ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3

ใบงานการแบ่งเซลล์
cell division
 ID: 2392448
Language: Thai
School subject: biology
Grade/level: 10
Age: 16+
Main content: Celldivision
Other contents: cell division

ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3
 Add to my workbooks (1)
ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3
 Download file pdf
ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3
 Embed in my website or blog
ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3
 Add to Google Classroom
ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3
 Add to Microsoft Teams
ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3
 Share through Whatsapp

Link to this worksheet:  Copy
ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3

chalida24


ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3
ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3
ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3

What do you want to do?

ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3
ใบ งาน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ พร้อม เฉลย ม 3
Check my answersEmail my answers to my teacher

Enter your full name:

Group/level:

School subject:

Enter your teacher's email or key code:

Cancel

Please allow access to the microphone
Look at the top of your web browser. If you see a message asking for permission to access the microphone, please allow.

Close

ใบงานที่13การแบ่งเซลล์ from TANIKAN KUNTAWONG

การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์ร่างกาย เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ร่างกายระหว่างการเจริญเติบโตและทดแทนเซลล์ที่เสียหายหรือตาย ส่วนการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส คือการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงและ

เพศชาย

ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้

ด้านความรู้

- เปรียบเทียบลักษณะโครโมโซมของมนุษย์เพศชายและเพศหญิง

ด้านทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

           - สังเกตลักษณะโครโมโซมในเซลล์ร่างกายของมนุษย์เพศชายและเพศหญิง

การวัดผลและประเมินผล

 วิธีการ

 - การตอบคำถามหลังจากศึกษาใบความรู้

 เครื่องมือ

1. ใบกิจกรรมที่ 2 การแบ่งเซลล์แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร

2. ใบงานที่ 2  การแบ่งเซลล์แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร

3. ใบความรู้ที่ 3 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส

 4. ใบงานที่ 3 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิสเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร

#LIFE ข่าวดี! ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติประสบความสำเร็จในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ไข่และสเปิร์มขั้นเริ่มต้นของแรดขาวเหนือ (Northern White Rhino) ที่เหลือเพียงตัวเมีย 2 ตัวสุดท้ายบนโลก จากสเต็มเซลล์เป็นครั้งแรกของโลก สร้างความหวังใหม่ในการรักษาสปีชีส์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากที่สุดบนโลก
.
‘นาจิน(Najin)’ วัย 33 ปีและลูกสาวของเธอ ‘ฟาตู(Fatu)’ คือแรดขาวเหนือสองตัวสุดท้ายที่ยังคงมีชีวิตรอดบนโลกใบนี้ ทั้งคู่อาศัยอยู่ในศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าในประเทศเคนย่า หลังจากสูญเสียตัวผู้ตัวสุดท้ายที่มีชื่อว่า ‘ซูดาน(Sudan)’ ในเดือนมีนาคมปี 2018 ที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติจึงมีเป้าหมายอันทะเยอทะยานเพื่อรักษาสายพันธุ์ที่มีค่านี้ไม่ให้สูญหายไปจากโลกตลอดกาลด้วยน้ำมือของมนุษย์เอง
.
หนึ่งในนั้นคือการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ในยุคแรกเริ่ม(primordial germ cells)ซึ่งพบในระยะที่สิ่งมีชีวิตยังเป็นตัวอ่อนหรือเอ็มบริโอจากสเต็มเซลล์ ในโครงการ ‘BioRescue’ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ‘สถาบันวิจัยไลบ์นิทซ์เพื่อสวนสัตว์และสัตว์ป่า(Leibniz Institute for Zoo and Wildlife Research)’ และกระทรวงการศึกษาและการวิจัยแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี(German Federal Ministry of Education and Research)’ ตั้งแต่ปี 2019 แม้จะพบกับความยากลำบากมากมายพวกเขาก็ประสบความสำเร็จ
.
“นี่เป็นครั้งแรกที่เซลล์สืบพันธุ์ในยุคแรกเริ่มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่ใกล้สูญพันธุ์ ถูกสร้างขึ้นจากสเต็มเซลล์ได้สำเร็จ” มาซาฟูมิ ฮายาชิ (Masafumi Hayashi) หนึ่งในทีมวิจัย จากมหาวิทยาลัยโอซาก้ากล่าว โดยใช้สเต็มเซลล์จาก ‘นาเบีย(Nabire)’ ป้าของ ‘ฟาตู’ ที่เสียชีวิตในปี 2015 และถูกแช่แข็งไว้ พวกเขาสำเร็จในขั้นแรกแล้วและพร้อมจะก้าวต่อไป ไปยังก้าวที่ท้าท้ายยิ่งกว่า
.
นั่นคือการทำให้เซลล์สืบพันธุ์ตั้งต้นนี้กลายเป็นเซลล์ไข่และสเปิร์มที่ทำงานได้ “เซลล์ต้นกำเนิดมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับเซลล์สืบพันธุ์ที่โตเต็มที่ และที่สำคัญที่สุดมันมีโครโมโซมเพียงสองชุด” ดร.เวรา ไซวิทซา (Vera Zywitza) กล่าว “เราจึงต้องค้นหาสภาวะที่เหมาะสมให้เซลล์จะเติบโตและแบ่งพวกมันออกเป็นสองส่วนอีก” พูดง่าย ๆ คือพวกเขาต้องหาที่ให้เซลล์ได้แบ่งตัวเพิ่มขึ้นเพื่อมีความหลากหลายทางพันธุกรรมากยิ่งขึ้น เพราะโครโมโซมสองชุดนั้นถือว่ามีความหลากหลายน้อยมาก
.
การแปรฝันทางพันธุกรรมนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการอนุรักษ์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตในแม้แต่มนุษย์เองก็ต้องการความหลากหลายนี้เพื่อให้ลูกที่เกิดมานั้นแข็งแรง แต่กรณีแรดขาวเหนือนี้เป็นปัญหาใหญ่ยิ่งกว่านั้นเพราะ ‘ฟาตู’ ไม่สามารถอุ้มท้องได้เนื่องจากมีปัญหาด้านเอ็นร้อยหวายจึงไม่สามารถรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ขณะเดียวกัน ‘นาจิน’ ก็มีอายุมากเกินไปอีกทั้งยังมีเนื้องอกในรังไข่ด้วย
.
“เนื่องจากเราเหลือผู้บริจาคไข่ธรรมชาติเพียงรายเดียว(ฟาตู) ความผันแปรทางพันธุกรรมของลูกหลานที่เกิดขึ้นจะน้อยเกินไปที่จะสร้างกลุ่มประชากรที่มีชีวิตได้” ศาสตราจารย์โทมัส ไฮลเดบรัทด์ (Thomas Hildebrant) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบการสืบพันธุ์ในสัตว์จากสถาบันวิจัยไลบ์นิทซ์ กล่าว ดังนั้นทีมงานจึงต้องพยายามสร้างเนื้อเยื่อรังไข่ขึ้นมาจากสเต็มเซลล์สัตว์ชนิดอื่น เช่นจากเนื้อเยื่อของม้า เพราะม้านั้นเป็นหนึ่งในญาติสนิทที่สุดของแรดจากมุมมองทางวิวัฒนาการ
.
แม้จะยังมีอุปสรรคทางเทคนิคขั้นสูงอีกมากมายที่ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติต้องเผชิญ แต่พวกเขายังคงมีความหวังอยู่เสมอในเป้าหมายนี้ และเพื่อสปีชีส์อันยิ่งใหญ่นี้ หากพวกเขาทำสำเร็จมันจะกลายเป็นหนึ่งในผลงานทางวิทยาศาสตร์แห่งยุค ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้ช่วยสปีชีส์ให้อยู่รอดต่อไปได้ ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่จะมีอีกหลายสายพันธุ์ที่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา
.
ที่มา
.
NewScientist : Endangered white rhinos' cells turned into sperm and egg stem cells
.
IFLSCIENCE : World-First Research Gets Closer To Creating Northern White Rhino Egg Cells To Save Species
.
TechnologyNetwork : Northern White Rhino Primordial Germ Cells Successfully Created
.
EurekaAlert! : A big step toward producing rhino gametes
.
ScienceAdvances : Robust induction of primordial germ cells of white rhinoceros on the brink of extinction (รายงานการวิจัย)
.
รูปภาพจาก : explorersagainstextinction.co.uk

 

KEY MESSAGES: ทำความรู้จัก ‘Yield Curve Control’ หลัง BOJ ปรับนโยบายแบบช็อกตลาด
.
ถือเป็นเรื่องที่ช็อกตลาดพอสมควร เมื่อธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ตัดสินใจปรับนโยบาย Yield Curve Control โดยขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของญี่ปุ่นให้สามารถเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นจากเดิม -0.25% ถึง +0.25% เป็น-0.5% ถึง +0.5%
.
ขณะเดียวกัน BOJ ยังประกาศจะเพิ่มขนาดการเข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มจาก 7.3 ล้านล้านเยนต่อเดือน เป็น 9 ล้านเยนต่อเดือน แม้ว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.1% เท่าเดิมก็ตาม
.
ท่าทีของ BOJ ที่ผิดไปจากคาดการณ์ของตลาด ส่งผลให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นกว่า 2% จากระดับ 137.16 เยนต่อดอลลาร์ สู่ระดับ 133.11 เยนต่อดอลลาร์ในทันที ขณะที่บอนด์ยีลด์ระยะ 10 ปีของญี่ปุ่นก็ดีดตัวขึ้นจาก 0.25% เป็น 0.46%
.
ขณะที่ตลาดหุ้นในหลายประเทศต่างตอบสนองในเชิงลบ โดยดัชนี Nikkei 225 ปรับลดลง 2.68% เช่นเดียวกับดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงที่ร่วงลง 1.36% ขณะที่ดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ และดัชนี S&P/ASX 200 ของออสเตรเลีย ก็ปรับลดลง 0.92% และ 1.5% ตามลำดับ
.
Yield Curve Control คืออะไร?
Yield Curve Control คือมาตรการที่ธนาคารกลางต้องการจะล็อกอัตราดอกเบี้ยในระยะยาว ซึ่งโดยทั่วไปคือดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นตัวที่สะท้อนต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจไว้ที่ระดับใดระดับหนึ่ง เนื่องจากการปรับดอกเบี้ยนโยบายแบบปกติส่งผลต่อต้นทุนการเงินในระยะสั้นมากกว่าระยะยาว โดยธนาคารกลางจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อกดอัตราดอกเบี้ยให้ได้ตามเป้า จึงถือเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคุมต้นทุนการกู้ยืมไม่ให้สูงเกินไป
.
โดยในกรณีของญี่ปุ่น เริ่มมีการใช้มาตรการ Yield Curve Control หรือ YCC มาตั้งแต่ปี 2006 เนื่องจากญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืด เศรษฐกิจขยายตัวได้น้อย การควบคุมไม่ให้ต้นทุนการเงินของภาคเอกชนสูงเกินไปจึงถือเป็นการจูงใจให้ภาคธุรกิจขยายการลงทุน โดยมีการเปรียบเปรยมาตรการ YCC ว่าเป็น QE ของญี่ปุ่น เพียงแต่การกระตุ้นอาจไม่ดุดันเท่ากับ QE
.
อย่างไรก็ดี การบิดเบือนตลาดเพื่อรักษาดอกเบี้ยระยะยาวให้อยู่ในกรอบเป้าหมายก็ย่อมมีผลลบเช่นกัน เช่น ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอย่างต่อเนื่องของ BOJ ทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวกลับอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระยะสั้น หรือที่รู้จักกันในชื่อภาวะ Inverted Yield Curve ขณะเดียวกัน การรักษาระดับดอกเบี้ยระยะยาวให้อยู่ในระดับต่ำในขณะที่ธนาคารกลางอื่นๆ ปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็ส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่าลงทำสถิติในรอบกว่า 20 ปี
.
ตลาดมองเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับทิศนโยบาย
รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า การปรับมาตรการ Yield Curve Control ของญี่ปุ่นในครั้งนี้ ถือว่าเซอร์ไพรส์ตลาดค่อนข้างมาก เพราะตลาดมองว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศท้ายๆ ที่จะดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว แม้ว่าในครั้งนี้ BOJ จะยังคงดอกเบี้ยเอาไว้เท่าเดิม แต่ตลาดก็อ่านทางไปแล้วว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับนโยบายจากสายพิราบมาเป็นสายเหยี่ยวของ BOJ
.
“การยอมให้ยีลด์เคลื่อนตัวได้มากขึ้น หรือยอมให้ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจสูงขึ้นสะท้อนว่า ญี่ปุ่นอาจเริ่มคิดถึงการปรับทิศนโยบาย เพราะตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดก็ออกมาค่อนข้างสูง” รุ่งกล่าว
.
รุ่งกล่าวว่า ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ BOJ จะเกิดขึ้นหลังจาก ฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการคนปัจจุบันก้าวลงจากตำแหน่งในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ การตัดสินใจปรับนโยบายของ BOJ ในขณะที่คุโรดะยังอยู่ในตำแหน่งจึงสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดเป็นอย่างมาก
.
“ดัชนี Nikkei ปรับลงเยอะเพราะบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่พึ่งพาการส่งออก การที่เงินเยนแข็งค่าขึ้นอาจทำให้บริษัทญี่ปุ่นแข่งขันได้ยากขึ้น นอกจากนี้ เรื่องนี้ยังส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อนักลงทุนในวอลล์สตรีท ที่อาจมองว่าแม้แต่ญี่ปุ่นซึ่งยืนยันจะใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายสวนกระแสโลกมาตลอดยังเริ่มทบทวนนโยบายทางการเงิน แล้วในกรณีของ Fed ที่คาดการณ์กันว่าจะสามารถหยุดขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าจะทำได้หรือไม่” รุ่งกล่าว
.
รุ่งประเมินว่า หากมองไปในระยะข้างหน้า การปรับนโยบาย Yield Curve Control ของ BOJ อาจทำให้ยีลด์พันธบัตรทั่วโลกยกเว้นยุโรปกระตุกขึ้นตามได้บ้าง นอกจากนี้ยังอาจทำให้นักลงทุนมองหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงว่ายังมีความเปราะบางต่อไป
.
ขณะที่ อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า การปรับนโยบาย Yield Curve Control ถือเป็นสัญญาณว่า BOJ กำลังพยายามจะเริ่มกระบวนการ Policy Normalization หลังจากที่ผ่อนคลายอย่างเต็มที่มายาวนาน โดยความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าอาจทำให้ BOJ ต้องดูแลเสถียรภาพตลาดเงินมากขึ้น และลดความเสี่ยงในการถูกนักเก็งกำไรโจมตี
.
BOJ ยันเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อ
ล่าสุดคุโรดะได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ความเคลื่อนไหวของ BOJ ในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการบิดเบือนของผลตอบแทนพันธบัตร และสร้างความมั่นใจว่าผลประโยชน์ของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของ BOJ จะส่งตรงไปยังตลาดและบริษัทต่างๆ
.
“เรามุ่งเป้าไปที่การปรับปรุงการทำงานของตลาด ซึ่งจะช่วยหนุนนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของเรา นี่ไม่ใช่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และไม่ใช่การทบทวนว่าเราจะยุติการทำ YCC หรือหันไปทำนโยบายการเงินที่ตึงตัว เราเพียงต้องการเพิ่มความยั่งยืนให้กับกรอบนโยบายการเงินของเรา” คุโรดะกล่าว
.
#TheStandardWealth

 

UPDATE: ‘SCB CIO’ และ 3 พันธมิตรกองทุนระดับโลก มองเศรษฐกิจปีหน้าซึมยาว แนะจัดพอร์ตเชิงรับด้วยตราสารหนี้ระยะสั้น
.
พันธมิตรทางธุรกิจ 3 กองทุนระดับโลก Schroders, Julius Baer และ BlackRock เปิดมุมมองการลงทุนผ่านเวที ‘SCB CIO FORUM 2023’ คาดเศรษฐกิจปี 2023 ยังไม่สดใส ตลาดหุ้นมีความผันผวน ภาพเศรษฐกิจยังไม่สะท้อนที่ราคาหุ้น แนะลงทุนหุ้นกู้คุณภาพดีระดับ Investment Grade พร้อมหนุนสินทรัพย์ทางเลือกไว้เป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ ส่วนหุ้นเน้นกลุ่มที่ทำผลงานได้ดีช่วงเศรษฐกิจถดถอย เช่น กลุ่มสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มยา เครื่องมือแพทย์ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มสถาบันการเงิน พร้อมประเมินหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์หลักสำหรับการลงทุนระยะยาว เน้นกลุ่มการลงทุนยั่งยืนและกลุ่ม Next Generation ได้แก่ พลังงานสะอาด เมืองแห่งอนาคต และไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
.
รุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ ผู้อำนวยการ Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ได้เชิญพันธมิตรทางธุรกิจ 3 กองทุนระดับโลก ประกอบด้วย Schroders Investment Management (Singapore ) Ltd., บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด และ BlackRock มาร่วมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับพอร์ตลงทุน ในงาน SCB CIO FORUM 2023 หัวข้อ ‘เมื่อโลกหมุนไว ปรับพอร์ตอย่างไรให้ปัง’ โดย SCB WEALTH มีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายในรูปแบบของ Open Architecture ที่ครอบคลุมการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในทุกช่วงเวลาให้กับพอร์ตลงทุน ตามความเสี่ยงที่ลูกค้ายอมรับได้
.
อาทิตย์ ทองเจริญ Head of Thailand Business Schroders Investment Management (Singapore) Ltd. กล่าวว่า ในปี 2023 เศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโตได้ 1.3% ซึ่งถ้าตัดปีที่มีวิกฤตเศรษฐกิจและมีโควิดระบาดออกไป ถือว่าเป็นปีที่เศรษฐกิจเติบโตน้อยที่สุดในรอบ 10 ปี และมีโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยในตลาดพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ส่วนตลาดเกิดใหม่อย่างจีน แม้จะไม่ถึงขนาดเกิดเศรษฐกิจถดถอยแต่ก็เติบโตช้าลง ดังนั้นการจัดพอร์ตโดยรวมปี 2023 จึงยังเน้นจัดพอร์ตลงทุนแบบเชิงรับในภาวะที่เศรษฐกิจโดยรวมยังเติบโตช้า
.
ทั้งนี้ Schroders ยังไม่ได้ให้น้ำหนักกับการลงทุนในหุ้นมากนัก เนื่องจากมองว่าปัจจุบันนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดมีมุมมองบวกเกินไป เพราะในช่วงที่ผ่านมาตลาดปรับตัวลงไปมาก จึงเกิดแรงซื้อกลับที่เรียกว่า Bear Run แต่เชื่อว่าเมื่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยสะท้อนเข้าไปในผลประกอบการบริษัท จะเริ่มเห็นการขายหุ้นออกมาและกดดันตลาดลงมาอีกครั้ง จึงยังไม่รีบร้อนกลับเข้าไปในหุ้น
.
ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ มองว่าหุ้นกู้ที่มีเครดิตอยู่ในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) ของบริษัทที่มีฐานะการเงินดี และมีผลการดำเนินงานที่ยังไปได้ในช่วงวิกฤตเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ เพราะราคาปรับตัวลงมามากในช่วงปีนี้ และยังให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ โดยไม่จำเป็นต้องไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง หรืออยู่ในระดับต่ำกว่าระดับที่ลงทุน (Non-Investment Grade)
.
ส่วนธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ Regime Change คือ จากที่คุ้นเคยกันเรื่องดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อต่ำ จะไม่มีอีกแล้ว เปลี่ยนแปลงเป็นภาวะที่เป็นเงินเฟ้อและดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง จึงแนะนำการลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่จะได้ประโยชน์ช่วงดอกเบี้ยขึ้น ซึ่งคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นถึงไตรมาสแรกและคงในระดับสูงตลอดปีหน้า โดยเน้นหุ้นกู้บริษัทที่ฐานะการเงินดี อยู่ในระดับ Investment Grade รวมถึง Securitization Credit หรือตราสารหนี้ที่มาจากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ โดยเน้นสินทรัพย์ที่มีรัฐบาลหนุนหลังอยู่ ซึ่งมีผลตอบแทนแบบลอยตัว ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจอีกประเภทคือ สินทรัพย์จริง (Real Asset) เช่น สินค้าโภคภัณฑ์บางอย่างที่ป้องกันความสี่ยงเงินเฟ้อได้
.
ธีมต่อมา Diversification คือการมองหาสินทรัพย์ให้การจัดพอร์ตมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะในปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าหุ้นและตราสารหนี้ทั่วไปมีผลตอบแทนไปทางเดียวกัน ทำให้การกระจายสินทรัพย์ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จึงมองหาทางเลือกอื่นเพื่อจัดพอร์ตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น Private Equity ของกลุ่มที่ไปซื้อกิจการมาบริหารต่อ หรือ Private Debt ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนสไตล์ Hedge Fund หรือเรียกว่า Liquid Alternative ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์ทั่วไปต่ำ จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้ และธีมสุดท้ายคือธีม Sustainability หรือการลงทุนยั่งยืนและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมที่มีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะจากประเด็นที่โลกตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์
.
อิทธิพล ประสงค์ทรัพย์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อน่าจะปรับลดลงในปี 2023 ดังนั้นอาจจะไม่ได้เห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ เพื่อกดเงินเฟ้อมากเท่ากับปี 2022 ตลาดเริ่มมองเห็นจุดกลับตัวด้านนโยบายการเงินบ้างแล้ว ทำให้หุ้นปรับขึ้นมาจากประเด็นนี้ แต่ก็ยังเป็นการปรับขึ้นที่ไม่ได้อิงพื้นฐานนัก
.
ในช่วงแรกของปีจึงมองว่า การลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพดีอยู่ในระดับ Investment Grade ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยอาจจะผสมระหว่างพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นกับหุ้นกู้ระยะยาวคุณภาพดีเข้าด้วยกัน ส่วนการลงทุนในหุ้นนั้นก็มองว่ายังคงเป็นสินทรัพย์หลักสำหรับการลงทุนระยะยาวอยู่ โดยอาจผสมหุ้นเติบโตกับหุ้นเชิงรับเข้าด้วยกัน ธีมหุ้นที่แนะนำคือกลุ่ม Next Generation ได้แก่ กลุ่มพลังงานสะอาด กลุ่มเมืองแห่งอนาคต และไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
.
ขณะที่สินทรัพย์ทางเลือกก็ควรมีไว้ในสัดส่วนไม่มากเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตได้ เช่น สินทรัพย์นอกตลาด หรือ Private Asset ทั้งกลุ่มหุ้น (Private Equity) และตราสารหนี้ (Private Credit) นอกจากนี้การลงทุนผ่านพอร์ตลงทุนที่ผู้จัดการปรับพอร์ตให้ตลอดเวลาอย่าง Multi Asset Allocation ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ
.
ธณาพล อิทธินิธิภัค Director and Head of Thai Business, BlackRock กล่าวว่า แม้อัตราเงินเฟ้อในปี 2023 จะปรับลดลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง 4-5% ขณะที่แรงงานที่หายไปจากตลาดสหรัฐฯ ในช่วงโควิด เวลานี้ก็ยังไม่ได้กลับมาเท่าเดิม ทำให้สหรัฐฯ มีปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่ จึงเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินเฟ้อไม่ปรับลดลงไปต่ำกว่านี้ ส่วนหนึ่งเพราะการเมืองที่มีการแบ่งขั้วอำนาจที่ชัดเจนขึ้น ทำให้มีการเน้นการผลิตในกลุ่มที่อยู่ข้างเดียวกัน โดยไม่จำเป็นต้องมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ
.
สำหรับอัตราดอกเบี้ย คาดว่าปี 2023 จะปรับขึ้นในอัตราที่ลดลง มีโอกาสได้เห็นอัตราดอกเบี้ย Fed ปรับขึ้นครั้งละ 0.50% หรือต่ำกว่า โดยรวมแล้วปี 2023 ตลาดยังผันผวนอยู่ การลงทุนต้องปรับพอร์ตให้รวดเร็วขึ้น และเจาะจงลงทุนในบางกลุ่มอุตสาหกรรมหรือบางประเทศแทน โดยในส่วนตราสารหนี้ ควรเน้นพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น รวมถึงตราสารหนี้เอกชน เพราะอัตราผลตอบแทนที่สูงช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดลงได้
.
ส่วนการลงทุนในหุ้น มองว่าในช่วงไตรมาส 1-3 ควรเพิ่มความระมัดระวัง เพราะภาพเศรษฐกิจยังไม่สะท้อนลงไปในราคาหุ้นเลย และอาจเพิ่มน้ำหนักในช่วงปลายปี 2023 จนถึงปี 2024 เป็นต้นไป โดยในช่วงนี้หากลงทุนในหุ้น อาจเน้นกลุ่มที่ทำผลงานได้ดีในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ได้แก่ กลุ่มสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มยา เครื่องมือการแพทย์ ที่มีความผันผวนต่ำ หรือกลุ่มพลังงานที่ได้ประโยชน์จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังมีอยู่ หรือในกลุ่มสถาบันการเงิน เพราะในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นจะทำผลงานได้ดี และเศรษฐกิจขาขึ้น กลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มแรกที่ฟื้นตัว นอกจากนี้กลุ่มการลงทุนยั่งยืนก็น่าสนใจ เพราะทั่วโลกมีเป้าหมายต้องการลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ทำให้ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องลงทุนในกลุ่มนี้
.
สำหรับการลงทุนใน Private Asset ให้เน้นไปที่กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน เพราะมีความต้องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสูง ทำให้นักลงทุนสถาบัน กลุ่มนักลงทุนที่มีความมั่งคั่งสูง สนใจผลิตภัณฑ์นี้มากขึ้นในช่วงที่ตลาดผันผวน
.
#TheStandardWealth

 

รถไฟสายใต้ยังวิกฤติ!น้ำท่วมทางเสียหาย งดเดินรถ16 ขบวนต่อถึง วันที่ 24 ธ.ค. 65

การรถไฟฯงดเดินขบวนรถสายใต้16 ขบวน และปรับเปลี่ยนสถานีต้นทางปลายทาง 10 ขบวน ช่วง 21 - 24 ธ.ค. 65 ต่อเนื่อง เหตุน้ำท่วมทางรถไฟในพื้นที่จ.สงขลา ยังเข้าพื้นที่ซ่อมไม่ได้ และจากเหตุขบวนรถสินค้าที่ 707 ตกราง ระหว่าง คลองแงะ – ปาดังเบซาร์ ปรับเปลี่ยนเดินรถ 3 ขบวน

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วม ระหว่างสถานีควนเนียง - บ้านเกาะใหญ่ (อำเภอควนเนียง) สถานีนาม่วง (อำเภอนาหม่อม) และสถานีวัดควนมีด (อำเภอจะนะ) จังหวัดสงขลา ส่งผลให้การรถไฟฯ ต้องปรับเปลี่ยนการเดินรถเส้นทางรถไฟสายใต้ เมื่อวันที่ 18 - 20 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา

โดยสถานการณ์วันที่ 21 ธันวาคม 2565 มีปริมาณฝน และระดับน้ำลดลง ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปดำเนินการสำรวจและประเมินสภาพความเสียหายของทางรถไฟจากเหตุน้ำท่วมในเส้นทางระหว่างสถานีนาม่วง – วัดควนมีด สามารถดำเนินการปรับปรุงและซ่อมแซมบริเวณที่ทางชำรุดได้ ส่วนเส้นทางระหว่างสถานี ควนเนียง - บ้านเกาะใหญ่, โคกทราย – ควนเนียง, หารเทา – โคกทราย, หารเทา – ควรเคี่ยม, เขาชัยสน – บางแก้ว, วัดควนมีด – จะนะ จากการประเมิณสถานการณ์ สภาพทางได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการได้

ทั้งนี้ การรถไฟฯ จึงจำเป็นต้องประกาศปรับเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถสายใต้ ตั้งแต่วันที่ 21 – 24 ธันวาคม 2565 จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ดังนี้

ขบวนรถงดเดิน จำนวน 16 ขบวน ประกอบด้วย
1. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 31/32 (กรุงเทพ – หาดใหญ่ - กรุงเทพ)
2. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 37/38 (กรุงเทพ - สุไหงโก-ลก - กรุงเทพ)
3. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45/46 (กรุงเทพ - ปาดังเบซาร์ - กรุงเทพ)
4. ขบวนรถเร็วที่ 169/170 (กรุงเทพ - ยะลา - กรุงเทพ)
5.ขบวนรถเร็วที่ 171/172 (กรุงเทพ – สุไหงโก-ลก - กรุงเทพ)
6.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 463/464 (สุไหงโก-ลก – พัทลุง - สุไหงโก-ลก – พัทลุง)
7.ขบวนรถระหว่างประเทศที่ 947/948 (หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ - หาดใหญ่)
8. ขบวนรถระหว่างประเทศที่ 949/950 (หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ - หาดใหญ่)

ขบวนรถปรับเปลี่ยนเส้นทาง จำนวน10 ขบวน ประกอบด้วย

1.ขบวนรถสินค้าที่ 985/986 (กรุงเทพ - สุไหงโกลก – กรุงเทพ) มีเดินเฉพาะ กรุงเทพ – พัทลุง - กรุงเทพ
2.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 445 (ชุมพร – หาดใหญ่) มีเดินเฉพาะ ชุมพร - พัทลุง
3.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 446 (หาดใหญ่ - ชุมพร) มีเดินเฉพาะ พัทลุง - ชุมพร
4.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 447 (สุราษฎร์ธานี - สุไหงโก-ลก) มีเดินเฉพาะ จะนะ - สุไหงโก-ลก และ สุราษฏร์ธานี - พัทลุง
5.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 448 (สุไหงโก-ลก - สุราษฎร์ธานี) มีเดินเฉพาะ สุไหงโก-ลก - จะนะ และ พัทลุง - สุราษฎร์ธานี
6.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 451 (นครศรีธรรมราช - สุไหงโก-ลก) มีเดินเฉพาะ เทพา - สุไหงโก-ลก และ นครศรีธรรมราช - พัทลุง
7.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 452 (สุไหงโก-ลก - นครศรีธรรมราช) มีเดินเฉพาะ สุไหงโก-ลก - เทพา และ พัทลุง - นครศรีธรรมราช
8.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 455 (นครศรีธรรมราช - ยะลา) มีเดินเฉพาะ นครศรีธรรมราช – พัทลุง
9.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 456 (สุไหงโก-ลก - นครศรีธรรมราช) มีเดินเฉพาะ พัทลุง - นครศรีธรรมราช
สำหรับขบวนรถท้องถิ่นที่ 453/454 (ยะลา - สุไหงโก-ลก - ยะลา) มีเดินรถปกติ

ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถคืนค่าตั๋วโดยสารได้เต็มราคาที่สถานีรถไฟทุกแห่ง การรถไฟฯ ยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด โดยมอบหมายให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินจากอุทกภัยในพื้นที่ ทั้งในด้านการเดินรถ การซ่อมบำรุงทาง และระบบอาณัติสัญญาณ การลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายของระบบต่าง ๆ การเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ อุปกรณ์ให้สามารถลงพื้นที่ในการซ่อมบำรุงให้สามารถเปิดการเดินรถได้โดยเร็วที่สุด หลังจากระดับน้ำลดอยู่ในระดับที่ปลอดภัย โดยให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ระดับน้ำตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่และเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัย เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยในการเดินทางแก่ผู้โดยสาร

ในส่วนกรณี ขบวนรถสินค้าที่ 707 ตกราง ระหว่างสถานีคลองแงะ - สถานีปาดังเบซาร์ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2565 นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดการเดินรถได้ การรถไฟฯ มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการเดินรถ (เพิ่มเติม) ดังนี้

วันที่ 22 - 26 ธันวาคม 2565

1. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45 (กรุงเทพ - ปาดังเบซาร์) ไม่มีเดิน จาก ชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ ทำการขนถ่ายผู้โดยสารทางรถยนต์จาก ชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ (เป็นขบวนรถออกต้นทางกรุงเทพ วันที่ 21 - 25 ธันวาคม 2565)
2. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 46 (ปาดังเบซาร์ - กรุงเทพ) ไม่มีเดินจาก ปาดังเบซาร์ - ชุมทางหาดใหญ่ ทำการขนถ่ายผู้โดยสารทางรถยนต์จาก ปาดังเบซาร์ - ชุมทางหาดใหญ่ เพื่อเดินทางต่อโดยขบวนรถด่วนพิเศษที่ 38 ที่ชุมทางหาดใหญ่
3. ขบวนรถด่วนที่ 947/948 และ 949/950 (ชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ - ชุมทางหาดใหญ่) ไม่มีเดิน

ที่มา : NEWS1

 

UPDATE: ‘แบงก์รัฐ’ มอบของขวัญปีใหม่ อัดมาตรการคืนเงิน ลดดอกเบี้ย สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ด้าน ‘ออมสิน’ เพิ่มรางวัลสลากพิเศษ รางวัลละ 1 ล้านบาท 24 รางวัล
.
เปิดมาตรการหรือโครงการของขวัญปีใหม่ปี 2566 ของแบงก์รัฐ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย มาตรการคืนเงินหรือลดอัตราดอกเบี้ย สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ รางวัลพิเศษของสลากออมสิน การลดค่างวดการผ่อนชำระ และการยกเว้นค่าดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อ รวมทั้งสิ้น 15 โครงการ ได้แก่
.
ธนาคารออมสิน จำนวน 2 โครงการ คือ
1. โครงการวินัยดี มีเงิน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับลูกค้าที่มีวินัยทางการเงิน สำหรับลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 200,000 บาท มีประวัติการชำระหนี้ดี ไม่น้อยกว่า 3 ปี จะได้รับเงินรายละ 500 บาท ซึ่งสามารถกดรับสิทธิผ่าน MyMo ได้ภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2565
2. โครงการสลากออมสินดิจิทัล 2 ปี ฉลองปีใหม่ 2566 เพื่อส่งเสริมการออมผ่านสลากออมสินพิเศษดิจิทัล สำหรับผู้ฝากสลากออมสินพิเศษ 2 ปี ทั้งใบสลากและดิจิทัล ในระหว่างวันที่ 2 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 โดยเพิ่มรางวัลพิเศษรางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 12 รางวัล สำหรับงวดวันที่ 30 ธันวาคม 2565 และอีก 12 รางวัล สำหรับงวดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566
.
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 4 โครงการ ได้แก่
1. โครงการชำระดีมีคืน ปีบัญชี 2565 สำหรับลูกค้าเกษตรกรที่เป็นหนี้ปกติ ณ ปีบัญชี 2565 จำนวน 3 ล้านราย โดยเมื่อชำระดอกเบี้ยตามสัญญาที่มีสิทธิ์จะได้รับการคืนดอกเบี้ยเงินกู้เข้าบัญชีเงินฝากตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่ ธ.ก.ส. กำหนด ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 และสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 หรือเมื่อครบกำหนดวงเงินที่ ธ.ก.ส. กำหนด
2.โครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน ปีบัญชี 2565 สำหรับลูกค้าสินเชื่อที่มีสถานะเป็นหนี้ NPL หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ทั้งนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธ.ก.ส. กำหนด ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566
3. มาตรการเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูลูกค้า ปีบัญชี 2565 โดยลูกค้าเกษตรกรที่เป็นหนี้ปกติ ณ ปีบัญชี 2565 สามารถขอยื่นกู้สินเชื่อเพิ่มเติมได้
4. มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อเพื่อการปรับตัว) ปีบัญชี 2565 โดยลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่สามารถยื่นขอสินเชื่อ โดยได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ทั้งนี้ ต้องยื่นขอภายในวันที่ 9 เมษายน 2566
.
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จำนวน 1 โครงการ คือ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มอบของขวัญปีใหม่สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้านที่มีวินัยการผ่อนชำระเงินงวดสินเชื่อบ้านสม่ำเสมอให้ได้รับ Cashback 1,000 บาท โดยแบ่งลูกค้าเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย ลูกค้ารายย่อยที่มีสถานะบัญชีปกติ ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท และมีวินัยในการผ่อนชำระย้อนหลังรวม 48 เดือน (นับถึงงวดเดือนพฤศจิกายน 2565) และลูกค้าที่เคยปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ปัจจุบันมีสถานะบัญชีปกติ และมีประวัติการผ่อนชำระหนี้ย้อนหลัง 6 เดือน (นับถึงงวดเดือนพฤศจิกายน 2565) เพียงชำระเงินงวดผ่าน Application: GHB ALL หรือ GHB ALL GEN ติดกันไม่น้อยกว่า 2 เดือน (ในงวดเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2565 หรืองวดเดือนธันวาคม 2565 - มกราคม 2566)
.
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) จำนวน 3 มาตรการ/โครงการ ได้แก่
1. ผ่อนดี มีคืน เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยของ ธพว. ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500,000 บาท และมีประวัติการชำระดี โดยได้รับบัตรกำนัลฟรี มูลค่าสูงสุด 300 บาท ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566
2. มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50 ล้านบาท โดยได้รับบัตรเติมน้ำมันมูลค่าสูงสุด 5,000 บาท เมื่อได้รับอนุมัติสินเชื่อ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566
3. ส่งเสริมช่องทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยลูกค้าสามารถซื้อสินค้าราคาพิเศษ จาก SME D Market (ส่วนลดสูงสุดร้อยละ 20 มากกว่า 300 รายการสินค้า) ภายในเดือนธันวาคม 2565
.
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จำนวน 2 มาตรการ
1. มาตรการจ่าย All in 1 โดยลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ที่เข้าร่วม 1 ใน 3 มาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการสินเชื่อ EXIM Personal Biz 2) มาตรการสินเชื่อเพื่อผู้ส่งออกป้ายแดง และ 3) มาตรการสินเชื่อ EXIM Shield Financing จะได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกินร้อยละ 6.60 ต่อปี ระยะเวลา 6 เดือน
2. มาตรการรับเงินคืน ร้อยละ 2 ของดอกเบี้ยจ่ายสะสม โดยลูกค้าที่เข้าร่วมมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืนของ EXIM BANK จะได้รับเงินคืนร้อยละ 2 ของดอกเบี้ยจ่ายสะสม เป็นระยะเวลา 2 เดือน
.
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) จำนวน 1 โครงการ คือ
สินเชื่อไอแบงก์ยืนหนึ่ง ประกอบด้วย 1) สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 2) โครงการสินเชื่อ Top Up และ 3) โครงการสินเชื่อบ้านแลกเงิน โดยลูกค้าทั่วไปที่เข้าร่วม 1 ใน 3 โครงการนี้ จะได้รับอัตรากำไรพิเศษ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566
.
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จำนวน 2 มาตรการ ได้แก่
1. มาตรการยกเว้นค่าดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs โดยผู้ประกอบการ SMEs ที่ส่งคำขอให้ บสย. ค้ำประกันภายใต้โครงการดังนี้ 1) Bilateral Phase 7 (BI7) 2) Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะพิเศษ Soft Loan Extra และ 3) Thai Credit Guarantee Corporation Risk Based Pricing (TCG RBP) จะได้รับการยกเว้นค่าดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคม 2566
2. มาตรการสำหรับลูกหนี้ บสย. สำหรับลูกหนี้ที่ประนอมหนี้กับ บสย. แล้ว และค้างชำระไม่เกิน 3 งวด จะได้รับการลดค่างวด ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2566
.
#TheStandardWealth

 

WHATS’UP: การเติบโตที่เปลี่ยวเหงาและโดดเดี่ยว ชวนเข้าใจ ‘บาดแผลของวัยรุ่น’ ผ่านเอ็มวี Ditto จากวง NewJeans
.
การเติบโตและบาดแผลทางจิตใจ คือสิ่งที่ผู้คนมากมายได้เผชิญ จนราวกับว่ามันกลายเป็นเส้นทางที่หลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับการกลายเป็นผู้ใหญ่ เรื่องราวทำนองนี้ ได้กลับมาให้พวกเราได้คำนึงถึงกันอีกครั้งผ่านเอ็มวี Ditto จากวง NewJeans
.
หากจะเล่าแบบโดยรวมๆ เอ็มวีเพลงนี้ เล่าถึง ‘อีซอ’ ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังทบทวนความทรงจำในอดีตของตัวเอง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เธอมีชีวิตอยู่ในโรงเรียนและได้นำกล้องวิดีโอไปถ่ายตามเก็บเหตุการณ์ต่างๆ ภายในโรงเรียนกับ ‘เพื่อน’ (นั่นคือเหล่าสมาชิกวง NewJeans) ที่ทำให้เราเห็นเรื่องราวมิตรภาพ ความสัมพันธ์ที่ล้ำค่าระหว่าวอีซอ และเพื่อนๆ เหล่านั้น
.
ไม่ว่า ‘เพื่อน’ กลุ่มนี้จะเป็นใครก็ตาม สิ่งที่พวกเราได้เห็นตรงกันคือ ชีวิตของอีซอที่อยู่กับกล้องวิดีโอเสมอๆ เธอนึกถึงเพื่อนๆ ที่ยิ้มแย้มเดินไปด้วยกันตามทางเดินในโถงโรงเรียน หยอกล้อตามประสาคนสนิท เพื่อนที่ช่วยกันแต่งหน้า เพื่อนที่เฮฮาด้วยกันตลอด สิ่งเหล่านี้มันคือความทรงจำที่แสนหวานของวัยรุ่นคนหนึ่ง
.
อย่างไรก็ดี เอ็มวีนี้ก็เฉลยในภายหลังว่า ภาพภายในกล้องวิดีโอไม่ได้มีเพื่อนๆ กลุ่มนี้อยู่เลย จากจุดนี้ทำให้หลายๆ คนวิเคราะห์เอ็มวีกันไปหลากหลายทาง เช่น บ้างก็คิดว่า NewJeans อาจจะเป็นเพื่อนๆ ในอดีตของอีซอที่เสียชีวิตไปแล้ว หรือบางคนก็มองว่า เพื่อนเหล่านี้คือเพื่อนในจินตนาการของอีซอเพียงคนเดียวเท่านั้น พวกเธอไม่ได้ดำรงอยู่จริงในโลกข้างนอก
.
ในแง่หนึ่ง เอ็มวีนี้ก็ได้สะท้อนถึงความรู้สึกของอีซอที่โหยหาความสัมพันธ์เหล่านั้นที่เธอไม่ได้มีอยู่ในโลกความจริง เพื่อนที่เธอมี และเติมเต็มชีวิตให้ได้ คือเพื่อนที่อยู่ในความทรงจำหรือเพื่อนในจินตนาการ
.
ถึงอย่างนั้น ไม่ใช่อีซอที่ต้องเผชิญกับความรู้สึกเหล่านี้เพียงคนเดียว เพราะชีวิตวัยรุ่นอีกไม่น้อยในโลกความจริงข้างนอก ก็เคยสัมผัสความรู้สึกโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา ที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกแปลกแยกจากสิ่งรอบตัวอยู่ด้วยเหมือนกัน
.
ความเปลี่ยวเหงาท่ามกลางผู้คน
.
จากบางฉากในเอ็มวี เราได้เห็นอีซออยู่ท่ามกลางนักเรียนคนอื่นๆ แต่เธอก็ถูกคนเหล่านั้นมองด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับว่าเธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมตรงนั้น เราสามารถมองความเหงาในลักษณะนี้ได้ว่าเป็นส่วนผสมของ ความเหงาทางสังคม (social loneliness) หรือความเหงาที่เกิดจากการขาดความสัมพันธ์กับผู้อื่น (ในแง่จำนวนและปริมาณ) และความเหงาทางอารมณ์ (emotional loneliness) ที่เรารู้สึกว่าถึงจะมีคนล้อมรอบเราเยอะ แต่ความสัมพันธ์เหล่านั้นกลับไม่มีคุณภาพเพียงพอที่จะเติมเต็มเราไม่ได้
.
ความเหงาทั้งสองรูปแบบนี้คือสิ่งที่อีซอน่าจะเผชิญอยู่ในเอ็มวี และเธอมีเพื่อนๆ NewJeans คอยเติมรอยช่องว่างนี้ให้ภายในจิตใจ
.
สิ่งที่อีซอต้องเผชิญ มันคือความรู้สึกไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับสังคมในโรงเรียน เธอเยียวยาบาดแผลนี้ของตัวเองผ่าน ‘เพื่อนๆ’ ผ่านกล้องวิดีโอ การขาดหายไปของ ‘ความรู้สึกใกล้ชิด’ ที่คนรอบข้างมีให้คือปมหนึ่งที่อีซอต้องรับมือบนเส้นทางของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่
.
ถ้าเราใส่บริบทปัจจุบันเข้าไปว่าในยุคนี้ผู้คนมีตัวตนที่ซับซ้อนมากขึ้น รสนิยมหลากหลายขึ้น การหาเพื่อนที่คลิ๊กตรงกันได้จริงๆ และยอมรับตัวเราได้จึงเป็นเรื่องสำคัญ (และยากขึ้น) กว่ายุคก่อนๆ
.
แม้ความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาจะเป็นความรู้สึกที่คนเจนก่อนๆ เคยเจอเช่นกัน แต่ในช่วงหลังๆ มานี้ บทความหลายๆ ชิ้นพยายามอธิบายว่า คนรุ่น Gen Z ได้ถูกทำให้กลายเป็น ‘เจเนอเรชั่นที่เปลี่ยวเหงาที่สุด’ (The Loneliest Generations) เคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งจาก Telstra ที่สำรวจถึงความเปลี่ยวเหงาของผู้คนเจเนอเรชั่นต่างๆ ในปี 2001 ผลออกมาพบว่า คน Gen Z กว่า 54% และคนรุ่น Millennials 51% บอกว่า พวกเขารู้สึกเหงาจนเป็นปกติ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนมากที่สุดเมื่อเทียบกับคนรุ่นอื่นๆ
.
ปัจจัยสำคัญมีทั้งการเติบโตมาในยุคสมัยของโซเชียลมีเดียที่แม้จะทำให้คนเชื่อมต่อกันมากขึ้น แต่นั่นก็ทำให้เห็นบางคนรู้สึกเศร้าและเหงากว่าเดิม การได้เห็นโลกที่กว้างขึ้นมันเกิดขึ้นพร้อมๆ กับความรู้สึกแปลกแยกกับที่ที่เรายืนอยู่ รวมถึงการต้องเผชิญหน้ากับอคติบางอย่างต่อเรื่อง mental health และปัญหาที่ถูกหมักหมมอยู่ในสังคมมานาน จนส่งผลต่อวิถีชีวิตและสภาวะจิตใจของผู้คนรุ่นหลังๆ
.
ท่ามกลางความเปลี่ยวเหงาและโดดเดี่ยวของอีซอ เธอได้ ‘เพื่อนๆ’ กลุ่มนี้ช่วยให้เธอรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ในฐานะ Emotional Support
.
เช่นเดียวกับอีกหลายๆ คนในโลกภายนอกที่กำลังเผชิญกับความรู้สึกทำนองเดียวกันนี้ เชื่อว่าพวกเขาหลายคนก็ยังมีวง NewJeans และบทเพลงของวงเป็น Emotional Support ด้วยเช่นกัน
.
.
.
อ้างอิงจาก

https://www.businessinsider.com/gen...neliest-generation-blame-parents-fault-2022-4

https://exchange.telstra.com.au/wp-content/uploads/2021/10/Telstra-Talking-Loneliness-Report.pdf

https://www.refinery29.com/en-gb/millennial-gen-z-loneliness

https://www.theguardian.com/world/2...the-young-south-koreans-embracing-single-life

#ditto #TheMATTER