ข้อใด เป็น ความ หมาย ของ อาหารว่าง ที่ ถูก ต้อง

กินอาหารว่างแบบเฮลตี้ สุขภาพดีไม่มีอ้วน

ในช่วงสายหรือบ่าย ๆ ของวัน คงมีใครหลายคนอาจจะเริ่มหิว อยากหาอาหารว่างมากินให้หายหิวก่อนที่จะต้องไปกินข้าวมื้อถัดไป แต่ถ้าพูดถึงอาหารว่างภาพในหัวที่ขึ้นมาอาจจะเป็นเบเกอรี ขนมกรุบกรอบ ของทอด หรือแม้แต่น้ำหวานสักแก้ว แต่ว่าเมื่อดูลึกลงไปของว่างเหล่านี้กลับเป็นอาหารที่เต็มไปด้วยแป้ง น้ำตาล และไขมัน แล้วแบบนี้ต้องกินอะไรเป็นอาหารว่างถึงจะเฮลตี้ อยู่ท้อง และไม่ทำให้เราอ้วนขึ้น

❝ อาหารว่าง สไตล์ฝรั่ง เช่น แซนด์วิช พาย หรือหอมทอด หรืออาหารว่างสไตล์จีน เช่น ติ่มซำ จะทำกินเอง หรือหาซื้อก็มีขายทั่วไป ❞

แต่ถ้าเป็น อาหารว่างไทย  แค่คิดว่าจะหาซื้อก็ยากแล้ว แต่ถ้าทำเองแม้ไม่ง่าย แต่ก็คุ้มค่ากับเวลาและการรอคอย SGE ขอนำเสนอวิธีทำอาหารว่างไทยโบราณ ให้ได้ลองเข้าครัวทำกันดู ตามไปทำกันเลยดีกว่า 😋

สารบัญ

  • อาหารว่าง คืออะไร?
    • ชนิดของอาหารว่าง
    • ลักษณะของอาหารว่าง
  • ประเภทของอาหารว่าง
  • แนะนำสูตร อาหารว่างไทย หาทานยาก ทำเองเลยดีกว่า
    • 1. หมูโสร่ง
    • 2. กระทงทอง
    • 3. ช่อม่วง
    • 4. ขนมจีบนกไทย
    • 5. เมี่ยงกลีบบัว (เมี่ยงคำกลีบบัว)

อาหารว่าง คืออะไร?

อาหารว่าง หมายถึง อาหารระหว่างมื้อ เป็นอาหารประเภทเบา ๆ มีปริมาณอาหารน้อยกว่า อาหารประจำมื้ออาจจะเป็นอาหารน้ำ หรืออาหารแห้ง มีทั้งคาว และหวาน หรือเป็นอาหารชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพอคำ หยิบรับประทานได้ง่าย จัดให้สวยงามน่ารับประทานเป็นทั้งอาหารไทย และอาหารนานาชาติ หรือรับประทานควบคู่กับเครื่องดื่มร้อน หรือน้ำผลไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง

ชนิดของอาหารว่าง

อาหารว่าง แบ่งตามรสชาติได้ 2 ชนิด คือ

  1. อาหารว่างคาว
  2. อาหารว่างหวาน 

ลักษณะของอาหารว่าง

อาหารว่างแบ่งตามลักษณะได้ 4 ประเภท คือ

  1. อาหารว่างที่เป็นอาหารแบบแห้ง ได้แก่ ข้าวตังหน้าตั้ง, ขนมจีบ ซาลาเปา, สาคูไส้หมู, ปั้นสิบนึ่งหรือทอด, คุกกี้ บิสกิต, เค้กต่าง ๆ
  2. อาหารว่างชนิดน้ำ ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยวน้ำ หมู เป็ด ไก่, มะกะโรนีน้ำ, โจ๊กหมู กุ้ง ไก่, เครื่องดื่มร้อน เย็น
  3. อาหารว่างประเภทกับแกล้ม อาหารประเภทนี้ใช้รับประทานกับเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารประเภทยำ ลาบ พล่าต่าง ๆ ของทอด อาหารขบเคี้ยว
  4. อาหารว่างแบบค็อกเทล อาหารว่างแบบค็อกเทล ได้แก่ พวกแซนด์วิชต่าง ๆ ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือออร์เดิร์ฟ ชนิดต่าง ๆ ข้าวเกรียบทอด มันทอด ถั่วทอดกับแกล้มที่เป็นชิ้นเล็ก ๆ หยิบง่ายสะดวกแก่การรับประทาน

ข้อใด เป็น ความ หมาย ของ อาหารว่าง ที่ ถูก ต้อง

ประเภทของอาหารว่าง

อาหารว่างแบบไทย และนานาชาติ มีดังนี้

1. อาหารว่างไทย (คาวหวาน) อาหารว่างที่คนไทยรับประทานมีมากมายหลายชนิด ทั้งชนิดน้ำ และชนิดแห้ง ของว่างชนิดน้ำไม่นิยมเลี้ยงในตอนบ่าย นิยมอาหารว่างชนิดแห้งเป็นส่วนใหญ่ เช่น ปั้นสิบนึ่งไส้ต่าง ๆ, กระทงทอง, ขนมเบื้องกรอบ, สาคูไส้หมู, เมี่ยงลาว, ของหวาน เช่น ขนมสอดไส้, ตะโก้ เป็นต้น

2. อาหารว่างจีน (คาวหวาน) มีมากเช่นเดียวกัน มีทั้งของว่างชนิดน้ำ เช่น โจ๊ก, ก๋วยเตี๋ยว, เกี๊ยวน้ำ เป็นต้น ส่วนอาหารว่างชนิดแห้ง มักจะเป็นของทอด หรือนึ่ง เช่นขนมเปี๊ยะ, เปาะเปี๊ยะสด, ซาลาเปา เป็นต้น

3. อาหารว่างสากล นิยมกันมากในการจัดเลี้ยงงานใหญ่ ๆ  เพื่อรับรองแขก เพราะจัดได้สวยและน่ารับประทาน  อาหารที่รับประทานอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการ  ซึ่งแล้วแต่จะจัดขึ้น อาหารว่างสากลที่นิยมจัดรับประทาน มีดังนี้ ชา, กาแฟ, แซนด์วิช, เค้กต่าง ๆ,  เยลลี, ผลไม้ และไอศกรีม

4. ในการประกอบอาหารว่างนั้น เราไม่จำเป็นจะต้องทำอยู่แต่อย่างเดียวเสมอไป ผู้ประกอบการอาหารจำเป็นต้องดัดแปลง ให้เหมาะสมกับสมัย และความนิยมการนำอาหารแบบต่าง ๆ มาประยุกต์ คือ การนำอาหารว่างไทย จีน ฝรั่ง มาจัดผสมรวมกันในการเลี้ยงรับรองแขก เพื่อให้อาหารมีรสแตกต่างกันออกไป และมีความสวยงามอีกด้วย

แนะนำสูตร อาหารว่างไทย หาทานยาก ทำเองเลยดีกว่า

ชวนทำอาหารว่างไทย โบราณ สูตรอาหารว่างหากินยาก หน้าตา งดงามประณีตอ่อนช้อย แสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย เห็นทีวันหยุดต้องลองทำหน่อยแล้ว

1. หมูโสร่ง

ชวนเด็ก ๆ มาทำอาหารว่างไทยโบราณสูตรนี้กัน พบกับเมนูหมูโสร่ง ความพิเศษ คือ หมูสับก้อนกลมถูกพันด้วยเส้นหมี่ รสชาติจะอร่อยแค่ไหนต้องลองทำตามกัน

ส่วนผสม

  • หมูสับ 500 กรัม
  • หมี่ซั่ว 250 กรัม
  • รากผักชี 10 กรัม
  • พริกไทยเม็ด 10 กรัม
  • กระเทียม 30 กรัม
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืช (สำหรับทอด)

ข้อใด เป็น ความ หมาย ของ อาหารว่าง ที่ ถูก ต้อง

วิธีทำ

  1. เริ่มจากโขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยให้ละเอียด นำเครื่องโขลกหมักกับหมูสับ ใส่ไข่ น้ำปลา และซอสปรุงรส คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 30 นาที
  2. นำหมี่ซั่วแช่น้ำ ให้พอเส้นนุ่มแล้ว เทน้ำออกผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
  3. เริ่มจากปั้นหมูสับให้เป็นก้อนพอดีคำ แล้วใช้เส้นหมี่ 4 เส้นค่อย ๆ พันให้รอบหมู เก็บปลายเส้นโดยหาช่องว่างแล้วกดปลายเส้นยัดเข้าไปเลย เมื่อพันเสร็จจะได้หน้าตาแบบนี้ แล้วจึงนำไปทอด
  4. ตั้งน้ำมันใช้ไฟกลาง พอน้ำมันร้อนนำลงทอด ใช้น้ำมันท่วม ๆ ทอดจนหมูสุกเป็นสีเหลืองทอง ตักเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มไก่

สูตรจาก Phorn_Kitchen สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

2. กระทงทอง

หน้าตาน่ารักจนอยากทำบ้าง พบกับเมนูกระทงทอง จับแป้งหยอดลงในพิมพ์แล้วทอดจนสุก เสร็จแล้วใส่ไส้หมูสับลงไป หรือใครจะดัดแปลงเป็นกระทงทองไส้ไก่หรือกระทงทองไส้กุ้งก็ตามชอบค่ะ

ส่วนผสม

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 65 กรัม
  • แป้งข้าวเจ้า 75 กรัม
  • เกลือป่นเล็กน้อย
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  • ไข่แดง 1 ฟอง
  • น้ำปูนใส 85 มิลลิลิตร
  • น้ำเปล่า 85 มิลลิลิตร

ส่วนผสมไส้ขนมกระทงทอง

  • หอมแดงสับ
  • น้ำมันพืชเล็กน้อย
  • หมูสับ
  • ข้าวโพดต้ม ฝานเป็นเม็ด
  • มะพร้าวขาวขูด (ที่ยังไม่ได้คั้น) 2 ทัพพี
  • น้ำตาลปี๊บ
  • น้ำปลา
  • น้ำตาลทราย
  • สับปะรดสับ
  • พริกชี้ฟ้าแดงซอย
  • ผักชี
  • พิมพ์สำหรับทำกระทงทอง

ข้อใด เป็น ความ หมาย ของ อาหารว่าง ที่ ถูก ต้อง

วิธีทำ

  1. ทำน้ำปูนใส โดยเติมน้ำลงไปในปูนแดง สำหรับเคี้ยวหมาก คนให้ขุ่น ๆ แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้ตกตะกอน จากนั้น ช้อนเอาแต่น้ำด้านบนมากรองอีกรอบ เตรียมไว้
  2. ใส่แป้งสาลีอเนกประสงค์ แป้งข้าวเจ้า เกลือเล็กน้อย น้ำตาลทราย และไข่แดง ลงในอ่างผสม
  3. ผสมน้ำเปล่ากับน้ำปูนใสเข้าด้วยกัน จากนั้นค่อย ๆ เทลงในส่วนผสมแป้ง คนผสมให้เข้ากันจนแป้งเนียน และเหนียว พักไว้ หากยังไม่เหนียวให้เพิ่มแป้งข้าวเจ้าลงไปอีกเล็กน้อยได้ ให้ความข้นลักษณะคล้ายกาวลาเท็กซ์
  4. ผัดหอมแดงสับ กับน้ำมันพืชเล็กน้อยพอหอม ใส่หมูสับ ข้าวโพด และมะพร้าวขูดลงไปผัด
  5. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ใส่ลงไปประมาณค่อนทัพพี น้ำปลา และพริกไทยเล็กน้อย ผัดให้เข้ากัน
  6. ใส่สับปะรดสับลงไปผัด สับปะรดควรหาเอาแบบเปรี้ยว ๆ จะดี ผัดจนแห้ง ตักใส่ภาชนะแล้วนำไปแช่ตู้เย็นสักครู่
  7. ใส่น้ำมันลงในหม้อ หรือกระทะสำหรับทอด จากนั้น นำพิมพ์ขนมใส่ลงไปอุ่นในน้ำมันพืชจนร้อน นำพิมพ์ขนมขึ้นมาซับน้ำมันบนกระดาษทิชชู จุ่มก้นพิมพ์ขนม ที่ซับน้ำมันออกแล้ว ลงในส่วนผสมแป้งจนเกือบมิดพิมพ์ ต้องดูด้วยว่าแป้งติดก้นพิมพ์ไหม หากไม่ติด หรือติดมาน้อยแสดงว่าแป้งยังไม่เหนียวพอ ให้เพิ่มแป้งข้าวเจ้าอีกจนส่วนผสมข้นเหนียว และติดพิมพ์
  8. จากนั้นรีบจุ่มพิมพ์ลงน้ำมันทันที เพราะหากชักช้าแป้งก็จะหลุดลงไปเรื่อย ๆ ทำให้ไม่เป็นรูปทรงกระทง
  9. ทอดจนแป้งเหลืองสวย ยกขึ้นจากน้ำมัน แกะออกจากพิมพ์ หากแซะออกจากพิมพ์ยาก ลองใช้ไม้จิ้มฟันเข้าช่วยแซะ ก็จะหลุดออก ซับน้ำมัน พักทิ้งไว้ให้เย็น
  10. ตักไส้ใส่กระทง โรยพริกชี้ฟ้าแดง สับปะรดเปรี้ยว และผักชี พร้อมเสิร์ฟ

สูตรจาก คุณ BlackPiano สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

3. ช่อม่วง

ช่อม่วง มีทั้งวิธีทำแป้งขนมช่อม่วง และไส้ช่อม่วง รวมถึงวิธีทำดอกช่อม่วงขั้นเทพ ไปหาซื้อแหนบทองเหลืองรอเลยดีกว่า

ส่วนผสมไส้ช่อม่วง

  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
  • หมูสามชั้นต้มสุก 1⁄4 ถ้วย (หั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ)
  • ฟักเชื่อมแห้ง 150 กรัม (หั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ)
  • เกลือป่น ½ ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  • งาขาวคั่ว 50 กรัม
  • ถั่วลิสงคั่ว 50 กรัม

ส่วนผสมแป้งช่อม่วง

  • แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
  • แป้งเท้ายายม่อม ½ ช้อนโต๊ะ
  • แป้งมันสำปะหลัง ½ ช้อนโต๊ะ
  • น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย หรือน้ำผสมกลิ่นมะลิ)
  • ดอกอัญชัน 10 ดอก
  • แป้งมันสำปะหลัง เล็กน้อย (สำหรับทาแหนบตอนจับจีบขนม)
  • ผักกาดหอม สำหรับเสิร์ฟ
  • กระเทียมเจียว (โรยหน้า)
  • พริกขี้หนูสวน (โรยหน้า)

ข้อใด เป็น ความ หมาย ของ อาหารว่าง ที่ ถูก ต้อง

อุปกรณ์

  • กระทะทองเหลือง
  • แหนบทองเหลืองสำหรับจับจีบ
  • ชุดนึ่ง

วิธีทำไส้ขนมช่อม่วง

  1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไป เอาหมูสามชั้นที่หั่นไว้ลงไปผัด ใช้ไฟปานกลาง รอจนน้ำมันหมูออกมา และหมูเริ่มสุกสีเหลือง
  2. ใส่ฟักเชื่อมลงไปผัดใช้ไฟอ่อน ปรุงรสด้วยเกลือ และน้ำตาลทราย ใส่งาขาว และถั่วลิสงลงไป ผัดให้เข้ากันดีจนแห้ง ตักใส่ชาม เตรียมไว้

วิธีทำแป้งขนมช่อม่วง

  1. ร่อนแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งเท้ายายม่อมเข้าด้วยกัน 2-3 รอบจนเนียนละเอียด
  2. ใส่น้ำมันพืชลงไป ค่อย ๆ เติมน้ำเปล่าและน้ำดอกมะลิลงไปจนหมด ใช้มือขยำคนนวดส่วนผสมแป้งให้ละเอียดเข้ากัน แบ่งส่วนผสมแป้งเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน
  3. คั้นน้ำดอกอัญชัน แล้วบีบน้ำมะนาวลงไป เทใส่ลงในส่วนผสมแป้ง 1 ถ้วยคลุกเคล้าให้เข้ากัน
  4. ใส่ส่วนผสมแป้งลงในกระทะทองเหลือง ใช้ไฟกลางค่อนข้างอ่อน ใช้ไม้พายกวนไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมร่อนจากกระทะ ประมาณ 5-10 นาที ตักใส่ภาชนะ พักไว้จนแป้งเริ่มอุ่น
  5. โรยแป้งนวลลงไปเล็กน้อย แล้วลงมือนวดแป้งให้เนียนแล้วคลุมด้วยผ้าขาวบางหมาด ๆ เพื่อไม่ให้แป้งแห้ง

วิธีทำดอกช่อม่วง

  1. เริ่มทำดอกช่อม่วงโดยปั้นแป้งให้เป็นก้อนกลม ๆ ประมาณ ¾ นิ้ว แล้วแผ่แป้งให้เป็นแผ่นบาง ๆ กะพอให้หุ้มไส้ได้จนมิด ตักไส้ที่ผัดไว้ใส่ลงไปแล้วห่อจากมุมเข้าหากัน จากนั้น ใช้มือคลึงให้แป้งหุ้มไส้จนมิด ทำจนหมด เตรียมไว้
  2. เริ่มทำจีบโดยเอาทาแป้งข้าวเจ้าที่ปลายแหนบทองเหลืองเล็กน้อย เริ่มจับจีบชั้นที่ 1 โดยจับจากกึ่งกลางของขนม จับจีบวนไปเรื่อย ๆ จนครบรอบ (อย่าจับจีบให้ติดกันมาก)
  3. เริ่มชั้นที่ 2 โดยจับจีบให้เอียงจากชั้นแรกเล็กน้อย (ประมาณ 45 องศา) และสับหว่างกันกับชั้นแรก จับจีบจนครบรอบ
  4. เริ่มจับจีบชั้นที่ 3 ประมาณ 2-3 จีบ และสับหว่างกันกับกลีบชั้นที่ 2
  5. นำไปเรียงบนใบตองที่ทาน้ำมันแล้วในชุดนึ่ง โดยวางเรียงห่างกันเล็กน้อยเวลาสุกจะได้ไม่ติดกัน
  6. ตั้งชุดนึ่งใช้ไฟแรง รอจนน้ำเดือดจัด จึงนำขนมไปนึ่งนานประมาณ 5 นาที
  7. พอสุก แล้วนำช้อนจุ่มน้ำมันพืชตักช่อม่วงใส่จาน เสิร์ฟคู่กับผักกาดหอม และพริกขี้หนูสวน

4. ขนมจีบนกไทย

เอาใจคนพิเศษด้วยการทำเมนูขนมจีบนกไทย สูตรจาก คุณหอมกาแฟ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม จับแป้งขนมจีบสีตามชอบ ห่อไส้กุ้งแล้วปั้นเป็นรูปนกน่ารัก ๆ แกล้มกับผักสด

ส่วนผสมไส้ขนมจีบ

  • รากผักชี 4-5 ราก
  • กระเทียม 3 กลีบ
  • พริกไทย (ตามชอบ)
  • หอมใหญ่ (ขนาดกลาง) สับละเอียด 1 หัว
  • เนื้อกุ้งสับละเอียด 400-500 กรัม
  • น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 ช้อนชา
  • ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ

ส่วนผสมแป้งขนมจีบ

  • แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
  • แป้งมันสำปะหลัง 2 ช้อนโต๊ะ
  • แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
  • หัวกะทิ 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่า 1 ถ้วย
  • แป้งมันสำปะหลังสำหรับโรย
  • สีผสมอาหารสีเหลือง, สีชมพู, สีฟ้า และสีม่วง
  • แครอท
  • งาดำ
  • น้ำมันกระเทียมเจียว
  • ผักกาดหอม
  • ผักชี
  • พริกชี้ฟ้าแดง

ข้อใด เป็น ความ หมาย ของ อาหารว่าง ที่ ถูก ต้อง

วิธีทำไส้ขนมจีบ

  1. โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยเข้าด้วยกัน เตรียมไว้
  2. ตั้งกระทะแล้วใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย พอร้อนใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงไปผัดให้หอม ใส่หอมใหญ่สับลงไปผัดจนนิ่ม ใส่เนื้อกุ้งสับลงไปผัดให้สุกเล็กน้อย ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ตามด้วยน้ำตาลทราย และเกลือ
  3. ผัดผสมให้เข้ากันจนเริ่มงวด ใส่ถั่วลิสงคั่วบดลงไป ผัดให้เข้ากันจนแห้งจนสามารถปั้นเป็นก้อนได้ ตักใส่จาน พักทิ้งไว้จนเย็น
  4. หั่นแครอตเป็นสามเหลี่ยมสำหรับทำเป็นปากนก และเตรียมงาดำสำหรับทำเป็นตาเอาไว้
  5. พอส่วนผสมไส้เย็นแล้ว นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดพอดีคำ เตรียมไว้

วิธีทำแป้งขนมจีบ

  1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งเท้ายายม่อมเข้าด้วยกันในอ่างผสม ใส่หัวกะทิลงไปนวดผสมด้วยมือ เติมน้ำเปล่าลงไปนวดจนแป้งละลาย และไม่เป็นเม็ด
  2. เทกรองผ่านผ้าขาวบาง แล้วเทลงกวนในกระทะทองใช้ไฟอ่อน กวนจนแป้งล่อนออกจากกระทะ นำมานวดโดยโรยแป้งมันสำปะหลังลงไปเล็กน้อยเพื่อกันติดด้วย ใช้ตัวช่วยนวดแป้งป้องกันมือพอง พอแป้งอุ่นแล้วก็ใช้มือนวดแป้งตามปกติ
  3. แบ่งส่วนผสมแป้งเป็น 4 ส่วนแล้วนวดผสมกับสีผสมอาหารทั้ง 4 สี ผสมสีกับแป้งนิดเดียวพอ สีจะได้ออกมาแบบธรรมชาติ ห่อแป้งแต่ละสีด้วยพลาสติกถนอมอาหาร จากนั้น ตัดแป้งแต่ละสีเป็นก้อน ๆ ขนาดให้ใหญ่กว่าไส้นิดหนึ่ง
  4. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลม ๆ แล้วขึ้นรูปให้คล้ายผลชมพู่ กดก้นให้เป็นเบ้าลึก พอให้ใส่ไส้ได้ นำไส้ใส่ลงไปในหลุมแป้งแล้วห่อปิดแป้งให้มิด จากนั้นทำรูปร่างให้เป็นนก ใส่ปากทำจากแครอต ติดตาจากงาดำ เตรียมไว้
  5. ใช้แหนบบีบเพื่อทำจีบที่ตัวขนมให้มีลักษณะคล้ายปีกนกให้สวยงาม ใส่ขนมจีบลงในชุดนึ่งที่รองใบตองไว้ พรมน้ำลงไป จากนั้น ปิดฝานึ่งด้วยไฟแรง นาน 5 นาที
  6. เมื่อครบ 5 นาทีให้พรมน้ำอีกครั้ง จากนั้น ทาน้ำมันกระเทียมเจียวให้ทั่วขนม จัดใส่จาน เสิร์ฟพร้อมผักกาดหอม ผักชี และพริกชี้ฟ้าแดง

5. เมี่ยงกลีบบัว (เมี่ยงคำกลีบบัว)

เมี่ยงคำใบชะพลูคงต้องชิดซ้ายให้กับเมนูเมี่ยงกลีบบัว อาหารว่างไทยโบราณ จับกลีบบัวห่อไส้เมี่ยงคำ และราดน้ำจิ้มเมี่ยงคำ

ส่วนผสมเมี่ยงคำกลีบบัว

  • กลีบบัวหลวง
  • ขิง
  • หอมแดง
  • มะนาวหั่นชิ้นเล็ก
  • ถั่วลิสงคั่ว
  • กุ้งแห้ง
  • พริกขี้หนูสวน

ส่วนผสมน้ำจิ้มเมี่ยงคำ

  • น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 1 ถ้วย (ไม่ใส่ก็ได้)
  • น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำสะอาด ½  ถ้วย
  • กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
  • รากผักชี 1 ช้อนชา
  • ข่าคั่วโขลก 1 ช้อนชา

ข้อใด เป็น ความ หมาย ของ อาหารว่าง ที่ ถูก ต้อง

วิธีทำน้ำจิ้มเมี่ยงคำ

นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ในหม้อแล้วเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนเข้มข้น

เคล็ดลับ : วิธีการเคี่ยวน้ำตาลปี๊บให้เข้มข้นแบบไม่เปลืองแก๊ส คือให้เปิดไฟแรง ๆ แล้วใช้ทัพพีคนน้ำตาลให้เดือดขึ้น ๆ ลง ๆ แบบเร่งไฟ ลดไฟ ไปเรื่อย ๆ แป๊บเดียวก็ได้น้ำตาลปี๊บแบบเหนียวเข้มข้นโดยไม่ต้องเคี่ยวนานเป็นชั่วโมง และที่สำคัญไม่เปลืองแก๊สด้วย

วิธีทำเมี่ยงคำกลีบบัว

  1. เตรียมเครื่องเคียงให้พร้อม ได้แก่ ขิง หอมแดง มะนาว ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง และพริกขี้หนูสวน 
  2. นำกลีบบัวหลวงไปล้างทำความสะอาด โดยเอาน้ำสะอาดใส่กะละมัง ใส่เกลือป่นไปสัก 1 ช้อนชา แล้วล้างทีละกลีบ ล้างเสร็จแล้วสะบัดน้ำออกให้หมด หรือใส่กระชอนแล้วแกว่ง ๆ ให้สะเด็ดน้ำ
  3. หั่นเครื่องเคียงให้เรียบร้อย จัดน้ำจิ้มเมี่ยงคำใส่ถ้วยแก้ว และจัดวางเมี่ยงกลีบบัวบนช้อนกระเบื้อง พร้อมเสิร์ฟ

อาหารว่างไทยนั้น อาจจะดูทำยากสักนิดนึง แต่รับรองได้ลงมือทำแล้วจะไม่ผิดหวัง อยากชวนเพื่อน ๆ มาทำอาหารว่างไทยโบราณ ทุกเมนูแม้ต้องใช้ความพิถีพิถันหน่อย แต่เชื่อว่าคงไม่เกินความสามารถของใครหลาย ๆ คนอย่างแน่นอน และถือเป็นการอนุรักษ์สานต่อวัฒนธรรมอาหารที่ดีงามของไทยสืบต่อไปอีกด้วยด้วย เผลอ ๆ ทำขายได้ด้วยนะ

ข้อใดคือความหมายของอาหารว่างที่ถูกต้อง

อาหารว่าง หมายถึง อาหารระหว่างมื้อ เป็นอาหารประเภทเบาๆ มีปริมาณอาหารน้อยกว่า อาหารประจำมื้ออาจจะเป็นอาหารน้ำหรืออาหารแห้ง มีทั้งคาวและหวาน หรือเป็นอาหารชิ้นเล็กๆขนาดพอคำ หยิบรับประทานได้ง่าย จัดให้สวยงามน่ารับประทานเป็นทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ หรือรับประทานควบคู่กับเครื่องดื่มร้อน หรือน้ำผลไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง

ข้อใดหมายถึงอาหารว่าง

อาหารว่าง หมายถึง อาหารระหว่างมื้อ โดยมีปริมาณน้อยกว่าอาหารมื้อหลักและสามารถกินได้ง่าย ขนาดชิ้นของอาหารว่างพอดีคำ เพื่อใช้เป็นการเพิ่มพลังงานและสารอาหารที่ไม่เพียงพอจากอาหารมื้อหลัก ช่วยแก้อาหารหิวในระหว่างมื้อ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มพลังงานและสารอาหารสำหรับเด็กที่อยู่ในช่วงของการเจริญเติบโตอีกด้วย ซึ่งอาจเสิร์ฟคู่กับ ...

อาหารว่างมีอะไรบ้าง

1. รสหวานชนิดนุ่ม เช่น สาสี่ ปุยฝ้าย เค้ก ฯลฯ 2. รสหวานชนิดกรอบ เช่น พาย ทาร์ต กรอบเค้ม ขนมเกลียว ฯลฯ 3. ขนมที่มีรสจัด ขนมพายต่างๆ เช่น พายไส้ไก่ แซนด์วิช ซาลาเปา 4. ขนมที่ไม่มีรสหวาน ควรเป็นรสจืด เช่น ขนมปังจืด แครกเกอร์ 5. ของขบเคี้ยว เช่น ถั่วทอด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ลูกกวาด ฯลฯ Page 24 ประโยชน์ของอาหารว่าง

ความหมายของอาหารจานเดียว คือข้อใด

อาหารจานเดียว หมายถึง อาหารปรุงส าเร็จหนึ่งจาน มีปริมาณเพียงพอที่จะรับประทานใด้อิ่ม 1 มื้อ โดยไม่ต้อง รับประทานอาหารอื่นร่วมด้วย ส่วนใหญ่อาหารจานเดียวมักจะเป็นอาหารคาวและนิยมรับประทานในมื้อกลางวัน ตัวอย่างอาหารจานเดียว เช่น ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย ข้าวหมูแดง ข้าวหมกไก่ข้าวผัดกะเพรา เป็นต้น