บัตรเครดิตเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกบัตร (Issuer) ซึ่งได้แก่ธนาคารพาณิชย์ และ (Non-bank) ออกให้แก่ลูกค้า (ผู้ถือบัตร หรือ Card Holder) ซึ่งประโยชน์ที่ผู้ถือบัตรจะได้รับมีหลายประการ เช่น Show
แต่ผู้ถือบัตรก็ต้องรู้จักใช้อย่างมีวินัยและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการก่อหนี้โดยไม่จำเป็น เกิดภาระดอกเบี้ยและค่าบริการ หรือมีหนี้สินล้นพ้นตัว ถูกฟ้องร้อง ประวัติสินเชื่อเสียจนเป็นเหตุให้ขอสินเชื่ออื่นที่สำคัญกว่าไม่ได้
วงเงินบัตรเครดิตกรณีที่พิจารณาจากรายได้ของผู้ขอบัตรเครดิต วงเงินที่ได้รับอนุมัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังนี้
รายได้ต่อเดือนวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 15,000 บาท แต่น้อยกว่า 30,000 บาท1.5 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตั้งแต่ 30,000 บาท แต่น้อยกว่า 50,000 บาท3 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป5 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน การคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมผู้ออกบัตรจะเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ (ในที่นี้ขอเรียกโดยย่อว่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม) รวมกันได้ไม่เกิน 16% ต่อปี โดยมีวิธีคำนวณ 2 แบบตามการใช้บัตรดังนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต นอกจากนี้ อาจมีค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามข้อกำหนดของผู้ออกบัตรแต่ละแห่ง เช่น ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ได้จาก website แบงก์ชาติ หรือสอบถามข้อมูลจากผู้ออกบัตร การชำระหนี้บัตรเครดิตผู้ถือบัตรต้องชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่น้อยกว่า 10 % ของยอดคงค้างทั้งสิ้น โดยอาจชำระผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น
ทั้งนี้ การชำระเงินในแต่ละช่องทางอาจมีเงื่อนไขแตกต่างกันไป เช่น ค่าธรรมเนียม จำนวนเงินสูงสุดที่รับชำระ ดังนั้น ผู้ใช้บริการควรศึกษาค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขบริการก่อนใช้บริการ ตามที่ระบุในใบแจ้งยอดหนี้ FCCPageContent2 วิธีการเลือกสมัครบัตรเครดิตก่อนเลือกใช้บริการเราควรศึกษารายละเอียด สิทธิประโยชน์และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้ออกบัตรแต่ละแห่งกำหนด แล้วเลือกสมัครบัตรที่สอดคล้องกับรายได้และลักษณะการใช้จ่ายของเรามากที่สุด ค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าธรรมเนียมรายปี และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เราต้องจ่ายให้ผู้ออกบัตร รวมถึงเงื่อนไขการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมรอบระยะเวลาบัญชี หรือระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยในแต่ละรอบบิล ก่อนจะเริ่มคิดดอกเบี้ยตามที่ได้กำหนดไว้การชำระเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ความสะดวกรวดเร็ว ค่าใช้จ่ายในการชำระเงินสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับ โดยพิจารณาว่าตรงกับความต้องการหรือการใช้ชีวิตของเราหรือไม่
คำแนะนำในการใช้บัตรเครดิตเลือกใช้ประเภทบัตรเครดิตให้เหมาะสมเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า เพราะอัตราค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่ให้รับสิทธิประโยชน์อื่นเพิ่มเติมมักจะแพงกว่ากรณีบัตรเครดิตทั่วไปเมื่อได้รับบัตรเครดิตแล้ว ต้องอ่านข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรให้เข้าใจก่อนแจ้งเปิดใช้บัตรเสมอ เพราะอาจมีเงื่อนไขสำคัญ เช่น การยินยอมให้สถาบันการเงินหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้ถือบัตรที่มีอยู่กับสถาบันการเงินนั้น มาชำระหนี้ของผู้ถือบัตรได้ทันที ซึ่งในกรณีนี้หากคุณเป็นหนี้บัตรเครดิตที่ค้างชำระ สถาบันการเงินก็มีสิทธิที่จะหักเงินฝากของคุณโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้าลงลายมือชื่อเจ้าของบัตรทันทีที่ได้รับบัตรใหม่จดรายละเอียดต่าง ๆ ของบัตร เช่น หมายเลขบัตร วงเงิน ภาระหนี้ที่มีอยู่ วันครบกำหนดชำระเงิน เพื่อวางแผนการใช้บัตรเครดิตและการชำระหนี้ให้ตรงเวลา และจดจำหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ออกบัตร เพื่อสามารถติดต่อได้ทันทีในกรณีบัตร สูญหาย ถูกขโมย หรือสอบถามข้อสงสัย ตลอดจนเมื่อมีปัญหาจากการใช้บัตรเก็บรักษาบัตรเสมือนเป็นเงินสด เก็บไว้ในที่ปลอดภัย อย่าวางบัตรไว้ใกล้แหล่งที่เป็นแม่เหล็ก เพราะแถบแม่เหล็กด้านหลังบัตรอาจได้รับความเสียหาย ทำให้เครื่องไม่สามารถอ่านข้อมูลจากบัตรได้กำหนดรหัสถอนเงินให้ยากต่อการสุ่มเดา เช่น ไม่ใช้หมายเลขโทรศัพท์ บ้านเลขที่ วันเกิด ไม่เก็บรหัสไว้รวมกับบัตร รวมทั้งไม่เปิดเผยรหัสกับผู้อื่น จัดเก็บไว้ในที่ปลอดภัยและเป็นความลับ หรือหากจำรหัสได้แล้วก็ควรฉีกทิ้งทำลายไป และควรเปลี่ยนรหัสอยู่เสมอ ไม่ควรใช้รหัสเดียวกันสำหรับบัตรทุกใบควรให้บัตรอยู่ในสายตาตลอดเวลาเมื่อมีการชำระเงินให้แก่ร้านค้า เพื่อป้องกันการถูกนำบัตรไปคัดลอกข้อมูลด้วยเครื่อง Skimmer แล้วทำบัตรปลอมนำไปใช้ในอนาคต หรือป้องกันการแอบจดเลขที่บัตรเครดิต วันหมดอายุของบัตร และรหัส CVV (หมายเลข 3 หลัก ด้านหลังบัตร) เพื่อไปทำรายการซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต อีกทั้งตรวจสอบว่าบัตรที่ได้รับเป็นบัตรของเรา ไม่ได้สลับกับบัตรของผู้อื่น นอกจากนี้ พึงระวังว่าในการซื้อสินค้าและบริการแต่ละครั้ง หากมีการรูดบัตรเกินกว่า 1 ครั้ง ควรสอบถามเหตุผลและขอทำลาย Sale Slip ที่บันทึกข้อมูลผิดหรือรายการที่ยกเลิกแล้ว เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางทุจริตตรวจสอบจำนวนเงินให้ถูกต้องก่อนเซ็นชื่อบน Sales Slip ซึ่งร้านค้าจะเก็บไว้เป็นหลักฐานการรับชำระ และให้สำเนา Sales Slip อีกฉบับแก่ลูกค้า อย่าเซ็นชื่อลงในใบบันทึกรายการที่ยังมิได้เขียนจำนวนเงินไม่ว่าจะเป็นกรณีใดเก็บSales Slip ไว้เพื่อตรวจสอบกับใบแจ้งยอดประจำเดือน และตรวจสอบยอดเงินในบัญชีอย่างสม่ำเสมอ หากมีรายการเรียกเก็บเงินใดที่ไม่ถูกต้องให้แจ้งผู้ออกบัตรทันที เพราะหากแจ้งล่าช้า เกินระยะเวลาที่กำหนด จะถือว่าเรายอมรับค่าใช้จ่ายนั้น และหากไม่ได้รับใบเรียกเก็บเงินประจำเดือนตรงตามเวลา ให้สอบถามไปยังผู้ออกบัตรถึงสาเหตุที่ล่าช้าแจ้งธนาคารทันทีที่รู้ว่าบัตรหาย หรือมีรายการที่เจ้าของบัตรไม่ได้เป็นผู้ทำรายการเกิดขึ้นเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเฉพาะในเรื่องที่จำเป็นเพื่อไม่ให้มีภาระหนี้มากเกินความสามารถที่จะจ่าย เช่น ค่าน้ำมันเดินทางไปทำงาน ค่ารักษาพยาบาล ค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในซุปเปอร์มาร์เก็ตคิดให้ดีถ้าจะใช้บัตรเพื่อหาผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มีความเสี่ยงสูง เช่น รูดบัตรซื้อสินค้าหรือบริการแทนผู้อื่น โดยหวังแต้มสะสมหรือดอกเบี้ยจากบุคคลนั้น เพราะหากเขาไม่ชำระตามที่ตกลงกัน เราจะต้องเป็นคนรับผิดชอบภาระหนี้ทั้งหมดต่อสถาบันผู้ออกบัตรหากไม่มีความจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิต สามารถแจ้งขอยกเลิกใช้บัตรได้ โดยโทรติดต่อที่ Call Center หรือทำหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อยกเลิกบัตรแล้วอย่าลืมตัดทำลายบัตรทิ้ง โดยเฉพาะตรงแถบแม่เหล็กหรือชิพเพราะเป็นแหล่งเก็บข้อมูลส่วนตัวของเรา เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพนำข้อมูลไปทำบัตรปลอมได้อาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มหากมีการขอใช้บริการอื่น เช่น การขอสำเนา Sale Slip (ชุดที่ 2) การขอรหัสใหม่ทดแทนรหัสเดิม ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถาบันการเงินอย่าให้ข้อมูลส่วนตัว (เช่น หมายเลขบัตร หมายเลขโทรศัพท์มือถือ วันเดือนปีเกิด วงเงินบัตรเครดิต) ทางโทรศัพท์แก่ผู้ที่อ้างว่าเป็นสถาบันผู้ออกบัตร เนื่องจากสถาบันผู้ออกบัตรจะไม่มีการติดต่อลูกค้าเพื่อขอข้อมูล เว้นแต่ลูกค้าเป็นผู้โทรติดต่อ Call center เอง รวมไปถึงการไม่ตอบกลับข้อมูลดังกล่าวผ่านช่องทางอีเมลหรืออินเทอร์เน็ตการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตควรพิจารณาเรื่องความปลอดภัยของทั้งร้านค้าออนไลน์และผู้ให้บริการชำระเงิน ร้านค้าออนไลน์ที่เชื่อถือได้จะได้รับใบรับรองดิจิตอล (Digital Certificate) ซึ่งส่วนใหญ่จะมีระบบความปลอดภัยของข้อมูลโดยการเข้ารหัสก่อนส่งทุกครั้ง โดยมีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยของการส่งผ่านข้อมูลแบบ SSL (Secure Socket Layer) ซึ่งแสดงว่าเว็บไซต์นี้ได้รับการรับรองความปลอดภัยในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างกัน หรือร้านค้าออนไลน์บางแห่งอาจมีการใช้ระบบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) ด้วยการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น และสามารถลดความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งลูกค้าจำเป็นต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อใช้ Verified by Visa (VBV), Master Card Secure Code (MCSC) และ JCB J/Secure
2 ประเด็นควรใส่ใจ : ชำระไม่เต็มจำนวนและเบิกถอนเงินสดชำระไม่เต็มจำนวน ใครว่าเรื่องหยวน ๆ อยากชักชวนให้ตั้งใจและพยายามชำระเต็มจำนวนและภายในเวลาที่กำหนด เพื่อรักษาประวัติการชำระหนี้ ซึ่งสำคัญมากต่อการได้รับอนุมัติสินเชื่อประเภทอื่น หากชำระไม่เต็มจำนวน หรือหากชำระไม่ทันในเวลาที่กำหนด ก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ย ค่าบริการต่าง ๆ และเบี้ยปรับสูงสุดถึง 18 % ต่อปี และอย่าลืมว่าโดยทั่วไปผู้ออกบัตรจะต้องสำรองเงินเต็มจำนวนเพื่อจ่ายให้ร้านค้าแทนผู้ถือบัตร ดังนั้น ผู้ออกบัตรจึงมักเริ่มคำนวณตั้งแต่วันที่สำรองเงินจ่ายให้แก่ร้านค้าโดยคิดจากยอดเต็มจำนวนเช่นกัน ไม่ใช่แค่ยอดคงค้างที่เหลือหลังจากที่เราไปชำระเงินบางส่วนแล้ว |