ผลศึกษาใหม่โดยทีมวิจัยญี่ปุ่น เป็นหลักฐานอีกชิ้นที่พบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (อีเอ็ม) จากอุปกรณ์ไวไฟ มีส่วนทำให้อัตราการมีบุตรในประเทศพัฒนาแล้วลดลง
คูมิโกะ นาคาตะ นักวิจัยจากศูนย์วิจัยเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลยามาชิตะ โชนัน ยูเมะ กล่าวว่า ว่ากันว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าปลอดภัยสำหรับมนุษย์ในแง่สุขภาพ แต่ผลศึกษาของเธอพบว่า การได้รับคลื่นเหล่านั้นจากอุปกรณ์ไวไฟเป็นเวลานาน จะทำให้ความสามารถในการมีบุตรลดลง เพราะอสุจิตาย
ทีมวิจัยญี่ปุ่นทำการทดลองเพื่อหาข้อสรุปผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปกรณ์ไวไฟ อาทิ โทรศัพท์มือถือและเราเตอร์ในบ้าน ต่อการเคลื่อนที่และการตายของอสุจิ โดยศึกษาจากผู้ชาย 51 คน อายุเฉลี่ย 38.4 ปีที่อยู่ในกระบวนการผสมเทียม
ตัวอย่างอุสจิที่เก็บจากกลุ่มศึกษา ถูกแยกออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก ถูกเก็บพ้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเราเตอร์ไวไฟ กลุ่มที่สอง ได้รับการปกป้องจากไวไฟ ชีลด์ หรืออุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากสัญญาณไวไฟ และกลุ่มสุดท้าย ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเต็มๆ
นาคากะ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านตัวอ่อนวิทยาและสเปิร์ม กล่าวว่า ตัวอย่างอสุจิถูกวางไว้ใกล้กับเราเตอร์ไวไฟ คล้ายกับการเก็บโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงผู้ชาย เป็นเวลานาน 30 นาที 60นาที 2 ชั่วโมงและ 24 ชั่วโมง
จากนั้น ตรวจสอบการเคลื่อนที่ซึ่งก็พบว่า กลุ่มตัวอย่างอสุจิที่ได้รับคลื่นอีเอ็มจากไวไฟ 30 นาทีกับ 60 นาที มีอัตราการเคลื่อนที่ไม่แตกต่างกันมากกับอีกสองกลุ่ม
แต่ยิ่งได้รับนาน อัตราการเคลื่อนที่ของอสุจิก็ต่ำลง และอัตราการตายสูงขึ้น
โดยหลังผ่านสองชั่วโมงไปแล้ว กลุ่มตัวอย่างอสุจิที่รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีอัตราการเคลื่อนที่ 26.4 % กลุ่มที่มีอุปกรณ์ปกป้องสัญญาณไวไฟ อยู่ที่ 44.9 % ส่วนกลุ่มปลอดจากคลื่น อยู่ที่ 53.3%
หากนานเกิน 24 ชม. อัตราการตายของอสุจิกลุ่มที่ไม่ถูกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเลยอยู่ที่ 8.4% กลุ่มที่มีอุปกรณ์ป้องกัน 18.2% และกลุ่มที่ได้รับคลื่นเต็มๆ อยู่ที่ 23.3%
นาคาตะ กล่าวว่าผลศึกษาชี้ชัดว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำลายอสุจิ และอุปกรณ์ไวไฟมีส่วนต่อความสามารถในการมีบุตร ขณะเดียวกัน ก็พบว่า ไวไฟ ชีลด์ ช่วยป้องกันอันตรายจากคลื่นอีเอ็มได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่า ภาวะมีบุตรยากของชายและหญิง จะกลายเป็นปัญหาสุขภาพรุนแรงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งและโรคหัวใจในศตวรรษที่ 21
สื่อกลางที่กำหนดเส้นทางไม่ได้ หรือ สื่อกลางไร้สาย (Unguided Transmission Media) เป็นสื่อกลางประเภทที่ไม่มีวัสดุใดๆในการนำสัญญาณแต่จะใช้อากาศเป็นสื่อกลาง ซึ่งจะไม่มีการกำหนดเส้นทางให้สัญญาณเดินทางซึ่งเราเรียกว่าการสื่อสารไร้สาย ตัวกลางที่ใช้ในการสื่อสารไร้สายคือ อากาศ สุญญากาศ หรือแม้แต่น้ำ อากาศเป็นตัวกลางที่ใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุด
การส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สาย (Wireless transmission) สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่มคือ
- คลื่นวิทยุ (Radio Waves)
- ไมโครเวฟ (Microwaves)
- อินฟราเรด (Infrared)
คลื่นวิทยุ (Radio Waves)
คลื่นวิทยุเป็นคลื่นที่มีการกระจายตัวรอบทิศทางผ่านเสาอากาศส่งคลื่นวิทยุ โดยลักษณะรอบทิศทางแบบนี้ ทำให้มีประโยชน์สำหรับการสื่อสารแบบ Multicasting ซึ่งมีหนึ่งผู้ส่ง แต่หลายผู้รับ เช่น สถานีวิทยุ ระบบมือถือ โทรทัศน์ แต่อย่างไรก็ตาม คลื่นวิทยุมีความอ่อนไหวต่อการรบกวนจากเสาอากาศอื่นที่ส่งสัญญาณความถี่เดียวกัน
คลื่นวิทยุสามารถส่งในระยะทางได้ทั้งใกล้และไกล โดยมีตัวกระจายสัญญาณ (broadcast) ส่งไปยังตัวรับสัญญาณ และใช้คลื่นวิทยุในช่วงความถี่ต่างๆ กันในการส่งข้อมูล เช่น การสื่อสารระยะไกลในการกระจายเสียงวิทยุระบบเอเอ็ม (Amplitude Modulation : AM ) และเอฟเอ็ม (Frequency Modulation : FM) หรือการสื่อสารระยะใกล้ โดยใช้ไวไฟ (Wi-Fi ) และบลูทูท (Bluetooth)
บลูทูธ (Bluetooth)
เทคโนโลยีบลูทูธ มีข้อดีคือใช้พลังงานต่ำ มีความแตกต่างเมื่อเทียบกับการสื่อสารด้วยแสงอินฟราเรดตรงที่สามารถสื่อสารทะลุสิ่งกีดขวางหรือกำแพงได้ อีกทั้งยังเป็นการสื่อสารไร้สายด้วยการแผ่คลื่นออกเป็นรัศมีรอบทิศทางด้วยคลื่นความถี่สูง
ไมโครเวฟ (Microwaves)
คลื่นไฟฟ้าที่มีความถี่ระหว่าง 1 GHz ถึง 300 GHz ปกติจะเรียกว่าไมโครเวฟ
ไมโครเวฟเป็นคลื่นที่เดินทางในทิศทางเดียว มีความเร็วสูง ใช้สำหรับการเชื่อมต่อระยะไกลโดยการส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปในอากาศพร้อมกับข้อมูลที่ต้องการส่ง และต้องมีสถานีที่ทำหน้าที่ส่งและรับข้อมูล และเนื่องจากสัญญาณไมโครเวฟจะเดินทางเป็นเส้นตรงไม่สามารถเลี้ยวตามความโค้งของผิวโลกได้ จึงต้องมีการตั้งสถานีรักส่งข้อมูลเป็นระยะ และส่งข้อมูลต่อกันระหว่างสถานี จนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง และแต่ละสถานีจะตั้งอยู่ในที่สูง เช่น ดาดฟ้า ตึกสูง หรือยอดเขา เพื่อหลีกเลี่ยงการชนสิ่งกีดขวางในแนวการเดินทางของสัญญาณ
การส่งข้อมูลผ่านสื่อกลางชนิดนี้เหมาะกับการส่งข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมากๆ และไม่สะดวกในการวางสายสัญญาณ ซึ่งเสาสัญญาณแต่ละเสาสามารถวางห่างไกลได้ถึง 80 กิโลเมตร และการส่งสัญญาณจะต้องอยู่ในระดับเดียวกัน เสาอากาศสามารถวางชิดกัน โดยจะไม่รบกวนกับเสาอากาศอื่นที่ใช้ความถี่เดียวกัน อย่างไรก็ตามคลื่นไมโครเวฟเป็นคลื่นความถี่สูง ไม่สามารถเดินทางทะลุผ่านผนัง ส่งผลให้เสาอากาศที่ได้รับไม่สามารถอยู่ภายในอาคารได้
ดาวเทียม (Satellite)
เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟมีข้อจำกัดในเรื่องของลักษณะภูมิประเทศที่มีผลต่อการบดบังคลื่น ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาดาวเทียม โดยความเป็นจริงแล้ว ดาวเทียมก็คือสถานีไมโครเวฟนั่นเอง
ดาวเทียมเป็นสถานีไมโครเวฟที่ลอยอยู่บนเหนือพื้นผิวโลก ทำให้สามารถติดต่อสถานีภาคพื้นดินที่อยู่บนพื้นโลก การนำดาวเทียมดังกล่าวขึ้นไปโคจรเหนือพื้นผิวโลกเพียง 3 ดวง ก็สามารถครอบคลุมการสื่อสารได้ทุกหมุนโลก โดยดาวเทียมดวงหนึ่งส่งสัญญาณในบริเวณกว้างเท่ากับ 1 ใน 3 ของโลก (120 องศา) ดังนั้นดาวเทียม 3 ดวงก็ครอบคลุมบริเวณพื้นโลกได้ทั้งหมด (360 องศา)
ส่วนการสื่อสารสามารถส่งสัญญาณแบบขาขึ้น (Up-link) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณจากสถานีพื้นดินไปยังดาวเทียม และการส่งสัญญาณแบบขาลง (Down-link) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณจากดาวเทียมมายังสถานีภาคพื้นดิน
อินฟราเรด (Infrared)
คลื่นอินฟราเรดที่ใช้ในอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เมาส์ คีย์บอร์ดไร้สาย และเครื่องพิมพ์ จะใช้สำหรับการสื่อสารระยะสั้น สัญญาณอินฟราเรดมีความถี่สูง และไม่สามารถทะลุผ่านผนัง เนื่องจากระบบการสื่อสารระยะสั้น การใช้งานของระบบการสื่อสารอินฟราเรดในห้องหนึ่งจะไม่ได้รับผลกระทบจากการใช้งานของระบบอื่นในห้องถัดไป นอกจากนี้เราไม่สามารถใช้คลื่นอินฟราเรดนอกอาคารได้ เนื่องจากรังสีของดวงอาทิตย์มีคลื่นอินฟราเรดที่สามารถรบกวนการสื่อสารได้