดิ พลาด 0.2% Transfer pipette ใชส้ าํ หรับส่งผ่านของสารละลาย ทีมีปริมาตรตามขนาดของไพเพท เมือปล่อยสารละลาย Measuring pipette ขนาด 10
มล. มีความผดิ พลาด 0.3% บิวเรท (BURETTE) การไหลของของเหลว บิวเรทเป็นอปุ กรณ์ทีใชใ้ นการวิเคราะห์ มขี นาดตงั แต่ 10 มล. จนถึง 100 มล. บิวเรท บิวเรทขนาด 10 มล. มคี วามผดิ พลาด 0.4% 13 เครืองชัง ( BALANCE ) เป็ นเครืองชังชนิด Mechanical balance อีกชนิดหนึงทีมีราคาถกู และใชง้ ่าย แต่มีความไวนอ้ ย วธิ กี ารใช้เครืองชังแบบ (Triple - beam balance) ใหเ้ ขม็ ชีตรงขีด 0 0 อ่านนาํ หนกั บนแขนเครืองชงั จะเป็นนาํ หนกั ของขวดบรรจุสาร ในขอ้ 2 แลว้ เลอื นตุม้ นาํ หนกั บนแขนทงั 3 ใหต้ รงกบั นาํ หนกั ทีตอ้ งการ ตามตอ้ งการ เครืองชงั หากมสี ารเคมีหกบนจานหรือรอบๆ เครืองชงั แบบ equal-arm balance 14 เป็นเครืองชงั ทีมีแขน 2 ขา้ งยาวเท่ากนั เมือวดั ระยะจากจุด วธิ ีการใช้เครืองชังแบบ (Equal - arm balance) เมือไม่มวี ตั ถอุ ยบู่ นจาน ปลอ่ ยทีรองจาน แลว้ ปรับใหเ้ ข็มชีทีเลข 0 บนสเกลศนู ย์ โดยใชค้ ีมคีบ ขึน เพือตรึงแขนเครืองชงั แลว้ เติมตุม้ นาํ หนกั อีก ถา้ เข็มชีมาทางขวาของสเกลศูนยแ์ สดงว่าขวดชงั สารเบา 4. ในกรณีทีตุม้ นําหนักไม่สามารถทาํ ใหแ้ ขนทงั 2 ขา้ งอยใู่ นระนาบได้
ให้เลือนไรเดอร์ไปมา 5. บนั ทึกนาํ หนกั ทงั หมดทีชงั ได้ 2.การใช้งานอปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์ประเภทเครืองมอื ช่าง มีลกั ษณะทวั ไป ดงั รูป 15 ส่ วนประกอบของเวอร์ เนีย สเกลหลกั 4 - 5 เป็นสเกลไมบ้ รรทดั ธรรมดา ซึงเป็นมลิ ลิเมตร (mm) และนิว (inch) การใช้เวอร์เนยี ไดค้ ลอ่ งตวั หรือไม่ จากนนั ยกเวอร์เนียร์ขึนส่องดวู ่า บริเวณปากเวอร์เนียร์ มีแสงสว่างผา่ นหรือไม่ ถา้ ไม่มีแสดงว่าสามารถใช้ 2. การวดั ขนาดงาน ตามลาํ ดับขันดังนี จะทาํ ใหข้ นาดงานทีอา่ นไมถ่ กู ตอ้ งและปากเวอร์เนียร์จะเสียรูปทรง 16 2.4 ขณะวดั งาน สายตาตอ้ งมองตงั ฉากกบั ตาํ แหน่งทีอา่ น แลว้ จึงอ่านค่า คมี (TONG) tong
และคีมทีใชก้ บั เบา้ เคลือบเรียกวา่ crucible tong ซึงทาํ ดว้ ยนิเกิลหรือโลหะเจือเหลก็ ทีไมเ่ ป็นสนิม 3. การใช้งานอปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์ประเภทสินเปลอื งและสารเคมี ขนาดของอนุภาคทีเลก็ กวา่ กระดาษลิตมสั มีสองสีคือสีแดงหรือสีชมพู
และสีนําเงินหรือสีฟ้ า วิธีใชค้ ือการสัมผสั ของเหลวลงบน สารเคมี หมายถงึ สารทีประกอบดว้ ยธาตุเดียวกนั หรือสารประกอบจากธาตุต่างๆรวมกนั ดว้ ยพนั ธะ ห้องปฏบิ ัตกิ ารทางวทิ ยาศาสตร์ (LAB) 17 3) หอ้ งปฏิบตั ิการทีเป็นสีเหลยี มผนื ผา้ ตอ้ งมีลกั ษณะหอ้ งไม่ยาวหรือแคบเกินไป จนทาํ ให้มุมมอง
4) พืนของหอ้ งปฏิบตั ิการตอ้ งไม่มีรอยต่อหรือมีรอยต่อนอ้ ยทีสุด พืนหอ้ งควรทาํ ดว้ ยวสั ดุทีทนต่อ ความปลอดภยั ในการใช้ห้องปฏิบตั กิ าร ตาหรือก๊อกนาํ เครืองดบั เพลงิ ทีกดสญั ญาณไฟไหม้ (ถา้ ม)ี และทางออกฉุกเฉิน งานของอปุ กรณ์ทดลองใด ๆ กจ็ ะตอ้ งปรึกษาครูจนเขา้ ใจก่อนลงมือทาํ ปฏบิ ตั ิการ ไดร้ ับอนุญาตจากครูก่อนทุกครัง ความช่วยเหลอื ทาํ ปฏิบตั ิการเป็นภาชนะใส่อาหารและเครืองดืม ปฏิบตั ิการและอุปกรณ์จดบนั ทึกเท่านนั อย่บู นโต๊ะทาํ ปฏิบตั ิการ ส่วนกระเป๋ าหนงั สือและเครืองใชอ้ ืน ๆ (8) อ่านคู่มือการใชอ้
ุปกรณ์ทดลองทุกชนิดก่อนใชง้ าน ถา้ เป็นอปุ กรณ์ไฟฟ้ าจะตอ้ งใหม้ ือแห้งสนิท (9) การทดลองทีใชค้ วามร้อนจากตะเกียงและแก๊ส ตอ้ งทาํ ดว้ ยความระมดั ระวงั เป็ นพิเศษ ไม่ริน (10) สารเคมที ุกชนดิ ในหอ้ งปฏบิ ตั ิการเป็นอนั ตราย
ไม่สมั ผสั ชิม หรือสูดดมสารเคมใี ด ๆ นอกจาก (11) ตรวจสอบสลากทีปิ ดขวดสารเคมที ุกครังก่อนนาํ มาใช้ รินหรือตกั สารออกมาในปริมาณ 18 (12) การทาํ ปฏิบตั ิการชีววิทยา จะตอ้ งทาํ ตามเทคนิคปลอดเชือตลอดเวลาดว้ ยการลา้ งมือดว้ ยสบู่ (13) เมอื เกิดอุบตั ิเหตุหรือมีความผดิ ปกติใด ๆ เกิดขึนใหร้ ายงานครูทนั ทีและดาํ เนินการ (14) เมอื ทาํ การทดลองเสร็จแลว้ ตอ้ งทาํ ความสะอาดเครืองมือและเกบ็ เขา้ ทีเดิมทุกครัง ทาํ ความสะอาด การทาํ
ความสะอาดบริเวณทีปนเปื อนสารเคมี 19 กิจกรรมที ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ ภาพ ก ภาพ ข ภาพแสดงทรัพยากรธรรมชาติทีเคยมอี ยา่ งสมบรู ณ์ไดท้ าํ ลายจนร่อยหรอไปแลว้ 1. จากการสงั เกตภาพเห็นขอ้ แตกต่างในเรืองใดบา้ ง แบบทดสอบบทที คาํ ชีแจง จงเลอื กคาํ ตอบทถี ูกทีสุด 1. ค่านาํ ทีบา้ น 3 เดือนทีผา่ นมาสูงกวา่ ปกติ จากขอ้ ความเกิดจากทกั ษะขอ้ ใด 2. จากขอ้ 1 นกั เรียนพบวา่ ท่อประปารัวจึงทาํ ใหค้ ่านาํ สูงกวา่ ปกตินักเรียนใชว้
ิธีการทางวิทยาศาสตร์ขอ้ ใด ก. ตงั ปัญหา 20 3. ลกั ษณะนิสยั ของนกั วิทยาศาสตร์ขอ้ ใดทีทาํ ใหง้ านประสบความสาํ เร็จ 4. นอ้ ยสวมเสือสีดาํ เดินทาง 2 กิโลเมตร และเปลียนเสือตวั ใหม่เป็ นสีขาวเดินในระยะทางเท่ากนั และ ก. สีใดมคี วามร้อนมากกว่ากนั 21 8. จากปัญหา “ชนิดของเสียงจะมผี
ลต่อการเจริญเติบโตของไก่หรือไม”่ ควรจะตงั สมมติฐานว่าอยา่ งไร จากการสงั เกต และบนั ทึกผล 22 . สมมติฐานทางวทิ ยาศาสตร์จะเปลยี นเป็นทฤษฎีไดเ้ มอื ใด . อุปกรณ์ต่อไปนี ขอ้ ใดเป็นอปุ กรณ์สาํ หรับหาปริมาตรของสาร . ในกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ถา้
หากผลการทดลองทีไดจ้ ากการทดสอบสมมติฐาน ไม่สอดคลอ้ งกบั ก. สงั เกตใหม่ 23 . ขอ้ ใดเป็นลกั ษณะของสมมติฐานทีดี 21. “ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ าจะดดู จาํ นวนตะปูไดม้ ากขึนใช่หรือไม่ ถา้ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ านนั มจี าํ นวนแบตเตอรีเพมิ ขึน ”
ก. ตวั แปรอิสระ คือ จาํ นวนแบตเตอรี 24 25. การกาํ หนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการทีดีควรมลี กั ษณะอยา่ งไร 26. ถา้ นกั เรียนจะกาํ หนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ ” การเจริญเติบโตของไก่ ” นักเรียนจะมีวิธีการกาํ
หนดนิยาม ก. ตรวจสอบจากความสูงของไก่ทีเพมิ ขึน และการบนั ทึกผล การทดลอง 25 จากขอ้ มลู ต่อไปนีใหต้ อบคาํ ถามขอ้ และขอ้ 30 จากการทดลองละลายสาร A ทีละลายในของเหลว B ณ อุณหภูมติ ่าง ๆ ดงั นี อุณหภมู ขิ องเหลว B ปริมาณของสาร A ทีละลาย ในของเหลว B 20 5 29. ทีอณุ หภูมิ 20 องศาเซลเซียส สาร A ละลายในของเหลว B ไดก้ ีกรัม 30. จากขอ้ มลู ในตาราง เมอื อุณหภมู สิ ูงขึน การละลายของสาร A เป็นอยา่ งไร 26 แบบทดสอบ ทกั ษะวทิ ยาศาสตร์ จงนาํ ตวั อกั ษรหนา้ ทกั ษะต่าง ๆ ไปเติมหนา้ ขอ้ ทีสมั พนั ธก์ นั ............ . ด.ญ.อริษากาํ ลงั ทดสอบวิทยาศาสตร์
กิจกรรม ที กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยมอี ุปกรณ์ ดงั นี เมลด็ ถวั ถว้ ยพลาสติก กระดาษทิชชู นาํ กระดาษสีดาํ กาํ หนดปัญหา..................................................................... 27 การทดลอง วเิ คราะห์ขอ้ มลู
และทดสอบสมมติฐาน สรุปผลการทดลอง 28 บทที 2 สาระสําคญั โครงงานวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมเกียวกบั วทิ ยาศาสตร์ ซึงเป็นกิจกรรมทีตอ้ งใชก้ ระบวนการ ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั 1. อธิบายประเภทเลือกหวั ขอ้ วางแผน วธิ ีนาํ
เสนอและประโยชน์ของโครงงานได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที ประเภทโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 29 เรืองที ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวทิ ยาศาสตร์เป็นกิจกรรมเกียวกบั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึงเป็ นกิจกรรมทีตอ้ งใช้ ลกั ษณะและประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ จาํ แนกไดเ้ ป็น ประเภท ดงั นี นาํ ขอ้ มูลเหล่านันมาจัดกระทาํ และนําเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ดังนัน ลกั ษณะสําคัญของ 30 กจิ กรรมที โครงงาน 1. แปรงลบกระดานไร้ฝ่ นุ
โครงงาน..................................................... ) ใหน้ กั ศึกษาอธิบายความสาํ คญั
ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์วา่ มีความสาํ คญั อยา่
งไร เรืองที ขันตอนการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ การทาํ กิจกรรมโครงงานเป็นการทาํ กิจกรรมทีเกดิ จากคาํ ถามหรือความอยากรู้อยากเห็นเกียวกบั 1. ขันสํารวจหรือตดั สินใจเลอื กเรืองทีจะทาํ 31 2. ขันศึกษาข้อมูลทีเกยี วข้องกบั เรืองทตี ดั สินใจทํา 3. ขันวางแผนดําเนินการ 4. ขันเขียนเค้าโครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 32 5. ขันลงมอื ปฏบิ ตั ิ 6. ขันเขยี นรายงานโครงงาน 7. ขันเสนอผลงานและจดั แสดงผลงานโครงงาน กจิ กรรมที . วางแผนจดั ทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ทีน่าสนใจอยากรู้มา โครงงาน โดยดาํ เนินการ ดงั นี 33 . จากขอ้ มลู ตามขอ้ ) ใหน้ กั ศึกษาเขียนเคา้ โครงโครงงานตามประเด็น ดงั นี กิจกรรม วนั เดือนปี สถานทีปฏบิ ตั ิงาน หมายเหตุ 9) ผลทีคาดวา่ จะไดร้ ับ (ทาํ โครงงานนีแลว้ มีผลดีอยา่ งไรบา้ ง) เรืองที การนําเสนอโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การแสดงผลงานจดั ไดว้ ่าเป็นขนั ตอนสาํ คญั อกี ประการหนึงของการทาํ โครงงานเรียกไดว้ ่า การแสดงผลงานนนั อาจทาํ ไดใ้ นรูปแบบต่าง ๆ กนั เช่น การแสดงในรูปนิทรรศการ ซึงมี 34 1. ชือโครงงาน ชือผทู้ าํ โครงงาน ชือทีปรึกษา ขอ้ ความกะทดั รัด ชดั เจน และเขา้ ใจง่าย สาํ คญั หรือใชว้ สั ดุต่างประเภทในการจดั แสดง
เป็นไปตามขนั ตอน อยา่ งอืน แผน่ ใส หรือสไลด์ เป็นตน้ 35 ขอ้ ควรพจิ ารณาและคาํ นึงถึงประเด็นตา่ ง ๆ ทีกลา่ วมาในการแสดงผลงานนนั จะคลา้ ยคลงึ กนั การทาํ แผงสาํ หรับแสดงโครงงานใหใ้ ชไ้ มอ้ ดั มีขนาดดงั รูป 60 ซม. ซม. ติดบานพบั มีห่วงรับและขอสบั ทาํ มมุ ฉากกบั ตวั แผงกลาง ในการเขียนแบบโครงงานควรคาํ
นึงถึงสิงต่อไปนี ทาํ โครงงาน ความสาํ คญั ของโครงงาน วธิ ีดาํ เนินการเลอื กเฉพาะขนั ตอนทีสาํ คญั ผลทีไดจ้ ากการทดลองอาจ 2. จดั เนือทีใหเ้ หมาะสม ไมแ่ น่นจนเกินไปหรือนอ้ ยจนเกินไป กจิ กรรมที ใหน้ กั ศึกษาพิจารณาขอ้ มลู จากกิจกรรมที มาสรุปผลการศกึ ษาทดลองในรูปแบบของ 1) ชือโครงงาน................................................................................................. 36 6) บทที บทนาํ 7) บทที เอกสารทีเกียวขอ้ งกบั การทาํ โครงงาน - วสั ดุอุปกรณ์ แบบทดสอบบทที จงเลือกวงกลมลอ้ มรอบขอ้ คาํ ตอบทีถกู ทีสุดเพียงขอ้ เดียว ก. แบบร่างทกั ษะในวิชาวิทยาศาสตร์ 37 . โครงงานวทิ ยาศาสตร์มีกีประเภท ก. ประเภท ข. ประเภท ค. ประเภท ง. ประเภท . โครงงานวทิ ยาศาสตร์แบบใดทีเหมาะสมทีสุดกบั นกั ศกึ ษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ก. โครงงานสาํ รวจ ข. โครงงานทฤษฎี ค. โครงงานทดลอง . ขนั ตอนใดไมจ่ าํ เป็นตอ้ งมีในโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทสาํ รวจ ก. ตงั ปัญหา ข. สรุปผล ค. สมมติฐาน ง. การกาํ หนดตวั แปร . กาํ หนดใหส้ ิงต่อไปนีควรจะตงั ปัญหาอยา่ งไร นาํ บริสุทธิ นาํ หวาน นาํ เกลือ ชนิดละ ลกู บาศก์ เซนติเมตร ตะเกียงแอลกอฮอล์ เทอร์โมมิเตอร์ บีกเกอร์ หลอดทดลองขนาดกลาง หลอดฉีดยา ก. นาํ ทงั สามชนิดมนี าํ หนกั เท่ากนั ข. นาํ ทงั สามชนิดมรี สชาติต่างกนั ก. ความร้อนจากตะเกียงแอลกอฮอล์ ข. ความบริสุทธิของนาํ ทงั สามชนิด ค. ขนาดของหลอดทดลอง ง. อุณหภมู ิของหอ้ งขณะทดลอง . ผลการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ทีน่าเชือถอื ไดต้ อ้
งเป็นอยา่ งไร ข. ทาํ ซาํ หลาย ๆ ครังและผลเหมอื นเดิมทุกครัง ค. ครูทีปรึกษารับประกนั ผลงาน 38 . สิงใดบ่งบอกวา่ โครงงานวิทยาศาสตร์ทีจดั ทาํ นนั มีคุณค่า . การจดั ทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ควรเริมตน้ อยา่ งไร . โครงงานวิทยาศาสตร์ ทีถกู ตอ้ งสมบูรณ์ตอ้ งเป็นอยา่ งไร 39 บทที สาระสําคญั ร่างกายมนุษย์ พืช และสตั ว์ ต่างประกอบดว้ ยเซลล์ จึงตอ้ งเรียนรู้เกียวกบั เซลลพ์ ืช และเซลลส์ ัตว์ ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1. อธิบายรูปร่าง ส่วนประกอบ ความแตกต่าง ระบบการทาํ งาน การรักษาดุลยภาพของเซลลพ์ ืช 2. อธิบายการรักษาดุลยภาพของพืชและสตั ว์ และมนุษย์ และการนาํ ความรู้ไปใช้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที เซลล์ 40 เรืองที เซลล์ เซลล์ (Cell) หมายถงึ หน่วยทีเลก็ ทีสุดของสิงมชี ีวิต ซึงจะทาํ หนา้ ทีเป็ นโครงสร้างหนา้ ทีของการ โครงสร้างพนื ฐานของเซลล์ เซลลท์ วั ไปถึงจะมีขนาด รูปร่าง และหนา้ ทีแตกต่างกนั อยา่ งไรก็ตาม แต่ลกั ษณะพืนฐานภายใน . ส่ วนห่อหุ้มเซลล์ เป็ นส่วนของเซลล์ทีทาํ หนา้ ทีห่อหุ้มองคป์ ระกอบภายในเซลล์ให้คงรูป อยไู่ ด้ ไดแ้ ก่ เมมเบรน (Plasma membrane) ไซโทพลาสมิก เมมเบรน (Cytoplasmic membrane) เยือหุ้มเซลล์ ภาพแสดงเยอื หุ้มเซลล์ 41 หน้าทขี องเยอื หุ้มเซลล์ คอื . ผนังเซลล์ (Cell wall) เป็นส่วนทีอยนู่ อกเซลล์ พบไดใ้ นสิงมชี ีวติ หลายชนิด เช่น เซลล์ . สารเคลือบเซลล์ (Cell coat) เป็ นสารทีเซลลส์ ร้างขึนมาเพือห่อหุ้มเซลลอ์ ีกชนั หนึง ในเซลลส์ ตั ว์ สารเคลอื บเซลลเ์ ป็นสารพวกไกลโคโปรตีน (Glycoprotein) โดยเป็ นโปรตีน ในพวกเห็ด รา มีสารเคลือบเซลล์หรือผนังเซลลเ์ ป็ นสารพวกไคทิน (Chitin) ซึงเป็ นสาร สารเคลอื บเซลลห์ รือผนังเซลลข์ องพวกสาหร่ายไดอะตอม (Diatom) มีสารซิลิกา (Silica) . โพรโทพลาสซึม (Protoplasm) โพรโทพลาสซึม เป็นส่วนของเซลลท์ ีอยภู่ ายในเยอื หุ้มเซลลท์ งั หมด ทาํ หน้าทีเกียวขอ้ งกบั การเจริญ 42 อะลมู เิ นียม โคบอลต์ แมงกานีส โมลิบดินมั และโบรอน ธาตุต่าง ๆ เหล่านีจะรวมตวั กนั เป็ นสารประกอบต่าง ๆ โพรโทพลาสซึม ประกอบด้วย ส่วน คือ ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) และนิวเคลียส (Nucleus) ประกอบดว้ ย แบ่งเป็นพวกทีมีเยอื
หุม้ และพวกทไี มม่ เี ยอื หุม้ ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างกลม ท่อนสัน ท่อนยาว หรือกลมรีคลา้ ยรูปไข่ โดยทวั ไปมีขนาด เส้นผ่านศูนยก์ ลาง จาํ นวนของไมโทคอนเดรียในเซลล์แต่ละชนิด จะมีจาํ นวนไม่แน่นอนขึนอย่กู บั ชนิดและ หนา้
ทีของไมโทคอนเดรีย คือเป็ นแหล่งสร้างพลงั งานของเซลลโ์ ดยการหายใจ ระดบั เซลล์ ) เอนโดพลาสมกิ เรติคูลัม (Endoplasmic reticulum : ER) เป็ นออร์แกเนลลท์ ีมี เมมเบร เอนโดพลาสมเิ รตคิ ลู มั แบ่งออกเป็ น
ชนิด คอื |