หลายธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ สามารถคิดค้นนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาจนเป็นที่สนใจของคนทั้งโลก และไม่ว่าจะทำอะไร ก็สามารถสร้างผลกำไรมหาศาลให้ธุรกิจได้เสมอ Netflix, Airbnb หรือ Facebook พวกเขาไม่ใช่แค่ “คิด” วิธีการในการมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยัง “สร้าง” เส้นทางในการก้าวไปข้างหน้าอีกด้วย และต่อให้คิดและสร้างแล้ว ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จหากพวกเขาไม่ได้ “ออกแบบ” เส้นทางดังกล่าวนั้นอย่างถูกต้อง ซึ่งการออกแบบในที่นี้ไม่ใช่แค่การออกแบบในเชิงรูปธรรม หรือออกแบบผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการออกแบบในเชิงโครงสร้าง ออกแบบวิธีคิด และวิธีการทำงาน ด้วยเหตุนี้องค์กรใหญ่จึงมีศักยภาพในการพัฒนาและเติบโตอย่างก้าวกระโดด ต่อให้เจอปัญหาก็สามารถใช้กระบวนการคิดและออกแบบวิธีแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวนั้นก็คือ กระบวนการคิดเชิงออกแบบ หรือ “Design Thinking” นั่นเอง Design Thinking คืออะไร ? เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจอย่างไร ?Design Thinking ไม่ใช่แค่การออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือเป็นเรื่องของดีไซเนอร์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ถือเป็น Core แก่นหลักสำคัญสำหรับการทำธุรกิจเลยทีเดียว เพราะมันเป็นกระบวนการคิดที่มุ่งเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางเพื่อให้ได้มาซึ่งนวัตกรรมใหม่ อีกทั้งเป็นเครื่องมือช่วยแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ต้องเข้าใจว่าธุรกิจเกิดจากการพยายามแก้ปัญหาให้ผู้บริโภค เพราะฉะนั้น การคิดวิเคราะห์เพื่อหา Solutions หรือการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบจึงถือเป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้รอบด้าน รวมถึงเข้าใจเทรนด์การบริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งหัวใจสำคัญที่ถือเป็นพื้นฐานในการมีกระบวนการคิดเชิงออกแบบก็คือ
หากลองสังเกตธุรกิจใหญ่ๆ ต่างก็เกิดมาจากจุดเริ่มต้นเดียวกันนั่นคือ การตั้งคำถามกับปัญหาที่เจอ แล้วต่อยอดความคิดนั้นด้วยการออกแบบ และทดลองทำ อย่าง Facebook เกิดจากการอยากแก้ปัญหาการเข้าสังคมไม่ค่อยเก่งของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก Airbnb ก็เกิดจากการตั้งคำถามว่าจะแก้ปัญหาการไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้องพักราคาแพงได้อย่างไร หรือ Netflix ก็เกิดจากการตั้งคำถามว่าเราจะสามารถเช่าหนังดูแบบบุฟเฟต์ได้ไหม และด้วยการตั้งคำถามอย่างถูกต้อง คิด ออกแบบและต่อยอดไอเดีย เราจึงมีสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “Facebook” มีบ้านที่เราสามารถไปพักอาศัยได้ชั่วคราวทั่วโลกอย่าง “Airbnb” และมีสตรีมมิ่งหนังขนาดใหญ่ที่สามารถดูได้ไม่อั้นในคราวเดียวอย่าง “Netflix” ทั้งหมดนี้มีจุดร่วมคล้ายกันคือ ตั้งคำถาม ต่อยอดและออกแบบวิธีแก้ปัญหานั่นเอง ทำไม Design Thinking จึงเป็นที่พูดถึงมากขึ้นในปัจจุบันแนวคิด Design Thinking มีมานับ 50 ปีแล้ว แต่ผู้ที่ทำให้ Design Thinking : กระบวนการคิดเชิงออกแบบ แพร่หลายมาสู่แวดวงธุรกิจคือ David M. Kelley ศาสตราจารย์และนักธุรกิจชาวอเมริกันผู้ก่อตั้งสถาบัน Hasso Plattner Institute of Design (d.school) ของ Stanford University ในปี 2004 เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ที่กระตุ้นให้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ องค์กรระดับโลกอย่าง Google, Apple, Starbucks, Airbnb และ Nike ต่างใช้แนวคิดนี้เป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจ ทำให้ Design Thinking เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากขึ้น ขั้นตอนในกระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อให้ง่ายต่อการลำดับความสำคัญและเพื่อผลลัพธ์จากกระบวนการคิดเชิงออกแบบที่ได้ผลที่สุด ในกระบวนการคิดเชิงออกแบบนั้น ประกอบไปด้วย 5 ขั้นตอนที่สำคัญคือ 1. Empathize – เข้าใจปัญหา การเข้าใจปัญหาอาจเริ่มด้วยการตั้งคำถาม สร้างสมมติฐาน ตลอดจนวิเคราะห์ปัญหาและพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ในขั้นตอนนี้เป็นเหมือนขั้นตอนของการสร้าง “โจทย์ปัญหา” ขึ้นมา ซึ่งคุณจะต้องตั้งคำถามว่า “ทำไม” ซ้ำๆหลายครั้ง เช่น ทำไมธุรกิจของคุณจึงเกิดขึ้น ทำไมลูกค้าจะต้องเลือกสินค้าหรือบริการของคุณ ธุรกิจคุณแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร ? เมื่อตั้งคำถามอย่างถูกต้อง ก็จะได้โจทย์ที่ชัดเจน ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องในขั้นตอนต่อไป 2. Define – กำหนดปัญหาให้ชัดเจน เมื่อเข้าใจโจทย์ของธุรกิจแล้ว ในขั้นตอนนี้ก็คือการระบุปัจจัยต่างๆให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเพื่อหาวิธีในการแก้ปัญหา ในขั้นตอนแรกจะทำให้คุณเข้าใจปัญหา ขั้นตอนต่อมาก็คือหนทางในการแก้ปัญหานั้น ซึ่งการจะแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง คุณต้องกำหนดหรืออธิบายให้ละเอียดชัดเจน เช่น ใครเป็นกลุ่มลูกค้าของคุณ สินค้าและบริการของคุณตอบโจทย์ลูกค้าอย่างไร ลูกค้าจะใช้บริการและหาซื้อได้ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร ? เป็นต้น 3. Ideate – ระดมความคิด เป็นขั้นตอนของการระดมความคิด หาไอเดียในการแก้โจทย์ปัญหา ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนที่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด โดยขั้นตอนนี้คุณไม่จำเป็นต้องกังวลถึงกรอบหรือข้อจำกัดใดๆ ให้ลองเสนอไอเดียอย่างเต็มที่ ไม่มีผิด ไม่มีถูก เป็นการมองหาความแปลกใหม่ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าของคุณมากที่สุด เพราะหลังจากที่คุณระดมความคิดในทีมแล้ว ไอเดียที่เวิร์คที่สุดหรือมีความเป็นไปได้ และน่าจะทำได้จริงที่สุดจะเป็นสิ่งที่ตามมาเอง 4. Prototype – สร้างแบบจำลองก่อนใช้จริง ขั้นตอนนี้คือการสร้าง Prototype หรือแบบจำลองก่อนใช้จริง เป็นการนำไอเดียจากขั้นตอนก่อนหน้ามาต่อยอดเพิ่มเติมและทำให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด โดยในระยะแรก ไม่จำเป็นต้องคาดหวังในผลลัพธ์มากนัก แต่ให้คิดว่าเป็นการทดลองเพื่อหา Feedback ความสำคัญของขั้นตอนนี้คือการได้เรียนรู้หากพบข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขก่อนใช้จริงในอนาคต เพราะ Prototype ที่ดีนั้นต้องทำให้คุณรู้ว่าอะไรที่ลูกค้าชอบและไม่ชอบ และคุณจะ สามารถแก้ไขมันได้อย่างไร 5. Test – ทดสอบ ขั้นตอนนี้อาจดูเหมือนเป็นขั้นตอนสั้นๆ และคงใช้เวลารวดเร็ว แต่จริงๆแล้วก่อนจะมีขั้นตอนในการทดสอบได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนแปลง ซ้ำๆหลายรอบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ยิ่งคุณพบข้อผิดพลาดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นข้อดี เพราะจะทำให้ยังมีเวลาที่จะได้ปรับปรุงแก้ไขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และหากในขั้นตอนนี้ คุณพบว่า ไอเดียตรงนี้ไม่สามารถไปต่อได้อีกแล้ว อาจไม่ได้หมายถึงจะต้องพับโครงการไปเสียทีเดียว คุณอาจแก้ไขได้โดยการกลับไปดูที่ขั้นตอนที่สาม – Ideate ใหม่อีกรอบ ระดมความคิดและหาวิธีใหม่ๆกันอีกครั้ง Design Thinking จึงถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยทำให้ทีมของคุณร่วมมือกันได้ดีขึ้น ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ มีทัศนคติอย่างนักออกแบบ ช่วย Drive องค์กรไปข้างหน้า และที่สำคัญช่วยสร้างผลกำไรและความสำเร็จให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย |