เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติในคืนเดือนเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 พระบิดาคือพระเจ้าสุทโทธนะ พระมารดาคือ พระนางสิริมหามายา พระนามสิทธัตถะ แปลวา ผู้ที่จะสมปรารถนาในทุกๆสิ่ง เรื่องราวการประสูติของ พระองค์เต็มไปด้วยปาฏิหารย์ หนึ่งในนั้นคือ เมื่อแรกประสูติพระกุมารทรงเดินได้ 7 ก้าวและทรงตรัสว่า Show "เราจะเป็นใหญ่กว่าผู้ใดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย จะไม่มีภพชาติใด สำหรับเราอีกแล้ว" พระบิดาได้ให้พราหมณ์มาทำนายโชคชะตาของพระกุมาร เหล่าพราหมณ์เกือบทั้งหมดทำนายเป็น 2 ทางว่า พระองค์จะได้เป็นจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่หากพระองค์บวชก็จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่มีพราหมณ์ผู้หนึ่งได้ทำนายเป็นแนวทางเดียวเลยว่า พระกุมารจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก คำทำนายนี้ ทำให้พระเจ้าสุทโธทนะ รู้สึกกังวลยิ่งนัก เพราะพระองค์ต้องการให้เจ้าชายได้เป็นจักรพรรดิ์ ผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อเวลาผ่านไป 7 วัน พระมารดาของเจ้าชายก็ทรงเสด็จสวรรคต พระนางปชาบดีโคตมี ผู้ทรงเป็นพระน้านาง ได้ทรงเลี้ยงดูพระองค์แทนพระมารดา พระเจ้าสุทโธทนะได้เลี้ยงดูเจ้าชายอย่างดี ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่รื่นรมย์ ทรงสร้างปราสาท 3 ฤดูให้เจ้าชายประทับ และให้มีเสียงเพลงขับลำเนา เพื่อความเพลินใจตลอดเวลา เจ้าชายไม่เคยได้ออกจากเขตพระราชฐานเลย ไม่เคยได้เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงเรียนรู้วิชาต่างๆ พระปรีชาสามารถของพระองค์แสดง ให้เห็นถึงพระอัจฉริยะภาพ ในทุกๆด้าน เมื่อพระองค์ทรงพระชนม์มายุได้ 19 พรรษา พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธารา เจ้าชายสิทธิทัตถะ เริ่มมีความสงสัยว่า ชีวิตนอกวังเป็นอย่างไร วันหนึ่ง พระองค์จึงได้เสด็จออกไปนอก เขตพระราชฐาน ทำให้ได้ทรงพบความจริงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพระองค์ตลอดกาล นั่นก็คือ พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นความจริงสี่ประการคือ คนเจ็บ คนแก่ คนตาย และนักบวช พระองค์ทรงรำพึงกับตัวเองว่า "เราจะใช้ชีวิตท่ามกลางความสุขสบายนี้ได้อย่างไร ในเมื่อมีความทุกข์อยู่มากมายในโลกนี้" ด้วยพระบารมีเดิมที่ทรงบำเพ็ญมา ทำให้พระองค์ได้ตระหนักว่า ไม่มีใครสามารถหลุดพ้นไปจาก ชราและมรณะได้ พระองค์จึงปรารถนาอยากออกแสวงหาทางหลุดพ้นจากวงจรแห่งความทุกข์นี้ เจ้าชายสิทธัตถะ ได้เสด็จหนีออกจากพระราชวังในเวลากลางคืน ทิ้งพระมเหสีและพระโอรสราหุลไว้เบื้องหลัง เพื่อเริ่มต้นออกเดินทางแสวงหาทางดับทุกข์ พระองค์ตัดสินใจบวชและได้ไปศึกษาวิชาความรู้กับอาจารย์ขั้นเอกอุของแผ่นดิน 2 ท่าน แม้ว่าจะเรียนวิชาจากอาจารย์จนจบสิ้นแล้ว พระองค์ก็ยังไม่พบวิธีดับทุกข์ อาจารย์ทั้งสองก็ไม่รู้วิธีเช่นกัน พระองค์จึงทรงแสวงหาทางดับทุกข์ด้วยวิธีตามโยคีโบราณ หนึ่งในนั้น คือการบำเพ็ญทุกขกริยา ด้วยการอดอาหาร จนร่างกายผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติขั้นเอกอุ แต่ก็ยังไม่พบทางหลุดพ้น กระทั่งวันหนึ่ง เทวดาได้จำแลงมาดีดพิณให้พระองค์ดูโดยสายพิณสายที่ 1 ขึงสายไว้หย่อนเกินไป สายพิณสายที่ 2 ขึงสายไว้ตึงเกินไป ทำให้เสียงดนตรีที่ออกมาจากพิณทั้งสองสายนี้ ไม่มีความไพเราะ ส่วนสายพิณสายที่ 3 ขึงไว้ให้ตึงแต่พอดี ทำให้เสียงเกิดความไพเราะ เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้พระองค์ได้ตระหนักถึงทางสายกลาง พระองค์จึง กลับมารับอาหารแต่พอดี และเริ่มเข้าไปค้นหาความจริงจากจิตใจของพระองค์เอง ด้วยการภาวนาสมาธิและวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อค้นพบความจริงเกี่ยวกับจิตของพระองค์เอง ในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำในเดือนพฤษภาคม พระองค์ทรงประทับนั่งที่ใต้ต้นโพธิ์ ด้วยการอธิษฐาน อย่างแน่วแน่ว่า "เราจะไม่ลุกไปจากที่นั่งนี้จนกว่าจะได้ตรัสรู้" ในที่สุดพระองค์ก็ได้เข้าถึงความจริง แท้เกี่ยวกับพระองค์เอง อันเป็นความจริงแท้ของจักรวาลด้วย ได้ทรงค้นพบทางหลุดพ้น และความรู้อันเหนือวิสัยมนุษย์ธรรมดาได้บังเกิดขึ้นกับพระองค์มากมายมหาศาล พระองค์ได้เข้าถึงการเป็นผู้รู้แจ้ง เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้ตรัสรู้เป็น พระศากยมุนีพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ได้ใช้เวลาในการค้นหาพระสัทธรรมเป็นเวลาถึง 6 ปี ด้วยการอุทิศพระวรกายและจิตใจ เพื่อค้นหาวิธีการดับความทุกข์ทั้งมวล คำสอนของพระองค์ลึกซึ้งแต่เข้าใจง่าย พระองค์ทรงสอนให้คนได้เข้าถึงความจริง 4 ประการคือ ทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ การดับของความทุกข์ และวิธีการดับความทุกข์ พระองค์ได้สอนท่านอัญญาโกณทัญญะ ผู้ที่เคยติดตามพระองค์สมัยที่ยังทรงบำเพ็ญทุกขกริยา ด้วยคำสอนว่า "สิ่งใดมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับ เป็นธรรมดา" เพียงคำสอนนี้ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ก็ได้มีดวงตาเห็นธรรมและขออนุญาตพระองค์บวช ทำให้ท่านได้เป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ทรงทุ่มเทชีวิตของพระองค์สอนธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบทั่วชมพูทวีป กระทั่งพระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายไปทั่วโลก พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเมื่อพระชนม์มายุได้ 80 พรรษา วันประสูติ ตรัสรู้และ ปรินิพพานล้วนเกิดขึ้นในคืนขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 อันเป็นคืนวันเพ็ญของทุกเดือนและเป็นกึ่งกลางเดือนของปีทั้งสิ้น ย้ำให้เห็นถึงการเข้าถึง ทางสายกลาง คือ มัชฌิมา ปฏิปทา จากนั้นได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนมายุ 80 พรรษา และวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราชประวัติ พระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ, ประวัติ พระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ หมายถึง, ประวัติ พระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ คือ, ประวัติ พระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ ความหมาย, ประวัติ พระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ คืออะไร พระโคตมพุทธเจ้า (Gautama Buddha) หรือมักนิยมเรียกเพียง พระพุทธเจ้า หรือนามเดิมคือ เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธ ถือกันว่าพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ระหว่าง 80 ปีก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราชซึ่งเป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ 543 ปีก่อนคริสต์กาลตามตำราไทยอ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทย และ 483 ปีก่อนคริสตกาลตามปฏิทินสากล ในดินแดนที่ปัจจุบันเป็นประเทศอินเดียและเนปาล ถือกันว่าพระองค์มีเชื้อชาติอริยกะ หรือชาติผู้เจริญ และเป็นชาวชมพูทวีป (สมัยนั้นยังไม่มีประเทศอินเดีย และเนปาล)พระองค์ประสูติในฐานะเจ้าชายแห่งแคว้นศากยะ (สักกะ) ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ โคตมะ แต่ได้ออกผนวชและทรงตรัสรู้เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา ในพระไตรปิฏกกล่าวว่า พระพุทธเจ้าของเราได้ทำความดี(บารมี)มาในชาติก่อน ๆ นับชาติไม่ถ้วน (ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านถูกเรียกว่า พระโพธิสัตว์) พระชาติอื่น ๆ ที่ชาวพุทธรู้จักกันดี ได้แก่ พระเวสสันดร พระเตมีย์ พระมหาชนก เป็นต้น พระพุทธเจ้า หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของ พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย คำกล่าวเรียกพระพุทธเจ้า
พระนามของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๕ พระองค์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้ทรงพบ และ พระโคดมพุทธเจ้าทรงได้รับคำพยากรณ์ ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรานิยมนับรวมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยเรียกว่า "พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์"
แบ่งตามกัปการนับอสงไขยในที่นี้ จะนับอสงไขยแรกโดยเริ่มนับจากช่วงเวลาที่ อดีตชาติของพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มสร้างบารมี โดยการอธิษฐานในใจต่อหน้าพระพักตร์ของพระสัมมาพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก กัปแรกในต้นอสงไขยที่ 17 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์
กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 18 เป็นสารกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์ กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 19 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์
กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 20 เป็นสารวรกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า ช่วงเศษแสนมหากัป ของ อสงไขยปัจจุบัน กัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์.
พระปทุมมุตระพุทธเจ้า สูญกัป (กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น) 30,000 กัป มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
สูญกัป 60,000 กัป วรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
สูญกัป 24 กัป สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
สูญกัป 1 กัป มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
สูญกัป 60 กัป
สูญกัป 30 กัป กัปปัจจุบัน เป็น ภัทรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
ประวัติพระพุทธเจ้าประวัติพระพุทธเจ้าช่วงประสูติพระพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ โดยในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเนปาล เจ้าชายสิทธัตถะมีพระราชมารดาพระนามว่า พระนางสิริมหามายา ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์แห่งราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติเมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ณ สวนลุมพินีวัน บริเวณใต้ต้นสาละที่อยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ ในปัจจุบัน คือ ตำบลรุมิเด ประเทศเนปาล ในขณะนั้นได้มีพราหมณ์ทั้ง 8 ได้ทำนายเอาไว้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ หมายความว่า ถ้าดำรงตนในฆราวาสก็จะได้เป็นจักรพรรดิ แต่ถ้าออกบวชก็จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก ในทางตรงกันข้าม โกณฑัญญะ พราหมณ์ผู้ที่อายุน้อยที่สุดในจำนวนพราหมณ์ทั้ง 8 ได้ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ทันที่ที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว มีดอกบัวผุดรองรับ และทรงเปล่งพระวาจาว่า เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา ประวัติพระพุทธเจ้าช่วงวัยเด็กภายหลังการประสูติได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ เจ้าชายสิทธัตถะจึงได้ทรงไปอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา เพื่อเติบใหญ่ขึ้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบระดับสูงของการศึกษาทางโลกในสมัยนั้น คือ ศิลปศาสตร์ จำนวน 18 ศาสตร์ในสำนักครูวิศวามิตร ครั้นพระบิดาไม่ประสงค์ที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอก พระองค์จึงพยายามให้เจ้าชายสิทธัตถะพบแต่ความสุขทางโลก อาทิ การสร้างปราสาท 3 ฤดู และเมื่อมีพระชนมายุครบ 16 ปี ก็ได้ให้เจ้าชายสิทธัตถะอภิเษกกับนางพิมพา หรือนางยโสธรา ผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะที่เป็นพระญาติฝ่ายมารดา จากนั้นต่อมาเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมาพระชนมายุได้ 29 พรรษา พระนางพิมพาก็ได้กำเนิดพระโอรสนามว่า ราหุล (บ่วง) ประวัติพระพุทธเจ้าช่วงเสด็จออกผนวชเจ้าชายสิทธัตถะได้ตัดสินใจพระทัยออกบวช เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณตามลำดับ พระองค์ก็ได้ทรงคิดว่าชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงมีแนวความคิดเกิดขึ้นว่า ธรรมดาในโลกนี้มีของอยู่คู่กัน เช่น มีร้อนก็ต้องมีเย็น มีทุกข์ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีที่สุดทุกข์ คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พระองค์ทรงเห็นความสุขทางโลกเป็นเพียงเรื่องมายา ความสุขในกามคุณเป็นความสุขจอมปลอม เป็นเพียงภาพมายาที่ชวนให้หลงว่าเป็นความสุขเท่านั้น ไม่มีความเพลิดเพลินใดที่ไม่มีความทุกข์เจือปน วิถีทางที่ช่วยให้พ้นจากความทุกข์ของชีวิตเช่นนี้ได้และหนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสารก็จะต้องสละเพศผู้ครองเรือนเป็นสมณะ สิ่งที่พระองค์พบเห็นเรียกว่า เทวทูต (ทูตสวรรค์) จึงได้ตัดสินพระทัยออกผนวชในวันที่ราหุลน้อยประสูติไม่เท่าไหร่ พระองค์ก็ทรงม้ากัณฐะออกผนวชโดยมีนายฉันทะตามเสร็จ การเดินทางได้มุ่งตรงไปที่แม่น้ำอโนมานที ตัดพรเกศา และเป็นเครื่องทรวเป็นผ้าสาสพักตร์ พระองค์ทรงเปลื้องเครื่องทรงแล้วมอบให้นายฉันทะนำกลับพระนคร ซึ่งการออกบวครั้งนี้เรียกว่า การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (กาเสด็จ) ออกเพื่อคุณอันย่งใหญ่ ต่อมาสิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวชแล้ว จึงมุ่งหน้าตรงไปที่แม่น้ำคย แคว้นมคธ เพื่อเป็นการค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ซึ่งเมื่อเรียนจบทั้งสองสำนักแล้ว ก็ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ตามที่มุ่งหวังไว้ ประวัติพระพุทธเจ้าช่วงตรัสรู้ (15 ค่ำเดือน 6)ขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ นางสุชาดา ได้ถวายข้าวมะธุปายาส (ข้าวที่หุงด้วยนม) ที่ใต้ต้นไทร เมื่อเสวยแล้วก็ทรงลอยถาดทองในแม่น้ำเนรัญชรา และได้อธิษฐานเสี่ยงทาย ต่อมาในเวลาเย็นโสตถิยะถวายหญ้าคา 8 กำมือโดยปูลาดเป็นอาสนะ บริเวณโคนใต้ต้นโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา โดยทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณ ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก อีกทั้งพระองค์ยังทรงบรรลุรูปฌาณทั้ง 4 ชั้น แล้วใช้สติปัญญาพิจารณาจนเกิดความรู้แจ้ง เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นแจ้งแล้ว จึงละอุปาทานและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประวัติพระพุทธเจ้าช่วงปัจฉิมกาลเมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้เดินทางไปแสดงธรรม ณ ที่ต่างๆ รวมถึงโปรดพระพุทธบิดาและประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ จากนั้นพระองค์ก็ได้ทรงปลงสังขารก่อนปรินิพานเป็นเวลา 3 เดือน และช่วงเวลาก่อนปรินิพพานเพียง 1 วัน นายจุนทะ ก็ได้ถวายสุกรมัททวะ (หมูอ่อน) พระพุทธเจ้าได้เสวยจนมีอาการประชวร พระอานนท์โกรธมาก พุทธองค์จึงทรงตรัสว่า “บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ , ปรินิพพาน” นับแต่นั้น พระพุทธองค์ก็ทรงให้โอวาทเรื่อยมาจนมาถึงปัจฉิมโอวาท และพระพุทธเจ้าก็ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยานของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ รวมพระชนมายุได้ 80 พรรษา และทรงเทศนาสั่งสอนทางพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานานกว่า 45 ปี |