จังหวัดใดมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวมากที่สุด

ตัวเลขสถิติเผย หลายจังหวัดรายได้สูงขณะรายจ่ายจี้ติดเป็นเงาตามตัว ในทางตรงข้ามบางจังหวัดมีรายได้-รายจ่ายไม่ต่างกัน ด้านนักวิเคราะห์เดือน ศก.ไทย ยังไม่ฟื้นดีนักในปีหน้า

จริงอยู่ที่เงินไม่ใช่ปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต แต่หากพิจารณาสภาพสังคมปัจจุบัน หลักการทางชีววิทยาเพียงอย่างเดียวไม่อาจตอบโจทย์การยังชีพอย่างเหมาะสมเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่สวัสดิการจากภาครัฐยังไม่เพียงพอและทั่วถึง

ปิดท้ายปี 2563 ที่ไทยเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย (จีดีพีติดลบต่อเนื่อง 2 ไตรมาส) กันตั้งแต่ช่วงต้นปีในไตรมาสแรก เรื่อยมาถึงการติดลบกว่า 12.2% ในไตรมาสที่ 2 ก่อนขยับขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสต่อมาและทำท่าว่าจะมีปัญหาอีกครั้งใน 3 เดือนสุดท้ายของปี

'วอยซ์' ขอเสนอตัวเลขรายได้และค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของจังหวัดที่มี 'เงินเหลือเก็บ' มาก/น้อยที่สุดของประเทศ เพื่อสะท้อนความเหลื่อมล้ำในเชิงตัวเงิน และตอกย้ำว่าประเทศต้องการรัฐบาลที่บริหารจัดการความเป็นอยู่ของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเท่าเทียม

  • ภาพกลุ่มเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ บริเวณหน้าทําเนียบรัฐบาล เมื่อ 13 ก.ค. 2563
ปรบมือให้ 'สมุทรสงคราม' และร่วมช่วย 'บึงกาฬ'

ข้อมูลใหม่ล่าสุดในการนำมาวิเคราะห์คือตัวเลขจากปี 2562 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งพบว่า หากนำค่าเฉลี่ยรายได้ต่อเดือนมาลบด้วยรายจ่าย (ย้ำว่าคิดแค่เพียงรายจ่ายในการยังชีพ ไม่นับค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาทิ การลงทุน และไม่นับรวมภาระหนี้สินเช่นเดียวกัน)

'สมุทรสงคราม' ถือเป็นจังหวัดที่ประชากรมีเงินเหลือมากที่สุดถึง 19,367 บาท/เดือน โดยข้อมูลสะท้อนว่า จังหวัดอันดับหนึ่งนี้

  • ครัวเรือนมีรายได้ราว 38,395 บาท/เดือน
  • รายจ่ายอยู่ที่ประมาณ 19,028 บาท/เดือน

ขณะที่สมุทรสงครามมีเงินเหลือบเกือบแตะ 20,000 บาท/เดือน จังหวัดในอันดับรองลงมา กลับมีช่องว่างเกือบเท่าตัว โดยระนอง และ นครปฐม มีเงินเหลือในตัวเลข 10,413 และ 10,181 ตามลำดับ

ขณะที่อันดับที่ 4 และ 5 อย่างปทุมธานีและชุมพรเห็นส่วนต่างระหว่างรายได้และรายจ่ายราว 9,800 และ 9,500 บาท/เดือน

ในทางตรงกันข้าม บึงกาฬ เป็นจังหวัดที่มีส่วนต่างระหว่างรายได้และรายจ่ายในหลัก 500 บาท/เดือน เท่านั้น โดยมี

  • รายได้เฉลี่ยราว 22,700 บาท/เดือน
  • มีรายจ่ายราว 22,200 บาท/เดือน

หากไปดูภาระหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน ยังสูงถึง 220,000 บาท โดย 'วอยซ์' พบว่า สาเหตุของหนี้สินหลักมาจากการกู้ยืมเพื่อใช้จายในครัวเรือนกว่า 50% 

ความน่ากังวลอีกประการคือ จากทั้งหมด 5 จังหวัดที่มีส่วนต่างรายจ่ายและรายได้ต่ำที่สุดในประเทศไทย พบว่ามีถึง 4 จังหวัดที่กระจุกตัวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ บึงกาฬ ในอับดับแรก ตามมาด้วย บุรีรัมย์ในอันดับที่ 2 พร้อมด้วย ศรีสะเกษ และ หนองคายในอันดับที่ 4 และ 5 ขณะพะเยาจากภาคเหนือติดเข้ามาอยู่ในอันดับที่ 3 โดยจังหวัดที่เหลือเหล่านี้ มีเงินเหลือเก็บจากส่วนต่างรายได้และค่าครองชีพราว 1,000 บาท/เดือน เท่านั้น 

2 ปีอย่างต่ำ-ทนไหวหรือไม่ 

ประชาชนต้องไม่ลืมว่า ตัวเลขล่าสุดที่นำมาจัดอันดับนั้นคือสถิติในปี 2562 หรือช่วงเวลาก่อนที่ประเทศจะเกิดวิกฤตโรคระบาดที่ขยายตัวมาเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจ ซ้ำเติมสภาพข้างต้นเข้าไปอีก

แม้ล่าสุด รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือน พ.ย.ระบุว่า เศรษฐกิจทยอยปรับตัวดีขึ้นแต่กระจุกตัวในภาพใหญ่หรือบางกลุ่มเท่านั้น ทว่าส่วนที่เปราะบาง-อ่อนไหวที่สุดของสังคมอย่างภาคครัวเรือน/ประชาชน ยังคงไม่เห็นสัญญาณดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม 

ระดับการว่างงานของไทย ณ เดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ทรงตัวในช่วง 2% ของแรงงานทั้งหมดขณะที่เดือน พ.ย.ของปี 2562 และ 2561 ตัวเลขอยู่ที่ราว 1% เท่านั้น นอกจากนี้ สัดส่วนของประชาชนที่มาขอรับเงินสมทบจากการว่างงานในความคุ้มครองของหลักประกันสังคม มาตรา 33 ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ยังออกมาวิเคราะห์ว่า ไทยต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 2 ปี ก่อนจะกลับไปเห็นตัวเลขเศรษฐกิจเติบโตในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโรคระบาด หรือในปี 2562

หมายความว่า ประชากรในประเทศไทย อาจต้องเผชิญหน้ากับภาวะที่มีรายได้(ที่แท้จริง)ต่ำกว่าในช่วงปี 2562 ไปอีกอย่างน้อย 2 ปี จังหวัดใดมีเงินเหลือเก็บเยอะ จากรายได้ที่สูงและค่าครองชีพต่ำ อาจจะเห็นช่วงว่างเหล่านั้นลดลง ทว่าปัญหาที่แท้จริง จะไปตกกลับเหล่าประชากรในจังหวัดที่แทบจะไม่มีเงินเหลือเก็บอยู่แล้วตั้งแต่ต้น รวมไปถึงแรงงานที่ประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากโควิด-19 อย่างภาคท่องเที่ยว

ที่มา http://ww.facebook.com/WOWThailandOfficials

รายได้คนไทยแต่ละจังหวัดต่างกันมากแค่ไหน?...

เมื่อเราพูดถึงการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศหรือระดับจังหวัดก็ตาม 1 ในตัวชี้วัดที่ต้องพูดถึงกันอยู่บ่อยๆคือ “รายได้” วันนี้ #WOWThailand จึงอาสาพาทุกท่านมาถอดข้อมูลรายได้ต่อครัวเรือน ทั้งในระดับประเทศ รายภาค และรายจังหวัด ของสำนักงานสถิติแห่งชาติกัน
.
สำหรับสถิตินี้พบว่ารายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนของคนไทยในปี 2558 อยู่ที่ 26,915 บาท กรุงเทพฯและปริมณฑล (กรุงเทพฯ, นนทบุรี, สมุทรปราการ, ปทุมธานี) มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนสูงถึง 41,002 บาท และภาคกลางเป็นภาคที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนสูงที่สุด 26,601 บาท ตามมาด้วยภาคใต้ 26,268 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 21,049 บาท และภาคที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนน้อยที่สุดคือภาคเหนือ 18,952 บาท

จังหวัดใดมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวมากที่สุด

.
เมื่อมองลึกลงไปรายจังหวัด แล้วจำแนกออกเป็นจังหวัดที่มีรายได้มากที่สุดและน้อยที่สุดอย่างละ 5 จังหวัด พบว่า
5 จังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนมากที่สุดคือ
กรุงเทพฯ 45,572 บาท
ปทุมธานี 41,057 บาท
นครปฐม 40,347 บาท
นนทบุรี 36,884 บาท
สุราษฎร์ธานี 36,466 บาท
.
5 จังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนนน้อยที่สุดคือ
เชียงราย 13,497 บาท
เชียงใหม่ 14,950 บาท
แม่ฮ่องสอน 15,119 บาท
กาฬสินธุ์ 15,452 บาท
ยะลา 15,584 บาท
.
โดยจังหวัดที่มีรายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ (26,915 บาท) มีเพียงแค่ 18 จังหวัด แต่ขณะเดียวกันจังหวัดที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมีอยู่อยู่ถึง 69 จังหวัด นั่นทำให้เราสามารถวิเคราะห์เป็นนัยยะได้ว่า มีจังหวัดที่รายได้สูงกระจุกตัวเพียงไม่กี่จังหวัด และยังมีรายได้ที่ค่อนข้างสูงและห่างกับค่าเฉลี่ยอยู่พอสมควร โดยแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักคือ
-เป็นเมืองหลวงหรือเมืองเศรษฐกิจ เช่น กรุงเทพฯ และจังหวัดในเขตปริมณฑล
-เป็นเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว(ทางทะเล)โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตอนใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นอีกกลุ่มที่มีรายได้ของประชากรสูง
-เป็นกลุ่มของจังหวัดที่เป็นฐานที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ระยอง สระบุรี
.
และจากข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมท่องเที่ยวของชาวไทย ของ ททท. ที่ร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ เรื่องการจัดสรรเงินเพื่อเดินทางท่องเที่ยว พบว่า กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่ประชากรให้ความสำคัญด้านการท่องเที่ยวและจัดสรรเงินเพื่อการท่องเที่ยวสูงที่สุด รองลงมาคือ กลุ่มจังหวัดในภาคกลาง และภาคใต้ ซึ่งก็สอดคล้องไปในทำนองเดียวกับรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนที่สื่อให้เห็นว่ากลุ่มคนยิ่งรายได้ดีขึ้น ย่อมมีความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวยิ่งมากขึ้นตามมา เพราะการท่องเที่ยวเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย
.
แต่ในขณะเดียวกันจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายเป็นจังหวัดที่มีความน่าสนใจด้านการท่องเที่ยว และผู้คนนิยมเดินทางมาเยือน แต่กลับมีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนน้อยจนน่าตกใจ เหตุผลหนึ่งน่าจะเป็นเพราะ 2 จังหวัดนี้นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปกันอย่างคึกคักเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น แล้วพวกคุณมีความเห็นเกี่ยวกับข้อมูลนี้อย่างไร? ร่วมแชร์ Comment กันได้ครับ
.
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่www.tourismthailand.org/TATIC